“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เชลีย์ตอบ “แต่ฌากส์ ข้ามั่นใจว่าท่านพ่อทำไปเพื่ออนาคตข้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าไม่มีศักยภาพพอจะเป็นอัศวิน ความเห็นจากผู้ฝึกสอนของข้าเขาบอกไว้ และข้าก็ไม่เก่งเรื่องธุรกิจอีก… ข้าพยายามเข้าไปดูแลธนาคารของตระกูล แต่ก็ไม่สำเร็จ… พี่ชายข้าโมโหใส่ข้าประจำ”

“แต่เจ้าก็เก่งเรื่องอื่นนี่…” ฌากส์พยายามปลอบใจคนรัก “ครั้งแรกที่ข้าเจอเจ้า เจ้านั่งอยู่นอกชานบ้าน กำลังอ่านหนังสือ… ข้าไม่อาจลืมภาพงดงามภาพในนั้นตลอดชีวิตข้า”

“ยกเว้นความกระหายในการอ่านหนังสือ ข้าไม่สำเร็จเรื่องอะไรสักอย่าง ข้าลองทั้งดนตรี โอเปร่า เขียนภาพ ประติมากรรม… แต่ข้าไปไม่รอดสักอย่าง” เชลีย์พูดอย่างเศร้าสร้อย แต่แล้วน้ำเสียงของนางก็ดูแจ่มใสขึ้นมา “แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ที่รัก เจ้าเก่งไปเสียหมดทุกอย่าง เปียโน เขียนภาพ ร้องเพลง เพลงดาบ… ทุกอย่าง เจ้าเป็นดวงตะวันเฉิดฉาย”

“เจ้า เชลีย์ ข้าต้องการเพียงแค่เจ้า เจ้าไม่ต้องมัวศึกษานั่นนี่ให้เสียเวลา เจ้าแค่แต่งงานกับข้า ข้าสัญญาจะทำให้เจ้ามีชีวิตที่ดี” ฌากส์จุมพิตมือของเชลีย์

“แต่เจ้ายังไม่ได้เป็นอัศวินเลย…” เชลีย์ตอบอย่างเศร้าใจ “ขุนนางเท่านั้นที่สามารถแต่งกับขุนนางได้ อีกเรื่องนะฌากส์ ข้าอยากค้นพบคุณค่าในชีวิตของข้าเหมือนกัน ข้าอยากพัฒนาความสามารถให้ยืนได้ด้วยตัวเอง ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ ฌากส์”

“ข้าเข้าใจ…” ฌากส์ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่… แต่เจ้าจะเจออิสรภาพในอารามที่โฮล์มได้อย่างไร?” แล้วสมมติถ้าข้าปลุกพรสำเร็จ แล้วเจ้าแต่งงานกับคนอื่นไปแล้วล่ะ? เดี๋ยว… หรือนี่เป็นเจตนาที่จริงของท่านไวเคานต์ที่ส่งเจ้าไปโฮล์ม เพื่อให้เจ้าแต่งงานกับขุนนางที่นั่น?”

ทั้งหมดนี่ดูสมเหตุสมผลสำหรับฌากส์ เนื่องจากการเป็นทองแผ่นเดียวกันจะเป็นประโยชน์กับไวเคาตน์มาก และแม้แต่กับ ‘ศาสนจักร’ ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับฝ่ายอนุรักษนิยมข้ามช่องแคบ

“ข้าไม่รู้… ข้าไม่รู้อะไรเลย…” เชลีย์พึมพำ “ท่านพ่อ… ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้”

“เจ้ารอข้าอีกสักสามปีได้ไหม เชลีย์?” เสียงของฌากส์เต็มไปด้วยความผิดหวัง “ข้ารู้ว่าพ่อแม่ของเจ้ารักเจ้ามาก และเจ้าก็รักพวกท่าน แต่เจ้าช่วยรอข้าสามปีได้ไหม? ถ้าข้ายังไม่สามารถปลุก ‘พร’ สำเร็จในสามปี ข้าคงไม่ดีพอสำหรับเจ้า”

“ข้าจะรอ… ข้าจะรอ ฌากส์” เชลีย์กล่าวด้วยความสะเทือนใจ “สามปี ข้าจะรอเจ้า และ… ถ้าเลยสามปีไปแล้ว ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ… ข้า ข้าจะขอเป็นชู้รักลับๆ ของเจ้า”

ฌากส์กอดเชลีย์อยู่ในอ้อมแขน “เชลีย์…”

ขณะแอนนิคกำลังฟังการสนทนาด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ลูเซียนก็เอื้อมมือมาปิดหูเขา

“เกินไปแล้วสำหรับเจ้า…” ลูเซียนพูดกับแอนนิค

หลังจากการสนทนาพลอดรักยาวนาน เชลีย์ก็เอนตัวซบไหล่ฌากส์ “ถ้าเรามีโอกาส เจ้าเล่นเพลง ‘แด่ซิลเวีย’ ให้เข้าฟังได้ไหม?”

“ได้สิ ข้าจะเล่นทุกเพลงที่เจ้าชอบให้ฟัง?” ฌากส์ตอบ

ลูเซียนรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา เนื่องจากเขารู้สึกว่าเพลง ‘แด่ซิลเวีย’ อาจเป็นลางร้ายของความรัก จากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนาตาซากับซิลเวีย แม้ว่าจะมีไม่ถึงยี่สิบคนที่รู้เรื่องนี้

“ข้าต้องไปแล้ว ท่านพ่ออาจกำลังตามหาข้า” เชลีย์เอ่ย

จากนั้น ทั้งสองก็กลับขึ้นไปชั้นบนของเรือ

สักพักต่อมา ลูเซียนชักมือกลับจากการปิดหูของแอนนิค

“ท่านอีวานส์ ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะขอรับ” แอนนิคบ่น

“นั่นมัน… แม้แต่ข้าเอง ก็รู้สึกว่าไม่ควรฟัง” ลูเซียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แต่นั่นไม่ใกล้เคียงกับละครโอเปร่าโรแมนติกเลย…” แอนนิคเอียงหัวเล็กน้อยแสดงท่าทีสงสัย

“เพราะนี่แหละ ข้าถึงไม่ชอบละครโอเปร่าโรแมนติก” ลูเซียนตอบออกมาตรงๆ

ในห้องใต้ท้องเรือ ลูเซียนกำลังยืนอยู่ภายในห้อง ฟังเสียงฟ้าร้องคำรามและเสียงคลื่นยักษ์สาดกระเซ็นกระแทกลำเรือที่ได้รับการปกป้องจาก ‘วงพลังเทพ’ หลายวง

แม้ว่าลูเซียนคุ้นเคยกับเสียงพวกนี้แล้ว พายุในวันนั้นก็ยังข่มขู่คำราม

ในฐานะนักเวทผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ แม้ว่า ‘ดาวหลักแห่งเทวลิขิต’ และความสามารถในการพยากรณ์ของเขายังไม่น่าประทับใจมากนัก แต่บางอย่างก็บอกลูเซียนถึงลางสังหรณ์ไม่ค่อยสู้ดี

“เรือจะพังเพราะพายุหรือเนี่ย?” ลูเซียนพึมพำกับตัวเอง เมื่อเขาไม่อาจหยุดคิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด

ลูเซียนไม่สามารถใช้วิชาโหราศาสตร์ได้ในตอนนี้ เพราะพายุบ้าคลั่งรุนแรงมาก

เขาหวังว่าลางสังหรณ์ของเข้าจะผิดเหมือนทุกๆ ครั้ง แต่เขาก็ยังเตรียมตัวรับมือตลอดเวลา

ขณะลูเซียนกำลังล่องลอยไปกับความคิด ทันใดนั้น ฟ้าร้องสนั่นจนขนน่าลุกก็ดังขึ้น ลูเซียนเกือบเสียการทรงตัวไปพร้อมกับเรือ

“คลื่น? หรืออะไร…?”

ลูเซียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แล้วก็มีการปะทะอย่างรุนแรงอีกครั้ง เรือโยกไปทั้งลำ

“เรือกำลังถูกโจมตี!” ลูเซียนคิดขึ้นมาได้ทันทีจากประสบการณ์การสู้รบที่ผ่านมา

เสียงปะทะและเสียงฟาดตัวเรือยังคงดังต่อไป ผสมกับเสียงเปรี้ยงปร้างของลำแสงสายฟ้าโจมตีวงพลังเทพ นักเวทฝึกหัดทุกคน แม้ว่าจะรู้สึกเมาเรือ ต่างมารวมตัวกันในห้องของลูเซียน รวมถึงออยมอสที่ปกติจะสุขุมตลอดเวลา

ณ ตอนนั้นเอง ทุกคนเชื่อใจนักเวทตัวจริงขึ้นมา

ลูเซียนเปิดประตูและบอกให้นักเวทฝึกหัดทุกคนสงบสติลง “ไม่ว่าใครกำลังโจมตีเรือ พวกมันไม่ได้โจมตีเพราะเรา ปล่อยให้พวกอัศวินกับบาทหลวงจัดการ เราต้องรออยู่ที่นี่” หากแม้แต่อัศวินหลวงไม่สามารถจัดการพวกที่โจมตีได้ ลูเซียนกับเหล่านักเวทฝึกหัดก็คงไม่มีปัญญาเหมือนกัน

นักเวทฝึกหัดสงบสติลงได้บ้างตามวิธีคิดที่ลูเซียนบอก

พลังอาคมปะทะเข้ากับเรืออีกครั้งอย่างจัง นักเวทฝึกหัดหลายคนเสียการทรงตัวล้มลงกองกับพื้น

มีเสียงรอยแตกและไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดข้างนอก

ลูเซียนขมวดคิ้ว เขาสงสัยว่าวงพลังเทพกำลังจะแตกออก

หลังจากนั้น พลังวิญญาณของเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนสูง คลื่นความร้อนที่ทรงพลังที่แม้แต่ฟ้าร้องและสายฟ้าก็ไม่อาจเอาชนะได้

ครั้งหนึ่ง ลูเซียนเคยเห็นการต่อสู้ของกลุ่มผู้นำผู้พิทักษ์ราตรี เขาสามารถประเมินพลังคร่าวๆ ได้ว่าคลื่นความร้อนนี้มาจากวงพลังเทพระดับห้าเป็นอย่างน้อย ซึ่งความหมายว่าต้องมีพระคาร์ดินัลอย่างน้อยหนึ่งรูปบนเรือลำนี้!

นอกจากคลื่นความร้อน กระแสลมทรงพลังก็โผล่เข้ามาในการต่อสู้ พลังนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากพายุที่เกิดตามธรรมชาติ ลูเซียนค่อนข้างมั่นใจว่าต้องมาจากไวเคานต์ไรต์ เนื่องจาก ‘พร’ ของไวเคานต์ คือ ‘พายุ’ เป็นที่รู้จักกันไปทั่วเมืองสเติร์ก

ดังนั้น ลูเซียนจึงสบายใจขึ้นมาบ้าง บาทหลวงหนึ่งรูปกับอัศวินหลวงหนึ่งนายก็น่าจะพอรับมือกับสถานการณ์นี้ได้

แม้ว่าเสียงฟาดปะทะลำเรือจะหายไปแล้ว ลูเซียนและนักเวทฝึกหัดก็ยังได้ยินเสียงการต่อสู้บนชั้นดาดฟ้าเรือพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และคลื่น

ทันใดนั้น คลื่นยักษ์ก็ซัดกระแทกข้างลำเรือฝั่งที่ลูเซียนกับนักเวทฝึกหัดกำลังรวมตัวกันอยู่ และวงพลังเทพวงหนึ่งถูกทำลายไม่เหลือซาก

แล้วลูเซียนกับนักเวทฝึกหัดก็เห็นน้ำทะเลซัดเข้ามาท่วมห้องใต้ท้องเรือผสมปนเปกับฟองทะเล

อสูรกายหน้าตาอัปลักษณ์ มีหัวเป็นปลา แต่ร่างกายเป็นมนุษย์ ก็บุกเข้ามาในห้องใต้ท้องเรือพร้อมกับน้ำทะเล เนื้อตัวของพวกมันเต็มไปด้วยเกล็ดสีเงิน แขนที่ดูลีบเล็กไม่แข็งแรงกำลังถือสามง่ามที่ดูหนักและทรงพลัง

“คัวโทน!” ลูเซียนประหลาดใจมาก

แม้คัวโทนพวกนี้เป็นพวกต่อต้านศาสนจักร ลูเซียนไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันถึงโจมตีกองเรือสินค้าตอนนี้

นักเวทฝึกหัดทุกคนหน้าซีดเผือด

แม้แต่ลูเซียนก็รู้กังวัลเป็นอย่างยิ่ง

‘สู้? แล้วถ้าอัศวิน บาทหลวง และกะลาสีเรือลงมาข้างล่างนี้และพบพวกมันที่นี่ล่ะ’

‘หนี? แต่เราอยู่กลางมหาสมุทรตอนนี้!’

‘ข้าจะทำไงดี!?’ ลูเซียนถามตัวเองในความคิด

……………………………………….