ตอนที่ 264 รีบไปเฮ่งจาง

มองกระบี่ไม้ท้อสี่เล่มที่ยาวไม่เกินนิ้วชี้ตรงหน้า หยางโปก็ตกตะลึงไป กระบี่ไม้ท้อสี่เล่มนี้แทบจะไม่ได้มีมูลค่ามากพอที่จะขายไปห้าล้านหยวน นี่เป็นการค้าที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลกำไรก้อนโตจริงๆ !

แต่หลูตงซิวราวกับคุ้นเคยในการทำแบบนี้ สองมือพนมไหว้อีกครั้งแล้วก็ค้อมคำนับให้กับพระอาจารย์

เซวียน ” ขอบคุณพระอาจารย์เซวียนจริงๆ ครับ “

พระอาจารย์เซวียนหัวเราะ แล้วก็มองไปทางพวกของหยางโปสามคน ” กระบี่ไม้ท้อสี่เล่มนี้ป้องกันได้แค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น พวกประสกต้องจำเอาไว้ว่าคนที่จะแก้ได้มีแต่คนที่สร้างมันขึ้นมาเท่านั้น “

กล่าวจบพระอาจารย์เซวียนก็หยิบพวงเงินโบราณสามพวงที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา มือหนึ่งตั้งไว้ตรงหน้าอก คำนับให้กับทุกคนน้อยๆ ” อมิตาภพุทธ ประสกรักษาตัวด้วย ! “

 

ทั้งสี่คนต่างก็หยิบกระบี่ไม้ท้อขึ้นมา ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ แต่ว่ายังคำนับส่งพระอาจารย์เซวียนตามพิธี

กลับมาที่โถงใหญ่ของโรงแรมแล้ว ลัวย่าวหัวก็หยิบกระบี่ไม้ท้อ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง ” นี่จะใช้ได้จริงเหรอ ? “

” น่าจะใช้ได้นะ พวกเธอวางใจเถอะ ” หลูตงซิงกล่าว

ตาอ้วนหลิวก็พยักหน้า ” ฉันก็เคยได้ยินชื่อเสียงของพระอาจารย์เซวียน มันน่าจะได้ผลมากนะ “

แม้จะกล่าวแบบนี้แต่ตอนที่ทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบนก็ยังไม่กล้าขึ้นลิฟต์ ได้แต่เดินขึ้นบันไดเอา

เมื่อกลับไปถึงห้องแล้ว หยางโปก็เปิดกาต้มน้ำ แล้วก็เข้าไปเปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นปกติ ไม่นานน้ำก็ร้อนแล้ว !

 

ทุกอย่างราวกับว่ามันกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ แต่หยางโปกลับรู้สึกร้อนอกร้อนใจ เพราะว่าเขาเข้าใจดีว่าพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องแค่ชั่วคราว พวกเขาจะต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้เร็วที่สุด มีแค่แก้ไขให้เรียบร้อยแล้วเท่านั้นถึงจะไม่ตกอยู่ในโชคร้ายพวกนี้อีก

ไม่นานทั้งสี่คนก็มารวมตัวกัน ทุกคนคืนห้องแล้วก็นัดกันว่าวันพรุ่งนี้ไปเจอกันที่สนามบิน แล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

กลับไปถึงบ้านแล้วหยางโปก็หยิบกระบี่ไม้ท้อขึ้นมาจ้องมองดู อยากจะมองหาความลึกลับที่อยู่ในกระบี่ไม้ท้อ

ลำแสงตรงหน้าก็สว่างขึ้น หยางโปมองจนเห็นกระบี่ไม้ท้อตรงหน้าปรากฏลำแสงสีเหลืองที่ไม่ค่อยเหมือนกับก่อนหน้านี้นัก ขณะที่เหม่อลอยนั้นหยางโปถึงกับมองเห็นอักษรสวัสดิกะ ” 卐 ” จำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นเรืองแสงอย่างต่อเนื่องอยู่ตรงหน้า !

 

” นี่มัน ! ” หยางโปตกตะลึง นี่คือเรื่องที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน !

เขาหลับตาลง แล้วก็หยิบลายแทงขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้าเขาเคยมองดูแล้วไม่เจออะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย พอหยิบออกมาดูอีกครั้ง สีหน้าของหยางโปก็แฝงไปด้วยความเคร่งขรึม

ไม่นานเขาก็มองเห็นลำแสงสีขาวที่สว่างวาบลอยขึ้นมาบนลายแทง แต่ว่าขณะที่ลำแสงสีขาวค่อยๆ ควบรวมกันอยู่นั้น จู่ๆ บนลายแทงก็ปรากฏเมฆดำกลุ่มหนึ่ง เมฆดำลอยตัวสูงขึ้นแต่กลับรวมตัวกันอยู่บนลายแทง ส่องไอดำเป็นริ้วบางๆไปรอบๆด้าน !

กระบี่ไม้ท้ออยู่ไม่ไกลจากลายแทง ไอสีดำก็สลายตัวไป ลำแสงสีเหลืองบนกระบี่ไม้ท้อเปล่งประกายออกมา อักษร ” 卐 ” ผุดขึ้นในไอสีดำ อักษร ” 卐 ” และไอดำต่อต้านกันและกัน ไม่นานไอดำก็บีบรัด ในขณะเดียวกัน อักษร ” 卐 ” สีเหลืองก็ราวกับหายไปอย่างช้าๆ !

 

หยางโปพลันเข้าใจในทันนี้ นี่ก็คือคำเตือนของพระอาจารย์อย่างชัดเจน กระบี่ไม้ท้อเล่มเล็กไม่มีทางขจัดไอดำทั้งหมดได้ !

หยางโปลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คิดอยากจะโยนลายแทงทิ้งไป แต่เขาหวนกลับมาคิดอีกที วันนี้ตอนที่พระอาจารย์เซวียนบอกวิธีการมา ก็ไม่ได้พูดถึงว่าการโยนต้นเหตุของโชคร้ายออกไปแล้วจะแก้ปัญหาได้ บางทีพวกเขาทั้งสี่คนอาจจะแปดเปื้อนของสกปรกไปแล้ว โยนลายแทงทิ้งไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร !

หยางโปจัดเก็บลายแทงเอาไว้ดีแล้วก็เอาด้ายสีแดงร้อยกระบี่ไม้ท้อห้อยเอาไว้ที่คอ กระบี่ไม้ท้อเล็กๆแบบนี้จะต้องเคยทำพิธีมาแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่จะมีผลแบบนี้ได้ สิ่งนี้ทำให้หยางโปจำต้องเลื่อมใสพระอาจารย์เซวียนมากขึ้นไม่น้อย

 

หยางโปกำลังจะออกไปกินมื้อเย็นเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากชุยอี้ผิงอีกครั้ง

” ไปทานมื้อเย็นด้วยกันไหม ? ” ชุยอี้ผิงกล่าว

หยางโปมองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ด้านนอกท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ตอนนี้ในอกของเขาเต็มไปด้วยความต้องการแก้ไขโชคร้าย แล้วก็คิดว่าชุยอี้ผิงอาจจะมาพร้อมกับชุยซื่อหยวน หยางโปก็เอ่ยปฏิเสธไป ” ฉันกินข้าวแล้ว ช่างเถอะ ไว้ครั้งหน้านะ ! “

ชุยอี้ผิงพูดไม่ออก เขาหันกลับไปมองชุยซื่อหยวน ชุยซื่อหยวนขมวดคิ้ว ชุยอี้ผิงก็ตอบกลับไปว่า ” ไม่เป็นไร กินแล้วก็กินอีกรอบก็ได้ “

” อย่าเลย วันนี้ฉันยุ่งมาก ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยแล้ว ไว้ไปกินด้วยกันครั้งหน้านะ ! ” หยางโปเอ่ย

 

ชุยอี้ผิงจนปัญญา เงยหน้ามองชุยซื่อหยวน ชุยซื่อหยวนหลับตาแล้วก็โบกมือ ” ถ้างั้นก็ได้ ดูท่าครั้งหน้าฉันจะต้องโทรหานายก่อนแล้วล่ะ “

ชุยอี้ผิงวางสายแล้วก็มองไปทางชุยซื่อหยวน ” วันนี้เราช้าไปหน่อยครับ “

ชุยซื่อหยวนส่ายหน้า ” เด็กคนนี้ฉลาดมาก เขาน่าจะรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ดังนั้นถึงได้ไม่ยอมมา “

” คุณอาครับ หยางโปน่าจะไม่รู้หรอกมั้ง ? ” ชุยอี้ผิงไม่ค่อยอยากเชื่อ

ชุยซื่อหยวนยังคงส่ายหน้า ” ช่างเถอะ ไม่มาก็ไม่มา อี้ผิง ช่วงนี้ลำบากเธอแล้วนะ ทั้งดึงเธอกลับมาจากเบอร์ลิน และยังเหนี่ยวรั้งการเรียนของเธออีก “

 

ชุยอี้ผิงหัวเราะขึ้นมา ” ถ้าหากสามารถทำให้หยางโปเข้ามาในครอบครัวของเราได้จริงๆ ก็นับว่าผมทำความดีความชอบชิ้นหนึ่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นด้วยระดับของผมตอนนี้ ถึงแม้จะรั้งอยู่ที่เบอร์ลินก็ไม่คืบหน้าสักเท่าไหร่ หลังจากกลับประเทศแล้ว เรียนทักษะการวาดภาพโบราณของจีน ผมก็รู้สึกว่าตอนนี้ระดับของผมเพิ่มขึ้นสูงมากเลย ! “

ชุยซื่อหยวนพยักหน้า ” ใครเป็นคนก่อก็ต้องให้คนนั้นแก้ เรื่องนี้เกิดเพราะฉัน หยางโปน่าจะผ่านกำแพงในใจไม่ได้ ฉันในฐานะพ่อยังทำหน้าที่ได้ไม่พอ ! “

ชุยอี้ผิงยิ้มแล้วก็ไม่ได้ตอบรับ

 

หยางโปไม่ได้คิดมาก เขาก็อาบน้ำเข้านอนแต่หัววัน เขารู้ว่าตนเองจะต้องออมแรงเก็บกำลังเอาไว้ ต่อไปยังมีเรื่องที่ต้องพยายามอย่างหนักรอเขาอยู่ !

วันต่อมา ทั้งสี่คนก็มาเจอกันที่สนามบิน หลูตงซิงยังพาบอดี้การ์ดอีกสี่คนตามมาด้วย แค่ว่าทั้งสี่คนแต่งตัวไม่เป็นทางการสักหน่อย แล้วอยู่ห่างจากหลูตงซิงช่วงหนึ่ง ทำให้คนนอกมองไม่ออก

เครื่องบินมุ่งหน้าไปที่กุ้ยหยาง ตลอดทางใช้เวลาไปสามชั่วโมงครึ่ง ถึงแม้พวกเขาจะออกเดินทางแต่เช้า ก็ยังมาถึงกุ้ยหยางตอนบ่ายอยู่ดี

กินมื้อกลางวันอย่างง่ายๆ แล้วก็จองรถมาสองคัน จนกระทั่งตอนเกือบจะห้าโมงเย็น ทุกคนถึงค่อยมาถึงอำเภอเฮ่อจาง

 

อำเภอเฮ่อจางคืออำเภอทำการกสิกรรม ไม่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจมากนัก อำเภอเล็กมาก เข้าไปทีเดียวแปดคนก็นับว่าสะดุดตาแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องแบ่งกันเข้าพักสองโรงแรม

เวลานี้ ทุกคนเหนื่อยล้าอยู่นานแล้ว ซื้อของจากข้างนอกมากินอย่างพอเป็นพิธีแล้วก็กลับไปที่ห้องพัก

ลัวย่าวหัวพลิกกระบี่ไม้ท้อเล่นในมือ ” นายว่าพวกเราไม่ได้ติดต่อกับฉินโถวนี่มันดีหรือเปล่านะ ? “

หยางโปนอนอยู่บนเตียง ในใจก็คิดถึงปัญหาข้อนี้ ไม่ติดต่อกับฉินโถวนั้นเป็นความคิดร่วมกันของพวกเขา เพราะว่าวันนั้นการแสดงออกของฉินโถวน่าสงสารมากเกินไปจริงๆ ทำให้คนเกิดสงสัยได้ง่ายมาก

” น่าจะไม่เป็นไรหรอก ” หยางโปเอ่ย

กล่าวจบจู่ๆ หยางโปก็เอ่ยว่า ” ในเมื่อฐานะของทั้งสามคนนั้นได้รับการยืนยันแล้ว พวกเราก็รับว่าช่วยทำพิธีศพ ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น “

ลัวย่าวหัวก็ถอนหายใจ ” ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้มันจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นเลยน่ะซิ “