[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 486 : โกลาหล!
ทางช้างเผือกเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับสะพานข้ามฟากฟ้า ในยามค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ท้องนภากลับสว่างไสวไปด้วยแสงจันทร์ที่ทอดลงมาราวกับสายน้ำ..
ก่อนไปหลิงหยุนได้สั่งให้ไป๋เซียนเอ๋อใช้วิชาลวงตาปกปิดถ้ำแห่งนี้ไว้..
หลิงหยุนมั่นใจว่า ตราบใดที่ไป๋เซียนเอ๋อยังไม่ถอนวิชาลวงตานี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือก็ไม่อาจที่จะมองเห็นถ้ำแห่งนี้ได้
ความจริงแล้ว.. ถ้ำแห่งนี้ก็เป็นเพียงแค่ถ้ำหินธรรมดาๆเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้วิชาลวงตาซ่อนไว้เลย แต่เพราะหลิงหยุนรู้ว่า เมื่อใดที่เขาออกจากเกาะเตียวหยูไปแล้ว ทหารญี่ปุ่นก็จะต้องขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้อีกครั้ง เขาจึงไม่ต้องการให้ถ้ำแห่งนี้กลายเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามา
ส่วนศพของทหารญี่ปุ่น และทหารอเมริกันบนเกาะ หลิงหยุนก็ได้จัดการเตะลงไปเป็นอาหารของสัตว์น้ำในทะเลจนหมดแล้ว กว่าจะมีคนเข้ามา ก็คงไม่เหลือแม้แต่ซากแล้ว
หลังจากที่หลิงหยุนและไป๋เซียนเอ๋อได้ทำการสำรวจความเรียบร้อยบนเกาะอย่างละเอียดแล้ว ทั้งคู่ก็พากันขึ้นสปีดโบ๊ท และมุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมือง
เรือของหลิงหยุนเคลื่อนออกจากเกาะเตียวหยูไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว
ลมทะเลโชยมาอ่อนๆ ท้องทะเลเงียบสงบไร้คลื่นลม..
หลิงหยุนขับเรือไปด้วยความเร็วในอัตรา 50 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง ท่ามกลางท้องทะเลเงียบสงบใต้แสงจันทร์นั้น เรือที่กำลังแล่นไปนั้นได้สร้างฟองสีขาวสองสายขึ้นไปตลอดทาง!
ท่ามกลางท้องทะเลสุดลูกหูลูกตา หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องอยู่บังคับหางเสือของเรือ เขาขึ้นไปยืนปะทะลมทะเลอยู่ที่หัวเรือกับไป๋เซียนเอ๋อ ด้วยสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ!
แม้จะเผชิญหน้ากับเมฆเก้าสี แต่เขาก็ยังไม่ตาย.. ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจแต่อย่างใด!
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงกว่า.. หลิงหยุนก็พบกับเรือลาดตระเวนของจีนอีกครั้ง เรือลำนั้นจอดนิ่งห่างจากเกาะเตียวหยูราวหกสิบไมล์ทะเล ราวกับว่ากำลังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่
มันคือเรือลาดตระเวนที่มีจางหยุนเทียนเป็นหัวหน้า และก็คือเรือลำที่หลิงหยุนเข้าไปขอยืมธงชาติมานั่นเอง
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิด จากนั้นจึงกลับไปยังห้องบังคับเรือ และค่อยๆลดความเร็วของเรือลงกว่าครึ่ง และรีบสวมผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้าของตนเองไว้
“เซียนเอ๋อ.. ใช้วิชาลวงตาปกปิดร่างของเจ้าไว้ อย่าให้ผู้คนเห็น แล้วตามข้าไปด้วยกัน!”
หลังจากครั้งนั้นแล้ว ก็ยังไม่มีทหารญี่ปุ่น หรือทหารอเมริกันขึ้นไปบนเกาะเตียวหยูอีกเลย ไม่มีแม้แต่เรือแล่นเข้าใกล้เกาะแห่งนี้ หลิงหยุนจึงต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่..
…..
หลิงหยุนใช้กำลังต่อสู้เพื่อให้สามารถเข้าไปยังเกาะเตียวหยูได้ และได้จัดการนำธงสีแดงไปปักไว้บนยอดเขาสูงสุด จากนั้นจางหยุนเทียนก็ได้สั่งให้เรือลาดตระเวนของตนออกจากเกาะไป พร้อมกับสั่งให้ตำรวจน้ำจัดการบันทึกวีดีโอภาพนาทีศักดิ์สิทธิ์ที่หลิงหยุนนำธงขึ้นไปปักไว้บนเกาะเตียวหยู!
หลิงหยุนเพิกเฉยต่อเรื่องเหล่านี้ได้ แต่จางหยุนเทียนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเขาคือหัวหน้าหน่วยตำรวจน้ำของจีน เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ใดก็ต้องรายงานกลับไปยังผู้บังคับบัญชาให้ทราบ..
อัตราการเคลื่อนที่ของเรือลาดตระเวนนั้นค่อนข้างช้ามาก อัตราความเร็วสูงสุดของมันอยู่ที่ 18 นอต ซึ่งหมายความว่าภายในสามชั่วโมง ก็จะเคลื่อนที่ออกมาจากเกาะเตียวหยูมาได้เพียง 50 ไมล์ทะเลเท่านั้น จางหยุนเทียนจึงได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่ส่งไปรับ เพื่อไปพบใครบางคนในเมืองเหวินโจว
จางหยุนเทียนได้นำเสี่ยวหลี่ที่อยู่ข้างกายเขาตลอดเวลาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปที่เมืองเหวินโจวด้วยกัน
แต่สิ่งที่จางหยุนเทียนคาดไม่ถึงก็คือว่า ไม่เพียงมีผู้บังคับบัญชาของเขาอยู่ที่นั่น แต่ยังมี ‘คนพวกนั้น’ อยู่ด้วย
คนพวกนั้นก็คือหน่วยงานซึ่งเป็นที่กล่าวขานกัน.. มีทั้งสมาชิกของกลุ่มเทพอินทรี กลุ่มนภา และกลุ่มมังกร ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่ทำงานให้กับองค์กรลึกลับของประเทศจีน
กลุ่มนภา และกลุ่มมังกรนั้นอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของผู้นำระดับสูงของประเทศจีน การที่พวกเขาปรากฏตัวที่นี่ย่อมหมายความว่า รายงานข่าวที่ผู้นำระดับสูงได้รับนั้นทำให้พวกเขาตกใจอย่างมาก!
แม้สมาชิกของกลุ่มนภา และกลุ่มมังกรจะปรากฏตัว แต่ก็ทำตัวลึกลับและไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว มีเพียงเหลยเชิ่งซึ่งเป็นคนของกลุ่มอินทรีย์ ที่คอยตั้งคำถามกับจางหยุนเทียนอย่างละเอียด
จางหยุนเทียนทั้งถามทั้งตอบ พร้อมกับเล่าเรื่องราวตามที่ได้เห็นมาทั้งหมดให้กับทุกคนฟัง จากนั้นจึงสั่งให้เสี่ยวหลี่หยิบวีดีโอและรูปที่ถ่ายไว้ออกมาให้คนพวกนั้นดู
“คุณบอกว่าชายสวมผ้าปิดบังใบหน้ามาพร้อมกับสุนัขจิ้งจอกสีขาวงั้นรึ?”
หลังจากที่เหลยเชิ่งได้ฟังคำบอกเล่าของจางหยุนเทียนแล้ว เขาก็จะถามย้ำจุดที่น่าสนใจอีกครั้ง จากนั้นจึงหันไปมองคนของกลุ่มนภา และกลุ่มมังกร แล้วจึงหันกลับมาตั้งคำถามต่อ
จางหยุนเทียนพยักหน้า “ใช่.. ผมแล้วก็ตำรวจน้ำอีกหลายนายที่อยู่ด้วยกันก็เห็นเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในคลิปวีดีโอ หรือว่ารูปถ่ายกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวนั้น.. น่าแปลกจริงๆ!”
คนของกลุ่มนภา และมังกรต่างก็หันไปมองหน้ากัน และในแววตาของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความกังวล..
มีเพียงเหลยเชิ่งที่เอาแต่จ้องมองร่างของชายสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าซึ่งปรากฏอยู่ในคลิปวีดีโอ พร้อมกับขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างหนัก..
‘คล้าย.. คล้ายมาก.. ไม่น่าจะเป็นเด็กนั่นได้? แต่..’
เหลยเชิ่งกำลังครุ่นคิดว่า รูปร่างของชายในคลิปนั้นช่างคุ้นตาเขามาก โดยเฉพาะดวงตาที่คมกริบนั้นช่างคล้ายกับหลิงหยุน ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ทำให้เขาอดที่จะนึกถึงหลิงหยุนไม่ได้!
แต่ในคืนที่เหลยเชิ่งได้พบกับหลิงหยุนลงซึ่งเป็นผู้ลงมือสังหารซันเทียนเปียวนั้น หลิงหยุนในตอนนั้นก็ไม่ได้รูปร่างผอมเช่นนี้ และวรยุทธก็ไม่ได้สูงส่งถึงเพียงนี้ด้วย และด้วยสามัญสำนักของเขา.. เป็นไปไม่ได้ที่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลิงหยุนจะสามารถฝึกฝนจนก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้!
ดังนั้นแม้ว่าเหลยเชิ่งจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นหลิงหยุน แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้! และเพียงแค่เวลาประเดี๋ยวประด๋าวนี้ เขาจึงไม่สามารถที่จะปักใจเชื่อได้ว่าเป็นหลิงหยุนจริงๆ! เหลยเชิ่งจึงสั่งให้คนของเขาไปจัดการตรวจสอบว่าในเวลานี้หลิงหยุนอยู่ที่ใด?
แต่ช่างโชคร้าย.. ที่คำตอบซึ่งเหลยเชิ่งได้รับนั้น กลับเป็นเรื่องที่ไม่สู้ดีนัก!
เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เหลยเชิ่งก็ได้รับข้อมูลกลับมาว่าหลิงหยุนไม่ได้อยู่ในเมืองจิงฉู แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปที่ใหน และไปทำอะไร?
และนี่คือความรอบคอบของหลิงหยุน! ก่อนที่จะออกเดินทางมายังเกาะเตียวหยูนั้น หลิงหยุนได้บอกกล่าวเพียงแค่คนในครอบครัว และคนสนิทที่ไว้ใจได้เท่านั้น อีกทั้งยังย้ำกับทุกคนว่าไม่ให้เปิดเผยข้อมูลกับคนนอกว่าเขาไปที่ใหน?
และจากการวิเคราะห์ของเหลยเชิ่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่คนในครอบครัว หรือคนสนิทของหลิงหยุนจะไม่รู้ว่าเขาเดินทางไปที่ใหน?
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหลยเชิ่งจึงต้องกลับไปที่เมืองจิงฉู เพื่อไปสืบด้วยตัวเองว่าหลิงหยุนอยู่ที่ใหนกันแน่?
ในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มมังกรเองก็กลับไปเมืองหลวงเพื่อรายงานข่าวให้กับผู้นำระดับสูงทราบเรื่อง ในขณะที่กลุ่มนภาได้ตามจางหยุนเทียนกลับไปที่เรือลาดตระเวน
นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่.. พวกเขาต้องหาให้พบว่าคนในตระกูลเก่าแก่ตระกูลใดกันแน่ ที่กล้าเพิกเฉยต่อกฏระเบียบ และกล้าฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างประเทศ ถึงกับยึดเอาเกาะเตียวหยูนี้คืนมา
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สมาชิกของกลุ่มมังกร และกลุ่มนภา ต่างก็ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าของตนไม่ให้เข้าไปยังเกาะแห่งนั้นหากไม่ได้รับคำสั่ง..
ชาวญี่ปุ่นหลายร้อยคนถูกสังหาร และเรือลาดตระเวนของญี่ปุ่นหลายลำก็จมหายไปในทะเล ทางประเทศญี่ปุ่นจึงขอเจรจากับทางจีนอย่างเร่งด่วน!
ภาพธงชาติจีนที่ถูกนำไปปักไว้บนจุดสูงสุดของเกาะเตียวหยูนั้น ได้แพร่สะพรัดไปทั่วทั้งประเทศจีน และชาวจีนต่างก็พากันภาคภูมิใจ..
บรรดาลูกหลานของจักรพรรดิหวงตี้ ต่างก็เฝ้ารอคอยผู้กล้าที่จะสามารถขึ้นไปบนเกาะเตียวหยูแห่งนี้ และทำการปักธงไว้ที่จุดสูงสุดของเกาะ และหลิงหยุนก็ได้กลายเป็นวีรบุรุษของประเทศจีนไปแล้วในเวลานี้!
แต่น่าเสียดายที่มีคำสั่งจากผู้นำระดับสูง.. ภาพธงแดงที่ปักตระหง่านอยู่บนเกาะเตียวหยู และภาพของหลิงหยุนจึงได้ถูกลบทิ้งจนหมด
แม้จะมีการบันทึกปากคำอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ก็ยังคลุมเครืออยู่ไม่น้อย..
สมาชิกของกลุ่มเทพอินทรี และกลุ่มนภาได้รับคำสั่งไม่ให้ข้ามไปยังเกาะเตียวหยู จึงทำได้เพียงแค่รอคอยเท่านั้น.. พวกเขารอคอยจนผ่านไปหลายวัน ไม่เพียงรอคอยการกลับมาของหลิงหยุน แต่ยังได้พบเห็นกับปรากฏการณ์ที่น่าหวาดผวาอีกด้วย..
การกลายร่างของไป๋เซียนเอ๋อนั้น ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนที่น่าหวาดกลัว อสุนีบาตที่น่าสยดสยอง และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสายฟ้าที่ดุดัน จนกระทั่งผู้คนต่างก็คิดว่ามันคือวันสิ้นโลก!
การกลายร่างของไป๋เซียนเอ๋อนั้น หากใครมีหู และมีดวงตา ก็ย่อมต้องได้พบเห็น และรับรู้ถึงความน่ากลัว!
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการกลายร่างของไป๋เซียนเอ๋อก็คือ การลงทัณฑ์ที่หลิงหยุนได้รับ ปรากฏการณ์ต่างๆ สร้างความตกอกตกใจได้มากกว่าของไป๋เซียนเอ๋อ สายฟ้าสีเงิน และสีทองทอประกายออกไปไกลถึงพันๆไมล์..
เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงแค่เป็นประสบการณ์ที่แสนประหลาดสำหรับหลิงหยุน และไป๋เซียนเอ๋อเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุการณ์ที่คนซึ่งอยู่รอบๆเกาะเตียวหยูต่างก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?!
และดูเหมือนว่าการที่หลิงหยุนถูกลงทัณฑ์นั้น ไม่เพียงแค่รอบๆเกาะเตียวหยู และไม่ใช่เพียงแค่ดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้นที่สะเทือน แต่เรียกได้ว่าทั่วทั้งจักรวาลล้วนสั่นสะเทือนไปหมด!
นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดมาก!
หลังจากที่ไป๋เซียนเอ๋อถูกสายฟ้าฟาดครั้งแล้วครั้งเล่านั้น บนเรือลาดตระเวนซึ่งห่างจากเกาะเตียวหยู สมาชิกในกลุ่มนภาสองคนต่างก็มองหน้ากันพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“สุนัขจิ้งจอกขาวน่าจะกลายร่างไม่สำเร็จ!”
ทั้งคู่ได้แต่แอบดีใจอยู่เงียบๆ เพราะนั่นเท่ากับช่วยพวกเขาขจัดปัญหาไปได้มาก..
ที่พวกเขากล้าคิดว่าไป๋เซียนเอ๋อกลายร่างไม่สำเร็จนั้น ก็เพราะไม่เชื่อว่าจะมีปีศาจตนใหนที่จะสามารถกลายร่างภายใต้อสุนีบาตที่มีอานุภาพรุนแรงเช่นนั้นได้!
กลุ่มนภาพร้อมด้วยกลุ่มมังกร นับว่าเป็นหน่วยที่ลึกลับที่สุดขององค์กรลึกลับแห่งประเทศจีน พวกเขาจึงเข้าใจเรื่องราวแปลกประหลาดได้อย่างง่ายดาย และมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ค่อนข้างมาก
และทั้งคู่ก็คาดไม่ผิด.. เพราะความจริงแล้วไป๋เซียนเอ๋อก็ไม่ควรที่จะกลายร่างได้สำเร็จ หากไม่ได้หลิงหยุนถ่ายเทพลังอมตะให้ หากมันไม่ลงไปที่ก้นหลุมยักษ์กับหลิงหยุนจนได้อาบพลังอมตะที่พุ่งออกมาจากพู่กันกับสมุดจักรพรรดิ และหากไม่ได้ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไป..
เมื่อท้องฟ้า และท้องทะเลกลับคืนสู่ความสงบ สวรรค์และโลกก็คืนสู่ความสงบสุขเช่นเดิม คนของกลุ่มนภาต่างก็รออยู่บนเรือลาดตระเวนเป็นเวลาหลายวัน แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลิงหยุน
“หรือหมอนั่นจะตายเพราะอสุนีบาตที่ทรงอานุภาพเหล่านั้นไปแล้ว..” สมาชิกสองคนของกลุ่มนภาต่างก็คาดเดา
ในช่วงเวลานั้น ทั้งหลิงหยุนและไป๋เซียนเอ๋อต่างก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และมีอิสระเสรีอยู่บนเกาะเตียวหยู!
สมาชิกสองคนของกลุ่มนภายังคงรอคอยกันอยู่อีกหลายวัน แต่หลังจากนั้นก็ได้รับคำสั่งจากผู้นำระดับสูงให้ออกมาจากเรือลาดตระเวน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เรือของจางหยุนเทียนก็ยังคงมาจอดนิ่งอยู่กลางทะเล ห่างจากเกาะเตียวหยูไปราวหกสิบไมล์ทะเลอยู่เช่นนี้ทุกวัน
จางหยุนเทียนได้เคยพบหลิงหยุนแล้ว และเขามั่นใจว่าหลิงหยุนจะต้องไม่ตาย!
และจางหยุนเทียนคาดเดาได้แม่นยำ.. ในคืนนั้นเขายืนอยู่บนหัวเรือลาดตระเวน และในที่สุดก็เห็นเรือที่คุ้นตากำลังแล่นเข้ามาใกล้!