ตอนที่ 340 กระบี่และดาบอันเงียบเหงา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ภาพของกองไฟ ไก่ย่าง ไหสุราและคนเฝ้าประตูคนหนึ่ง

หนิงซือเหยียนได้ไปยังทะเลสาบสือหลี่อีกคราเมื่อยามพลบค่ำ เขาได้ขโมยไก่แก่จากบ้านหานลู่มาอีกหนึ่งตัว แต่ในครานี้โชคมิดีนัก เขาถูกหานลู่จับได้ นางถือมีดทำครัววิ่งไล่เขาอยู่ถึง 3 ลี้

ดังนั้นกว่าจะได้กินไก่ตัวนี้มิง่ายดายเอาเสียเลย

บัดนี้ไก่ได้ย่างเสร็จแล้ว หนังกรอบเนื้อไก่ข้างในนุ่มเป็นอย่างมาก ถึงเวลาฉลองแล้ว !

เขานำไก่ที่ย่างเสร็จแล้วใส่ลงไปในชามใหญ่ ชักกระบี่นั้นออกมาแล้วเช็ดเข้ากับเสื้ออยู่สองสามที หลังจากนั้นหั่นมันเป็นชิ้น ๆ จิ้มลงในน้ำจิ้มที่เตรียมเอาไว้ แล้วโยนใส่ปากเคี้ยว อ่า ! รสชาตินี้ช่างดียิ่ง !

ในขณะที่เขากำลังเอร็ดอร่อยกับไก่ย่างตัวนี้อยู่ ก็ได้ปรากฏใครบางคนกำลังเดินเข้ามา

ให้ตายสิ !

หนิงซือเหยียนอารมณ์เสียอย่างแท้จริง

“เวลากินข้าว มิว่างส่งจดหมาย นำทางหรือสอบถามใด ๆ ”

ผู้ที่ยืนอยู่นั้นเป็นชายรูปร่างกำยำ บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นจากกระบี่ที่เกือบจะฟันโดนตาซ้าย

เขาสะพายดาบเล่มใหญ่ไว้ที่หลังแล้วมองดูหนิงซือเหยียน จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “หากข้าต้องการชีวิตเจ้า พอจะมีเวลาหรือไม่ ? ”

“รอให้ข้ากินไก่ตัวนี้ให้เสร็จก่อน”

“ข้าเองก็ต้องรีบฆ่าเจ้าแล้วกลับไปดื่มสุราเช่นกัน”

หนิงซือเหยียนขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามออกไป “เจ้าคือใครกัน ? ”

“คลั่งดาบ ฉือมู่ ! ”

หนิงซือเหยียนเงยหน้าขึ้นมองดูฉือมู่ จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ “เจ้ามาคนเดียวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หาใช่ไม่ มากัน 13 คน หากข้าฆ่าเจ้าเสร็จเรียบร้อยก็จะสามารถกลับไปดื่มสุราได้”

“อีก 12 คนเล่า ? ”

“มิรู้”

หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่

หลังจากได้รับข้อมูลจากคนที่หนานกงอี้หยู่ส่งมาแล้ว หนิงซือเหยียนก็พาฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวินไปยังจายซิงถาย

จายซิงถายอันกว้างใหญ่นั้นใจกลางมิกลวง แต่มันมีพื้นที่ลับซ่อนอยู่

ในวันบวงสรวงสู่สวรรค์ สถานที่นี้จะถูกใช้สำหรับนักบวชเพื่อทำนาย ด้านในกว้างใหญ่ยิ่ง แต่ทางเข้าจะต้องเปิดกลไกตามรูปแบบที่วางเอาไว้

จายซิงถายนี้มิได้ถูกเปิดกลไกสำหรับบวงสรวงมานับร้อยปีแล้ว นับจากสถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นคฤหาสน์ของราชวงศ์ก็มิมีผู้ใดเข้ามาอีก ดังนั้นผู้ที่รู้จักกลไกนี้จึงมีมิมาก แต่ในฐานะเจ้าของสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าหนิงซือเหยียนย่อมรู้อย่างถ่องแท้

บัดนี้ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวินและบ่าวรับใช้ของพวกนางได้หลบอยู่ด้านล่างของจายซิงถาย แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับจะออกไปจากที่ตรงนี้ !

“พวกเจ้าวางใจได้ ข้ามิตายอย่างแน่นอน แม้แต่เป่ยหวังฉวนก็ยังมิอาจฆ่าข้าได้ ยังมีสิ่งใดต้องกังวลอีก ? อีกอย่าง…ข้าอยากจะเห็นนักว่าผู้ใดกันที่ต้องการชีวิตของข้า ! ”

หนิงซือเหยียนรู้สึกว่านี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับสามเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับหนึ่ง หากมีขั้นปรมาจารย์ปรากฏขึ้น หนิงซือเหยียนก็คงมิแปลกใจ

เขาต้องการทำสิ่งใด ?

เบื่อที่จะมีชีวิตแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ทิ้งสาวงามทั้งสองที่ยังมิได้แม้แต่เข้าห้องหอไว้ที่นี่ เขาตายด้านกับชีวิตทางโลกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? มิหวังสิ่งใดแล้วหรือ ?

แต่เขาก็มิได้เข้าไปห้ามปรามฟู่เสี่ยวกวนแต่อย่างใด เนื่องจากว่าแต่ละคนล้วนมีสิทธิ์ในการตัดสินใจและความคิดเป็นของตนเอง

เพียงแต่เขามองไปยังกล่องสีดำที่ฟู่เสี่ยวกวนสะพายไว้แล้วคิดไปว่า เจ้าสิ่งนี้เดิมทีซูเจวี๋ยเป็นผู้สะพาย เขาคาดว่าน่าจะเป็นอาวุธของซูเจวี๋ย คาดมิถึงว่าซูเจวี๋ยและศิษย์จากสำนักเต๋าจะเดินทางไปฆ่าเป่ยหวังฉวน แต่กลับนำสิ่งนี้ทิ้งเอาไว้ให้กับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนเขายืนนิ่งอยู่ที่นั่นทำไมกัน ?

พวกเขาเหล่านั้นคือผู้มีฝีมือทั้งสิบสองคนเชียว !

อีกประเดี๋ยวค่อยเข้าไปดูก็แล้วกัน จะได้เก็บศพเขามาด้วย ข้าเห็นแก่กวีที่เขาประพันธ์ขึ้นมาหรอก ข้าจะอนุญาตให้ฝังเขาไว้บนเขาแห่งจายซิงถายนี้ก็แล้วกัน ที่นั่นบรรยากาศมิเลวเลยทีเดียว สามารถมองเห็นเมฆหมอกได้อีกด้วย !

……

……

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในลานกว้าง เขาจุดตะเกียงใบหนึ่ง จ้องมองไปยังชายชราที่ท่าทางครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างมิกะพริบตา

“เจ้าว่า…เจ้าคือโหยวเป่ยโต้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“……”

“มิใช่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปยังเกาะลั่วเหมยแห่งชางฮ่าย เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? ”

โหยวเป่ยโต้วรู้สึกว่าโอรสขององค์จักรพรรดิผู้นี้ช่างน่ารำคาญยิ่ง

“ข้ามีขา”

“ข้าได้ยินมาว่าหนิงฝาเทียนเดินทางไปเกาะลั่วเหมยเพื่อประลองกับเจ้า ? ”

“……”

“ผู้ใดชนะหรือ ? อ่า ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้ว แน่นอนว่าเจ้าจะต้องเป็นผู้ชนะ…แล้วหนิงฝาเทียนเล่า ? เขาตายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิตาย”

“แล้วเขาได้เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้วหรือไม่ ? ”

โหยวเป่ยโต้วเงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวน

บุตรนอกสมรสของฝ่าบาทผู้นี้ เขาจะสงสัยอันใดกันนักหนา ?

เรื่องราวของยุทธภพ ไปเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้ากัน !

สิ่งที่เจ้าต้องใส่ใจตอนนี้ก็คือชีวิตเจ้าต่างหากเล่า !

แต่เมื่อนึกถึงหน้าที่ที่ฝ่าบาทประทานให้ เขาก็อดทนตอบคำถามไปว่า “เขาใกล้จะเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว อีกทั้งบัดนี้ก็อยู่ในเมืองกวนหยุน…”

ราวกับกังวลว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยถามสิ่งใดออกมา เขาจึงได้เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “เกรงว่าบัดนี้เขากำลังร่วมดื่มชากับผู้บัญชาการราชองครักษ์เซียวจ้านในค่ายทหาร”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง เหตุใดชื่อนี้จึงฟังดูคุ้นเคยมากยิ่งนัก ?

“เซียวจ้านคือผู้ใดกัน ? ”

“พระเชษฐาของจักรพรรดินีเซียว”

“เหตุใดจักรพรรดินีเซียวจึงต้องการชีวิตข้าเช่นนี้กัน ? ”

โหยวเป่ยโต้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาคล้ายมองพวกปัญญาอ่อน เขารู้สึกว่าบุตรนอกสมรสผู้นี้มีความฉลาดพอ ๆ กับฝ่าบาทอย่างแท้จริง

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกได้ว่าคำถามเมื่อครู่ของตนช่างไร้สาระสิ้นดี จึงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามคำถามที่ดูไร้สาระกว่าเดิม “กระบี่ของเจ้าเล่า ? ”

……

……

ดาบของฉือมู่ถูกชักออกจากฝักเสียงดัง เผยให้เห็นดาบด้านในยาวประมาณหนึ่งฉื่อ แต่มิได้เผยถึงความเยือกเย็นออกมาเลยแม้แต่น้อย

หนิงซือเหยียนรู้สึกเดือดดาลยิ่ง ไก่ตัวนี้ยังเหลืออีกตั้งครึ่งตัว หากเขาจะไปขโมยไก่มาจากจวนของหานลู่อีกครานั้นก็คงมิง่ายแล้ว แม่นางผู้นั้นคอยจับตามองเขาอยู่ ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง !

“เจ้ารอสักหน่อยมิได้หรือเยี่ยงไรกัน ! ”

ฉือมู่มิเคยพบกับผู้ที่ห่วงการกินมากกว่าชีวิตของตนเองเฉกเช่นนี้มาก่อน !

ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หนิงซือเหยียนผู้ชื่นชอบสุรา มีชื่อเสียงยิ่ง

“ข้าใช้ชีวิตในคุกมา 5 ปี และได้นั่งลับดาบมาถึง 5 ปีเต็ม แทบจะอดใจรอมิได้ว่าดาบของข้าจะคมหรือไม่ ดังนั้น…ขออภัยที่ข้ามิอาจรอได้”

หนิงซือเหยียนถอนหายใจออกมา “เจ้าลับดาบมาถึง 5 ปี แต่กระบี่ข้านั้นมิได้ใช้มาถึง 2 ปี เจ้ากำลังจะรังแกข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หนิงฝาเทียนคลั่งอยู่กับความรักยังมีฝีมือกระบี่ที่เก่งกาจได้ คาดว่าเจ้าก็คงจะคลั่งอยู่กับสุราแต่ก็ลับกระบี่ให้คมได้เช่นกัน”

“อย่าเอ่ยชื่อของมันต่อหน้าข้า ! ”

หนิงซือเหยียนรู้สึกเดือดดาลมากกว่าเดิม เขาลุกขึ้นยืนแล้วชักกระบี่ออกมาท่ามกลางอากาศเสียงดังเช้ง ! ดูเหมือนจะสื่อถึงอารมณ์ที่อยู่ในใจได้เป็นอย่างดี

คลั่งมีดฉือมู่ก็ชักดาบออกมาเช่นกัน

ดาบเล่มนั้นเผยถึงพลังที่แข็งแกร่งเมื่อมาอยู่ในมือของเขา “รับดาบไปเสีย ! ”

“รับบ้าบออันใดของเจ้า ! ”

หนิงซือเหยียนจับกระบี่ยาวของเขาแล้วฟันลงอย่างไร้วี่แวว และไร้ซึ่งความปราณี

ดาบของฉือมู่กวัดแกว่งเป็นประกายท่ามกลางท้องฟ้า

ประดุจทางช้างเผือกจากสวรรคาลัย !

“เช้ง ๆ ๆ ๆ ! …” วินาทีนั้น กระบี่ยาวก็ฟันเข้าที่ดาบนั้น เสียงของโลหะกระทบกันไปมาดังสนั่น ฉือมู่ทะยายขึ้นไปในอากาศ เขาแกว่งดาบวนไปมา ราวกับกำลังรวบรวมแรงโน้มถ่วง จากนั้นเมฆหมอกก็พลันพลุ่งพล่านราวกับสายน้ำ !