เรือใบสามเสากลางมหาสมุทรดูเหมือนกับอสูรกายกำลังซ่อนตัวอยู่กลางความมืด

ทันทีที่เรือไม้ลำเล็กทั้งสองลำเทียบอยู่ด้านข้าง บันไดเชือกสองอันก็ทิ้งลงมาจากดาดฟ้าเรืออย่างเงียบเชียบ

“เงียบไว้” ทอมกระซิบกับเหล่านักเวทฝึกหัด

พวกเขายังเป็นเพียงหนุ่มสาว ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้ พวกเขาต่างรู้สึกกังวล ทุกคนต่างรู้ความจริงดีว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้ามีเพียงดินแดนมหัศจรรย์หรือไม่ก็ตะแลงแกง

แล้วทอมก็หันมาหาลูเซียน “ข้าต้องขึ้นไปตรวจสอบบนเรือก่อน หลังจากข้ามั่นว่าเรือปลอดภัยดีแล้ว ท่านค่อยให้พวกเด็กๆ ปีนตามขึ้นไป ตกลงไหม?”

“ไม่มีปัญหา” ลูเซียนพยักหน้า “ระวังตัวด้วย”

ทอมซึ่งเป็นอัศวินระดับสองตบบ่าลูเซียน เขาคว้าบันไดเชือกและปีนขึ้นไปบนเรืออย่างรวดเร็วราวกับเงา

ไม่มีใครบนเรือไม้พูดอะไรสักคำ พวกเขาเฝ้ารอสัญญาจากทอมอย่างเงียบกริบ

หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ทอมทิ้งผ้าเช็ดหน้าสีขาวลงมาบนรั้วเรือที่ลูเซียนอยู่ นั่นเป็นสัญญาณว่าตกลงกันไว้แล้ว บนเรือใบปลอดภัย

“สปรินต์ แคทรีนา เจ้าสองคนไปก่อน” ลูเซียนออกคำสั่งอย่างใจเย็น

การมีนักเวทอยู่ด้วยทำให้เหล่านักเวทฝึกหัดสงบสติอารมณ์ไว้แล้วและก็เป็นการกระตุ้นพวกเขาด้วย ทีละคนๆ นักเวทฝึกหัดลอบเริ่มปีนขึ้นเรืออย่างลับๆ

“แล้วก็ออยมอสกับไฮดี้” ลูเซียนหันไปพูดกับพวกเขา เขาได้ยินมาว่า ออยมอส เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเป็นพรสวรรค์ด้านพลังวิญญาณ แต่ลูเซียนไม่ได้ใส่ใจเขาเท่าไรนัก เพราะเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนพูดน้อย

ขณะที่ออยมอสเดินไปยังหัวเรือและเริ่มปีนขึ้นบันไดเชือกอย่างรวดเร็วและมั่นคง ไฮดี้ดูเหมือนจะมีปัญหา

ลมมหาสมุทรที่พัดรุนแรงทำให้บันไดเชือกของนางส่ายไปส่ายมา นางไม่กล้าแม้แต่มองขึ้นบนหรือมองลงล่าง นางรู้สึกว่ามหาสมุทรข้างใต้กำลังส่งเสียงคำรามจะกลืนกินนาง นางอยากร้องตะโกนออกมา แต่ก็ทำไม่ได้

ลูเซียนกำลังมองอยู่ เขาต้องการให้ไฮดี้เผชิญปัญหาและทำภารกิจให้ลุล่วงด้วยตัวเอง

ตามคำสั่งของทอม นักเวทฝึกหัดที่ขึ้นบนเรือนแล้วรีบซ่อนตัว

ไฮดี้แทบจะหมดแรงเมื่อนางขึ้นไปถึงดาดฟ้าเรือได้สำเร็จ แต่เมื่อมองกลับไปถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิและความห้าวหาญ

เมื่อนักเวทฝึกหัดทุกคนขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว ลูเซียนเรือกระเป๋าสีดำของเขาด้วยมือซ้ายและใช้มือขวาในการเกาะบันไดเชือก เขาปีนขึ้นไปถึงดาดฟ้าเรือใบอย่างรวดเร็ว

“เก่งนี่ อีวานส์” ทอมและกะลาสีเรือผิวเข้มเดินมาหาลูเซียน

ลูเซียนพยักหน้าให้พวกเขาและตามพวกเขาเข้าไปในห้องใต้ท้องเรือ

เมื่อเดินลงบันไดไป กลิ่นเหงื่อเหม็นๆ น่าสะอิดสะเอียนผสมกับกลิ่นอื่นๆ อีกมากทำเอาลูเซียนรู้สึกไม่ค่อยดี ข้างล่างนั่นมืดมาก และมีเพียงแสงรำไรลอยอยู่กลางอากาศจากเทียนที่กะลาสีเรือกำลังถืออยู่

ตอนนั้นเอง กะลาสีเรืออีกสองคนก็เดินออกมาจากมุมๆ หนึ่ง

นักเวทฝึกหัดทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งลูเซียนต่างเป็นกังวลหนัก

จังหวะที่ลูเซียนกำลังร่ายคาถา ‘เวทลวงใจคน’ ทั้งๆ ที่มีวงพลังเทพคอยดักจับเวทมนตร์บนเรือลำนี้ กะลาสีเรือสองคนก็เดินมาหาและพยักหน้าให้ทอม

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?” ทอมถาม

“ใช่ขอรับ ตามแผน” กะลาสีเรือทั้งสองหลีกทางให้พวกเขาเดินต่อไป

เมื่อเห็นลูเซียนและนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ กำลังสับสัน ทอมยิ้มและบอกกับพวกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าเป็นหัวหน้ากะลาสีเรือที่นี่”

หนุ่มสาวทุกคนต่างประหลาดใจ

“เรือของไวเคานต์ไรต์เต็มไปด้วยวงพลังเทพ แม้แต่พลังของ” ทอมอธิบาย “ถ้าข้าไม่คุ้นกับเรือ แล้วข้าจะพาพวกเจ้าเข้ามา เอาน้ำเอาอาหารให้พวกเจ้าได้อย่างไร? การเดินทางนี้จะใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน…”

เหมือนกับที่ชื่อบอกใบ้ไว้ ‘ช่องแคบสตอร์ม’ ที่พวกเขากำลังจะข้ามไม่ได้กว้างมาก อย่างไรก็ตาม ฟ้าร้องและฟ้าผ่าผนวกกับคลื่นและลมที่พัดอย่างบ้าคลั่ง มักชะลอความเร็วของเรือไม่ให้เดินเรือเต็มกำลัง บางครั้ง เรือบางลำต้องลอยลำรอให้สภาพอากาศดีขึ้นก่อน

แม้ว่านักเวทหลายคนพยายามสำรวจสาเหตุที่ช่องแคบแห่งนี้เต็มไปด้วยฟ้าผ่าและฟ้าร้องและลมกระโชกรุนแรง ก็ยังไม่มีข้อสรุปออกมา

เมื่อได้ยินดังนั้น ลูเซียนจิตนาการได้เลยว่ากองเรือของไวเคานต์ไรต์จะถูกแทรกซึมจากเกรนนิวฟ์ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลในตลาดค้าทาสของเมืองสเติร์กมากมายขนาดไหน ลูเซียนกำลังคิดว่าไวเคานต์ในฐานะอัศวินหลวงรู้ปัญหานี้หรือไม่

หลังจากนั้น ลูเซียนและนักเวทฝึกหัดทั้งหมดก็เดินตามทอมไปยังส่วนของโกดังเก็บสินค้า ซึ่งเป็นชั้นที่สองจากชั้นล่างสุดของเรือและเป็นชั้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นนานาชนิด

อย่างไรก็ตาม ในมุมลับๆ มุมหนึ่ง มีห้องใต้ท้องเรือที่แคบและเล็กเรียงแถวอยู่ ซึ่งดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจสร้างขึ้นมาให้ใครอาศัยอยู่ในนั้นตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้ห้องใต้ท้องเรือนี้ค่อนข้างสะอาดและมีเปลถูกไว้ในห้อง

“นักเวทฝึกหัดสองคนต่อหนึ่งห้อง ท่านอีวานส์จะได้ห้องของตัวเอง” ทอมจัดการเสร็จสรรพ “พวกเจ้าห้ามออกไปจากชั้นนี้ตลอดการเดินทาง ห้ามใช้เวทมนตร์ อนุญาตเฉพาะการเข้าฌานสมาธิเท่านั้น ถ้าพวกเจ้าเดินไปรอบๆ ชั้นนี้ ระวังตัวด้วย เพราะบางทีพวกกะลาสีเรือก็ลงมาตรวจสินค้า เมื่อเราไปถึงโฮล์ม ค่อยชดเชยความลำบากในตอนนี้”

หลังจากทอมขึ้นไป นักเวทฝึกหัดกลับเข้าห้องของตัวเองพร้อมเทียน

เลย์เรียกับไฮดี้อยู่ห้องเดียวกัน ทันทีที่พวกนางเปิดประตูห้องใต้ท้องเรือ สองสาวก็มองหน้ากันอย่างตื่นเต้น จนสังเกตว่าแอนนิคเดินผ่านไป “นี่ แอนนิค! เจ้าได้ยินไหมเราใช้เวทมนตร์บนเรือไม่ได้ ใช่ไหม?” ไฮดี้ถามด้วยความตื่นเต้น

“ใช่สิ ข้าได้ยิน” แอนนิคพยักหน้า “เราต้องจำให้ขึ้นใจว่า ไม่งั้นเราอาจเจอปัญหาใหญ่”

“ข้าหมายถึง… เราจะได้พักจากการฝึกร่ายคาถาเวทมนตร์ไม่หยุดเสียที!” ไฮดี้เลิกคิ้วอย่างมีความสุข

“และนอนดึก!” เลย์เรียเตรียมฉลอง

“เรา… เราควรฝึกต่อนะ…” แม้เขาจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่แอนนิคกำลังยิ้มกว้างด้วยความลิงโลด

“พวกเจ้าสามคนกำลังคุยอะไรกัน?” เสียงที่อ่อนโยนคุ้นหูดังขึ้น

“ไม่มีอะไร… ท่านอีวานส์” นักเวทฝึกหัดทั้งสามคนโค้งคำนับให้ลูเซียน แต่รอยยิ้มยังคงฉายชัดอยู่บนหน้า

ลูเซียนพยักหน้า “เนื่องจากเราไม่สามารถฝึกร่ายเวทได้ในตอนนี้ เราน่าจะทำได้แค่แบบฝึกหัด พรุ่งนี้บ่าย พื้นฐานอาร์คานาและเวทมนตร์”

“อะไรนะ…” รอยยิ้มหายไปจากหน้าของทั้งสามคนในวิทาทีนั้น

แม้ว่าลูเซียนวางแผนการสอนนักเวทฝึกหัดทั้งสามคนบนเรือ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตารางสอนของเขาปั่นป่วนไปหมด หลังจากเรือใบกลับเข้าเทียบท่าแล้วมุ่งหน้าสู่ช่องแคบสตอร์มพร้อมกับเรือลำอื่นๆ ในกองเรือสินค้า ทั้งเลย์เรียและไฮดี้ต่างมีอาการเมาเรืออย่างหนัก และอาการยิ่งหนักขึ้นเมื่อเรือแล่นเข้าสู่ช่องแคบ

เลย์เรียและไฮดี้ไม่ได้เป็นแค่สองคนที่เมาเรือ แม้แต่สปรินต์และแคทรีนาก็ไม่เว้น นักเวทฝึกหัดส่วนใหญ่มีอาการป่วย หลายครั้งถึงกับอาเจียนออกใส่ห้องของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม น่าแปลกใจที่เด็กหนุ่มร่างเพรียวที่พูดน้อยอย่าง ออยมอส กลับสบายดี

โชคดีทาสที่หูหนวกและสมองช้าหลายคนที่ทอมให้รับผิดชอบนำอาหารและน้ำ รวมถึงผลไม้ลงมาให้พวกเขา ก็ยังช่วยเก็บกวาดของที่ขย้อนออกมาด้วย

วันนี้ ลูเซียนกับแอนนิคนั่งแอบในท่ามกลางลังไม้และพูดคุยกันถึงการสร้างรูปแบบเวทมนตร์

ระหว่างพัก แอนนิคถามอย่างเป็นกังวล “ท่านคิดว่าเมื่อไรเลย์เรียกับไฮดี้จะอาการดีขึ้นขอรับ ท่านอีวานส์?” เรือโยกอย่างรุนแรงอีกครั้งจากพายุ “พลังวิญญาณช่วยได้ น้ำมันสมุนไพรที่ทอมส่งมาให้ก็ช่วยได้ ข้ารู้สึกว่าพวกนางอาการดีขึ้นแล้ว ไม่ใช่หรือ?”

ขณะที่แอนนิคกำลังจะตอบ ลูเซียนก็ปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว

แสงเทียนถูกดับ

“ชู่… มีคนมา” ลูเซียนกระซิบ

แอนนิคพยักหน้า

เสียงของชายหนุ่มลอดผ่านมาทางช่องว่างระหว่างลังไม้ “เชลีย์ที่รัก ข้ารักเจ้าสุดสวาทขาดใจ! ไม่มีเจ้า ข้าก็มืดมนไร้ความหวัง สวดมนต์ก็ช่วยข้าไม่ได้!”

“ฌากส์ ข้าก็เหมือนกัน!” เสียงผู้หญิงหวานและอ่อนโยนก็ดังตามมา “แต่พ่อข้าอยู่แถวนี้ พวกสาวใช้ก็จับตาข้าตลอด…”

ลูเซียนสบายใจขึ้นมาหน่อย แค่คู่รักมาพลอดรักกันเท่านั้น

“ข้าไม่เข้าใจ เชลีย์” เสียงฝ่ายผู้ชายฟังดูเศร้า “ทำไมท่านไวเคานต์ต้องให้ลูกสาวไปศึกษาไกลถึงอารามนักบวชหญิงในโฮล์ม… มีอารามตั้งเยอะแยะในสเติร์ก!”

“ไวเคานต์… ไวเคานต์ไรต์หรือ?” ลูเซียนเจอเรื่องประหลาดใจอีกครั้ง “ไวเคานต์อยู่บนเรือลำนี้หรือ?”

หลังจากนั้น เสียงฟ้าร้องน่าเกรงขามก็ขู่คำรามอีกครั้ง

……………………………………….