[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 487 : ดีแต่เปลือก!
ในยามค่ำคืน.. เรือของหลิงหยุนค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้เรือลาดตระเวนของจางหยุนเทียน และในที่สุดก็ไปจอดอยู่ใกล้ๆ!
หลิงหยุนเดินออกมาจากห้องบังคับเรือ และจ้องมองไปยังจางหยุนเทียนที่กำลังยืนอยู่บนหัวเรือด้วยท่าทางตื่นเต้น จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนเรือลาดตระเวนด้วยความคล่องแคล่ว และสง่างาม..
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองซึ่งไม่ต่างจากเรดาร์ที่สามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางได้ และสำรวจพบว่าบนเรือลาดตระเวนลำนี้ยังมีผู้ที่มีวรยุทธอยู่อีกถึงสามคน
เป็นชายหนึ่งคน และหญิงอีกสองคน..
ชายหนุ่มผู้นี้อายุราวยี่สิบห้าปี และอยู่ในขั้นเซียงเทียน-1 รูปร่างสูง ผิวขาว ดูเป็นคนเฉลียวฉลาด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันผู้คนอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนจะไม่เห็นใคร หรือสิ่งใดอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย..
ส่วนหญิงสาวคนแรกนั้นดูเหมือนจะอายุราวยี่สิบปี แม้จะมีใบหน้าสวยงาม แต่ก็แต่งหน้าหน้าเตอะ หน้าอกตั้งตรง ริมฝีปากค่อนข้างใหญ่เล็กน้อยแต่ได้รูปสวยงามนั้นถูกเคลือบด้วยลิปสติก ดวงตามีเสน่ห์ และดูเหมือนหญิงสาวที่มีวรยุทธในโลกนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-9
เด็กสาวอีกคนดูเหมือนจะแตกต่างจากคนแรกโดยสิ้นเชิง นางดูเหมือนจะอายุน้อยกว่าเสี่ยวเม่ยหนิงเสียอีก แต่รูปร่าง และใบหน้านั้นงดงามกว่า
ผมยาวสีดำถูกผูกเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง และใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางนั้นเผยให้เห็นผิวที่ขาวนวล และดวงตากลมโตสดใสราวกับท้องฟ้าที่มีดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ อีกทั้งขนตายาวที่กระพริบถี่ๆนั่น ก็ชวนมองยิ่งนัก
ลำคอยาวระหงส์สวยงามดูเย้ายวน แม้ว่านางจะเพิ่งอายุเพียงแค่สิบหกปี แต่หน้าอกทั้งสองข้างกลับกลมกลึง และดูโตกว่าวัย เสื้อสีแดงรัดรูปนั่นก็ยิ่งเผยให้เห็นสัดส่วนที่สวยงามเหนือหญิงสาวอีกคน
แม้เด็กสาวผู้นี้จะอายุยังน้อย แต่นางกลับมีส่วนสูงถึงหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตร ทำให้เป็นที่สะดุดตายิ่งนัก ขาที่เรียวยาวทั้งสองข้างภายใต้กระโปรงสีแดงนั้น ก็ยิ่งเน้นให้นางมีรูปร่างที่งดงามน่ามองยิ่งขึ้น
เสื้อผ้าสีแดงโอบรัดเรือนร่างขับให้ผิวขาวของนางละเอียดลออ และขาวนวลยิ่งขึ้น นับว่าเป็นสาวน้อยที่งดงามมากคนหนึ่ง สายตาของนางที่เต็มไปด้วยความเย็นชานั้น กำลังจ้องมองออกไปยังที่ห่างไกล และเหลือบมองไปทางอื่นบ้างเป็นครั้งคราว นางมีความงดงามที่ทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกไม่กล้าที่จะเข้าใกล้..
หลิงหยุนมองแล้วได้แต่แอบนึกขันอยู่ในใจ พร้อมกับคิดว่าอายุเพียงแค่สิบหกปี จะเด็กเกินไปที่จะมาเป็นยอดดวงใจของเขาอีกคนหรือไม่?
ในจำนวนยอดฝีมือทั้งสามคนนั้น สาวน้อยหน้าตางดงามผู้นั้นอยู่ในขั้นต่ำสุด ฝีมือของนางยังอยู่เพียงแค่ระดับเริ่มต้นของขั้นโฮ่วเทียน-6 เท่านั้น แต่หลิงหยุนกลับเห็นว่า นางมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนที่สูงมากอย่างน่าอัศจรรย์ และสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วในวันข้างหน้า..
ชายหนุ่มคนหนึ่ง และหญิงสาวอีกสองคน ต่างก็นั่งล้อมเป็นวงกลมอยู่ในห้องโดยสารของเรือคล้ายกับกำลังปรึกษาหารืออะไรกันอยู่ และจากที่หลิงหยุนสังเกตเห็นนั้น ดูเหมือนว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา และหญิงสาวที่อายุมากกว่าออกจะดูแคลนสาวน้อยผู้นั้น และไม่ต้องการที่จะเสวนากับนาง
เด็กสาวผู้นั้นเองก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดี นางจึงเพียงแค่นั่งฟังเงียบๆ และพยักหน้าบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ในแววตากลับซ่อนความเหยียดหยันไว้..
แม้คนของกลุ่มนภาจะเดินทางกลับไปหมดแล้ว แต่กลุ่มเทพอินทรีก็ได้สั่งให้คนทั้งสามเฝ้ารอหลิงหยุนกลับมาจนกว่าจะพบตัวเขา และหากตายก็ต้องพบศพ..
เพียงแค่ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดู หลิงหยุนก็รู้ว่าทั้งสามคนไม่สามารถทำอะไรเขาได้แน่ จึงหันไปมองจางหยุนเที่ยนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเขา
“โอ้สหาย.. เอ่อ..ท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว?!”
หลิงหยุนเดินทางมาที่เกาะเตียวหยูเพียงคนเดียว และการกระทำของเขาก็ได้ปลุกจิตวิญญาณของชาวจีนที่ดับไปแล้วให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง จางหยุนเทียนทั้งนับถือและชื่นชมในการกระทำของหลิงหยุนจากหัวใจ และเมื่อได้พบหลิงหยุนอีกครั้ง จึงไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่าอย่างไรดี..
“อืมม.. ข้ากลับมาแล้ว!”
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยเสียงนิ่งเรียบ และได้ใช้กำลังภายในปรับแต่งน้ำเสียง ให้เสียงของตนเองฟังแหบแห้งขึ้นเล็กน้อย
จางหยุนเทียนอายุมากกว่าหลิงหยุนหลายปี แต่กลับใช้คำสรรพนามแทนชื่อของเขาว่า ‘ท่าน ’ หลิงหยุนเองก็ไม่ได้ห้าม หรือต้องการอธิบายสิ่งใด เขาเพียงแค่ต้องการจะถามจางหยุนเทียนไม่กี่คำแล้วก็จะรีบกลับไป เพราะไม่ต้องการให้ใครจดจำเขาได้จนอาจก่อให้เกิดปัญหามากมายกว่านี้
เมื่อเห็นจางหยุนเทียนกำลังจะอ้าปากพูด หลิงหยุนจึงรีบจับมือของเขาไว้เพื่อเป็นการห้ามปราม พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นเคย
“เจ้าตอบคำถามของข้าก็พอ..”
“หลังจากคืนนั้น.. เกิดอะไรขึ้นกับประเทศจีนบ้าง?” หลิงหยุนใช้คำว่าคืนนั้น ย่อมหมายความถึงคืนที่เขาเพิ่งจะมาถึงเกาะเตียวหยู
จางหยุนเทียนตอบด้วยความตื่นเต้น “คนจีนไม่เคยได้เข้าใกล้เกาะเตียวหยูมานานหลายปีแล้ว แต่ท่านกลับบนำธงชาติขึ้นไปปักบนยอดเขาได้ และเมื่อข่าวแพร่สะพรัดออกไป จึงเกิดความโกลาหลไปหมด!”
“ตอนนี้ท่านได้กลายเป็นวีรุบุรุษของประเทศจีนไปแล้ว!”
หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อย.. การนำธงชาติขึ้นไปปักบนเกาะเตียวหยูนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสำหรับหลิงหยุน มันเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก เขาจึงไม่ได้สนใจกับเรื่องความโกลาหลที่เกิดขึ้นนัก และไม่สนใจกับคำว่าวีรบุรุษเสียด้วยซ้ำไป ไม่เพียงไม่สนใจ แต่กลับบไม่รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย..
หลิงหยุนยังคงดูเงียบขรึมและสงบนิ่งพร้อมกับถามต่อทันที “แล้วพวกญี่ปุ่นล่ะ?”
จางหยุนเทียนเห็นหลิงหยุนไม่มีสีหน้าท่าทางตื่นเต้นแม้แต่น้อย จึงรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง แต่ในใจกลับคิดว่าหลิงหยุนเป็นคนที่มีวรยุทธสูงส่ง เขาคงจะไม่สนใจกับเรื่องชื่อเสียงพวกนั้น แล้วก็ยิ่งนึกชื่นชมเขาอยู่ในใจมากยิ่งขึ้น
จางหยุนเทียนกำหมัดด้วยความตื่นเต้น และตอบไปอย่างกระตือรือร้น “คนญี่ปุ่นน่ะเหรอ? ท่านจมเรือลาดตระเวนของพวกเขาไปหลายลำ แล้วก็ฆ่าคนของเขาไปมากมาย ไม่เพียงคนทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นจะตกอกตกใจ และถึงกับมีการเตรียมกองกำลัง!
“อ่อ.. กองกำลังงั้นรึ?” หลิงหยุนยังคงจำคืนที่ไป๋เซียนเอ๋อกลายร่างได้ คืนที่มีนินจากว่าร้อยคนบุกขึ้นไปบนเกาะ
จางหยุนเทียนเกาศรีษะ พร้อมกับนึกทบบทวนอย่างละเอียด เขาเหลือบมองเข้าไปในห้องโดยสารซึ่งมีคนของกลุ่มเทพอินทรีย์อยู่สามคน แล้วจึงกระซิบเสียงเบาว่า
“ผมรู้มาว่า.. ยังมีการสั่งการบางอย่างที่ตำแหน่งอย่างผมไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ได้..”
“แต่จากข่าวที่ผมได้ยินมานั้น ว่ากันว่าตั้งแต่คืนนั้น.. นายกรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่นโกรธมาก และประท้วงด้วยการเพิกเฉยต่อผู้นำจีนทั้งหลาย และขอให้ทางเราจัดการส่งตัวท่านให้กับทางญี่ปุ่นเป็นผู้จัดการ ไม่เช่นนั้น..”
“ทำไมรึ?!” หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความอยากรู้ทันที
“คือผมได้ยินมาว่ามีชาวญี่ปุ่นหลายคนที่มีวรยุทธสูงส่งเช่นเดียวกับท่าน ได้ลอบเข้ามาในประเทศจีน พวกนั้นถึงขั้นสาบานว่าไม่ว่ายังไง ก็ต้องสังหารท่านให้ได้ และค่าหัวของท่านในเวลานี้ก็แพงมาก พวกมันต้องการนำศพของท่านกลับไปประเทศญี่ปุ่น!”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะหึหึ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าไปมาก และยังไม่เคยทดสอบความแข็งแกร่งของตนเองเลย ชาวญี่ปุ่นพวกนี้ช่างมาได้ในเวลาเหมาะเจาะยิ่งนัก!
“เอาล่ะ.. คำถามที่สาม แล้วพวกอเมริกาล่ะ..” หลิงหยุนถามขึ้นอีกครั้ง
ในการกลายร่างครั้งสุดท้ายของไป๋เซียนเอ๋อนั้น หลิงหยุนก็ไม่เห็นเหล่าทหารอเมริกันที่ขี้ขลาดอีกเลย เขาจึงต้องการรู้ว่าสหรัฐอเมริการจะมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร?
“เรื่องนั้น..”
จางหยุนเทียนกำลังพูดออกมา แต่ก็มีเสียงดังขัดจังหวะขึ้นมาก่อน..
“นี่.. เจ้าเพิกเฉยต่อข้อตกลงลับระหว่างประเทศ ใช้วรยุทธบุกเข้าไปบนเกาะเตียวหยู สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศของเรามากมาย ปัญหาที่เจ้าสร้างขึ้น ทำให้ประเทศต้องตกอยู่สถานการณ์ที่ซับซ้อน กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ยังจะถามถึงคนอเมริกันอีกทำไมกัน?!”
หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองด้วยซ้ำไป เขารู้ว่านั่นเป็นเสียงของหญิงสาวอายุยี่สิบปี นางได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก จึงได้ออกมาจากห้องโดยสาร และร้องถามหลิงหยุนอย่างไม่เป็นมิตร..
ใบหน้าของหลิงหยุนนิ่งเรียบ และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าเป็นใคร?”
จากนั้นชายร่างสูง และสาวน้อยหน้าตาสวยงามก็ตามออกมา และเข้ามายืนตรงหน้าหลิงหยุนกับจางหยุนเทียน
หญิงสาวผู้นั้นเหลือบมองหลิงหยุนเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“หากเจ้าเป็นคนจากตระกูลเก่าแก่ ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อของกลุ่มเทพอินทรี และข้าก็คือเฉินเจี้ยนโหยว!”
ดูเหมือนว่านางจะภูมิใจกับฐานะของตนเอง และตระกูลของนางมาก เมื่อหลิงหยุนถามจึงรีบตอบกลับมาอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นจึงยกมือขึ้นชี้ไปยังชายหนุ่มที่กำลังตามออกมา
“ส่วนเขาก็คือหัวหน้าในการปฏิบัติภารกิจของกลุ่มเทพอินทรีในครั้งนี้ ชื่อว่า.. หลงเทียนเจียว!”
และนางก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น นั่นเพราะสาวน้อยอีกคนมีฝีมืออยู่เพียงแค่ระดับเริ่มต้นของขั้นโฮ่วเทียน-6 นางจึงคร้านที่จะเอ่ยปากแนะนำ..
จางหยุนเทียนซึ่งเป็นหัวหน้าของเรือลาดตระเวนลำนี้ เห็นสถานการณ์เริ่มน่าอึดอัด จึงรีบเข้าไปแนะนำสาวน้อยนางนั้นแทน
“นี่คือหลิงซวี่ เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มเทพอินทรีเช่นกัน..”
หลังจากได้ยินชื่อของทั้งสามคน หลิงหยุนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
หลิงหยุนเป็นคนเฉลียวฉลาด เขาเป็นคนสังหารเฉินเจี้ยนเหยินแห่งตระกูลเฉินในป่าเสินหนงเจี๋ย และเคยพบกับหลงเทียนยู่แห่งตระกูลหลงในงานวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิง เมื่อได้ยินชื่อเฉินเจี้ยนโหยว และหลงเทียนเจียว จึงเดาได้ไม่ยากว่าทั้งคู่เป็นคนของเจ็ดตระกูลใหญ่ ซึ่งได้แก่ตระกูลหลง และตระกูลเฉิน!
หลิงหยุนยังคงเงียบขรึม และไม่สนใจที่จะมองไปทางคนทั้งสองเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับหันไปทางสาวน้อยหน้าตาน่ารัก หลิงหยุนมองหลิงซวี่ และจ้องมองใบหน้างดงามของนาง
สายตาของหลิงหยุนทำให้เหลิงซวี่ถึงกับบทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ
สาเหตุที่หลิงหยุนจ้องมองหลิงซวี่เป็นจริงเป็นจังนั้น ก็เพราะนางนั้นแซ่หลิง..
หากหลิงหยุนคาดเดาได้ถูกต้อง เฉินเจี้ยนโหยว และหลงเทียนเจียวเป็นทายาทของสองตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ดังนั้นหลิงเสี่ยวก็คงต้องเป็นทายาทของตระกูลหลิงเช่นกัน!
และทุกครั้งที่หลิงหยุนได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสกุลหลิง เขาแทบจะกระโดดตัวลอยโดยไม่รู้ตัวทุกครั้ง เขายังจำได้ว่าครั้งแรกที่ออกเดทกับเกาเฉินเฉินนั้น เกาเฉินเฉินเผลอพูดออกมาว่า – นายก็แซ่หลิงนี่.. หรือว่านายจะเป็นคนของตระกูลหลิง?!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลิงหยุนจึงเอ่ยถามเฉินเจี้ยนโหยว “เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับเจ็ดตระกูลใหญ่ยังไง?”
เฉินเจี้ยนโหยวได้ฟังจึงรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ นางจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่เจ้าไม่รู้อะไรเลยหรือยังไง? ข้าก็เป็นคุณหนูแห่งตระกูลเฉินน่ะสิ!”
นางเป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลเฉิน.. และยังเป็นสมาชิกของกลุ่มเทพอินทรี หลิงหยุนควรจะให้หน้านางบ้าง แต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้จักและไม่เคยได้ยิน
แต่หลิงหยุนกลับเพียงแค่ยิ้มอย่างไม่สนใจใยดี..
เฉินเจี้ยนโหยวกำลังรอฟังคำพูดที่จะออกจากปากหลิงหยุน แต่ดูเหมือนนางคงจะต้องผิดหวัง..
“อ่อ.. พวกดีแต่เปลือก!”