ตอนที่ 18 งานเลี้ยงวันเกิด
จวนตระกูลเหวิน
หลังจากซูอี้กลับมาถึง เขาก็เห็นกลุ่มรถลากและเหล่าคนรับใช้จำนวนมากอยู่ด้านนอกจวน เป็นภาพที่ดูครึกครื้นนัก
วันนี้เป็นวันเกิดปีที่แปดสิบของนายหญิงเฒ่า คนในตระกูลเหวินตระเตรียมเรื่องนี้ตั้งแต่หลายวันก่อน
ไม่เพียงแต่มีสมาชิกจำนวนมากจากแต่ละสาขาของตระกูลเหวินที่มาเข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังมีกองกำลังและเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งใกล้ชิดกับตระกูลเหวินมาเข้าร่วมฉลองวันเกิดด้วยเช่นกัน
ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองกว่างหลิงแล้ว และดึงดูดความสนใจจากทุกกลุ่ม
แต่สำหรับซูอี้แล้ว เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
เขาเป็นลูกเขยที่ไม่น่าปลื้ม ไม่ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ก็คงถูกเมินเฉยอยู่ดี
“ท่านพี่เขย!”
ทันทีที่ซูอี้เดินถึงหน้าประตูทางเข้า เขาเห็นร่างสวยสง่ายืนตรงนั้น นางโบกมือให้เขาด้วยรอยยิ้มงดงามบนใบหน้า
เหวินหลิงเสวี่ย สาวแรกรุ่นอายุสิบหก บริสุทธิ์และสดใส
“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้?” ซูอี้ยกยิ้ม
“มารอท่าน”
เหวินหลิงเสวี่ยก้าวมาด้านหน้า คว้าแขนซูอี้ด้วยความรักเสน่หาและกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ท่านพี่เขย ท่านแม่เพิ่งบอกเมื่อครู่นี้ว่าเมื่อไหร่ที่ท่านกลับมาแล้ว นางอยากให้ท่านเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดด้วย”
“ข้าหรือ?” ซูอี้รู้สึกประหลาดใจ
เหวินหลิงเสวี่ยอธิบาย “ท่านแม่บอกว่าเป็นคำสั่งของท่านย่าใหญ่”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย
ย่าใหญ่ของเหวินหลิงเสวี่ยคือเหลียงเวินปี้ เป็นนายหญิงเฒ่าแห่งตระกูลเหวิน เป็นผู้มีสถานะเอกเทศแห่งตระกูลเหวิน กระทั่งผู้นำตระกูลเช่นเหวินฉางจิ้งยังไม่กล้าขัดคำสั่ง
ย้อนกลับไปครั้งนั้น เหลียงเวินปี่ได้ชี้ขาดเรื่องการแต่งงานระหว่างเขากับเหวินหลิงเจาด้วยตัวเอง แม้คนอื่น ๆ ในตระกูลจะคัดค้านกันมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
“ไปกันเถอะ” ซูอี้พยักหน้า
อันที่จริงหลังจากความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าตื่นขึ้น ซูอี้เองก็คิดหาโอกาสพบกับนายหญิงเฒ่าของตระกูลเหวินเช่นกัน เพื่อถามบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนนั้น
แต่ละส่วนในจวนตระกูลเหวินดูมีชีวิตชีวา บรรดาแขกเหรื่อต่างมาร่วมงานฉลองวันเกิดอย่างไม่ขาดสาย
ในเมืองกว่างหลิงนี้ ตระกูลเหวินเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ และมีภูมิหลังเป็นเลิศ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันคือเหวินฉางจิ้ง และเขามีน้องชายอีกสองคนคือเหวินฉางชิงกับเหวินฉางไท่
นอกจากนี้ยังมีสาขาอื่น ๆ ของตระกูลเหวินอีก หลังจากหลายปีที่ได้แตกกิ่งก้านสาขาออกไป ปัจจุบันก็มีผู้คนนับพันในตระกูลเหวิน
วันนี้เหล่าสมาชิกในตระกูลต่างมารวมตัว ทั้งยังมีแขกอีกมากมายที่มาร่วมงาน จึงเป็นภาพที่ครึกครื้นไม่เหมือนดั่งเช่นทุกวันปกติ
บริเวณห้องโถงของตระกูล มีการตระเตรียมงานเลี้ยงไว้อย่างโอ่อ่าตระการตา
“หลิงเสวี่ยมาแล้ว” เมื่อซูอี้และเหวินหลิงเสวี่ยมาถึงด้านนอกของโถงตระกูล หนุ่มสาวในตระกูลเหวินจำนวนมากต่างก็มารุมล้อมทักทายนางไม่น้อย
คนหนุ่มสาวของตระกูลเหวินเหล่านี้ส่วนมากมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหวินหลิงเสวี่ย
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนหนุ่มสาวเหล่านี้มองเห็นซูอี้ พวกเขาต่างขมวดคิ้วและเมินเฉย
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีทองรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาเปิดปากพูด “ซูอี้ เจ้าไม่ทราบสถานะตัวเองหรือไร ที่นี่ไม่มีที่สำหรับเจ้า ดังนั้นรีบไปซะ อย่ามาวุ่นวายกับธุระของตระกูลเรา!”
เป็นเหวินเส้าเป่ย เด็กหนุ่มรูปงามแห่งตระกูลเหวิน
อย่างไรก็ตาม ถึงเขาจะเกิดในตระกูลเหวิน แต่สถานะก็ไม่ได้ดีเท่าเหวินหลิงเสวี่ยที่อยู่ในสาขาหลักของตระกูลเหวิน
ทว่าเมื่อเหวินเส้าเป่ยเปิดปาก คนอื่น ๆ ก็หัวเราะตาม
ในปีที่ผ่านมา ซูอี้ที่อยู่ในฐานะลูกเขยถูกดูหมิ่นเหยียดหยามโดยคนในตระกูลเหวินมาโดยตลอด อย่าว่าแต่นับร่วมเป็นคนของตระกูลเหวิน บรรดาผู้คนของตระกูลเหวินถือว่าเขาเป็นเหมือนเป็นขยะชิ้นหนึ่งอยู่เสมอ แม้แต่ข้าทาสบริวารพวกนั้นยังกล้ากล่าวดูหมิ่นชายหนุ่ม
เหวินหลิงเสวี่ยพูดด้วยความโกรธ “เหวินเส้าเป่ย เจ้าฟังคำพูดข้าไว้! ท่านย่าใหญ่เป็นคนขอให้ท่านพี่เขยเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด! เจ้าอยากจะไล่ท่านพี่เขยข้าออกไปตอนนี้ นี่เจ้าคิดจะขัดใจท่านย่าใหญ่งั้นหรือ?”
“เรื่องนี้…” เหวินเส้าเป่ยพูดไม่ออก
เมื่อได้ยินประโยคนี้ คนอื่น ๆ ก็ตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงปิดปากเงียบทีละคนเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งของนายหญิงเฒ่า
เหวินเส้าเป่ยแสร้งทำใจเย็นและพูดว่า “ฮึ่ม! งั้นครั้งนี้ข้าจะปล่อยขยะไร้ค่าชิ้นนี้ไปก่อนก็ได้! มา พวกเราทุกคนมาพูดคุยเรื่องของพวกเรากันต่อดีกว่า อย่าได้สนใจคนไร้ตัวตนผู้นี้เลย!”
หลังจากนั้น บรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวินล้อมวงเล็ก ๆ ขึ้น เพื่อขับไล่ซูอี้ออกไป และทำเป็นมองไม่เห็นเขา
แม้กระทั่งเหวินหลิงเสวี่ยที่ยืนข้างซูอี้ก็ถูกขับออกไปด้วย
ซูอี้ไม่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาเรียกเหวินหลิงเสวี่ยที่อยู่ด้านข้างพร้อมกล่าวคำเบา “หลิงเสวี่ย หลังจากที่งานเลี้ยงวันเกิดจบแล้ว เจ้ามาที่เรือนของข้าสักประเดี๋ยว ข้ามีบางอย่างจะมอบให้เจ้า”
“หืม? สิ่งใดหรือ?” เหวินหลิงเสวี่ยนึกสงสัย
ซูอี้ยิ้มและกล่าว “ถึงเวลาเจ้าจะได้ทราบ”
ทันทีที่เขาพูด ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ข้า เจวี่ยหยวนมาแล้ว!”
เหวินเส้าเป่ยกับบรรดาหนุ่มสาวล้วนมองไป
แม้กระทั่งแขกเหรื่อ และบรรดาญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างหรี่ตาลง
ทั้งหมดเห็นชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีขาวกำลังเดินเข้ามา คิ้วโค้งเหมือนดาบ ตาเป็นประกายเหมือนดาว รูปลักษณ์ที่ดูมีภูมิฐานและค่อนข้างโดดเด่น
“เหวินเจวี่ยหยวน ชายหนุ่มรูปงามผู้โดดเด่นที่สุดในรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน!”
บางคนถอนหายใจ
“ที่แท้ก็ลูกพี่ลูกน้องเจวี่ยหยวนนี่เอง” เหวินหลิงเสวี่ยแสดงความชื่นชม
เหวินเจวี่ยหยวนเป็นลูกชายของเหวินฉางจิ้ง เขาได้รับโอกาสเข้าสู่สำนักดาบซ่งอวิ๋นเพื่อฝึกฝนเมื่ออายุได้เก้าขวบ กระทั่งกลายเป็นศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอได้ตอนอายุสิบสามปี และในเวลาเพียงสี่ปีเขาก็ถูกเลือกให้เป็นศิษย์ชั้นในของสำนักดาบชิงเหอ
ขณะนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาบรรลุถึงขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสี่ ‘ขัดเกลากระดูก’ ได้เรียบร้อยแล้ว!
ความสำเร็จทางการบ่มเพาะระดับนี้ มันมากพอที่จะทำให้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองกว่างหลิงต้องถอนหายใจด้วยความชื่นชม
ในหมู่รุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน เหวินเจวี่ยหยวนดูพร้อมจะขึ้นเป็นผู้นำมากที่สุด
“วันนี้เป็นวันเกิดของท่านย่าใหญ่ พวกเจ้าจงกระทำตัวให้ดี อย่าให้คนภายนอกเห็นเรื่องตลกในตระกูลของเรา”
หลังจากที่เหวินเจวี่ยหยวนเข้ามา เขาก็เหลือบมองเหวินหลิงเสวี่ย เหวินเส้าเป่ย และคนอื่น ๆ ก่อนจะตักเตือนอย่างอบอุ่น
สำหรับซูอี้ เขาไม่คิดสนใจ
“รับทราบ!” ทุกคนรีบตอบตกลง
เหวินเจวี่ยหยวนพยักหน้า เขาไม่พูดอะไรต่อก่อนจะเดินไปยังที่นั่งในห้องโถงของตระกูล
สำหรับงานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ มีเพียงผู้อาวุโสตำแหน่งสูง หรือบุคคลสำคัญของคนรุ่นเยาว์เท่านั้นที่มีสิทธิ์นั่งในโถงตระกูลได้!
และคนอย่างเหวินหลิงเสวี่ย เหวินเส้าเป่ยกับคนอื่น ๆ ยังไม่เหมาะสมพอ
สิ่งนี้ทำให้พวกเขามองเหวินเจวี่ยหยวนด้วยความอิจฉา เมื่อไหร่ที่พวกเขาจะมีสิทธิ์เช่นนั้นบ้าง?
“หากท่านพี่อยู่ที่นี่ นางย่อมได้นั่งในนั้น” เหวินหลิงเสวี่ยกล่าวด้วยรู้สึกเสียดาย
ไม่มีใครคิดปฏิเสธคำนี้
ขณะนี้เหวินหลิงเจาเป็นศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนแล้ว!
แค่คุณสมบัตินี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะมีอิทธิพลเทียบเท่าได้กับอาวุโสในตระกูล
“เท่าที่ข้ารู้ งานเลี้ยงวันเกิดนี้ไม่ธรรมดา และมันสำคัญกับตระกูลเหวินของเรามากด้วย”
ทันใดนั้น สตรีที่อยู่ข้างเหวินเส้าเป่ยก็กล่าวขึ้นมาอย่างนุ่มนวล “ข้าเองก็ได้ยินจากท่านพ่อมาเช่นกัน ข่าวลือนี้ไม่ดีต่อตระกูลเหวินในเมืองกว่างหลิงของเราเลย ผู้คนต่างลือกันว่าภายในสิบปี ตระกูลเหวินของเราจะถูกลบออกจากรายชื่อสามตระกูลใหญ่ของเมืองกว่างหลิง”
ชายหนุ่มอีกคนครุ่นคิด “งานเลี้ยงวันเกิดนี้คือการแก้ปัญหา ยิ่งมีคนมาร่วมงานวันเกิดนี้มากเท่าไหร่ ตระกูลเหวินของเราก็จะยิ่งดูดีขึ้น และบรรดาคำวิจารณ์และข่าวลือทั้งหลายในเมืองก็จะเลือนหายไป”
เหวินเส้าเป่ยพูด “เช่นนั้นก็ขึ้นกับความสามารถของท่านลุงใหญ่และท่านลุงสองแล้ว ส่วนท่านลุงสาม เหอะเหอะ…”
เขามองไปยังเหวินหลิงเสวี่ยที่อยู่ไม่ไกล และไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก
ในกลุ่มเลือดสายหลักของตระกูลเหวิน เหวินฉางจิ้งในฐานะผู้นำตระกูล เป็นผู้กุมอำนาจใหญ่และมีเส้นสายกว้างขวางที่สุด
เหวินฉางชิงเป็นผู้อาวุโสลำดับที่สองในสายหลักตระกูลเหวิน คอยดูแลธุรการโดยรวมในตระกูลเหวิน และมีเส้นสายกว้างขวางเช่นกัน
มีเพียงเหวินฉางไท่ แม้จะเป็นผู้อาวุโสลำดับสามในสายหลัก แต่ก็เป็นคนซื่อมีอุปนิสัยครึ่ง ๆ กลาง ๆ และเมื่อรวมกับพรสวรรค์การบ่มเพาะที่อยู่ในระดับทั่วไปแล้ว สถานะในตระกูลเหวินของเขาจึงไม่สูงนัก
หากเขาไม่ใช่น้องชายของเหวินฉางจิ้งและเหวินฉางชิงแล้ว คงจะถูกดูหมิ่นมากกว่านี้
แม้เหวินเส้าเป่ยจะไม่พูดต่อ แต่จะไม่ให้เหวินหลิงเสวี่ยได้ยินเสียงที่แทรกออกมาได้อย่างไร?
ใบหน้างามของนางหม่นลง ชายผู้นี้ดูหมิ่นซูอี้มาก่อน แต่บัดนี้เขากำลังพูดถึงเหวินฉางไท่ซึ่งเป็นบิดาของนาง แล้วจะไม่ให้นางรู้สึกโกรธได้อย่างไร?
แต่อย่างไรนางก็ไม่อาจโต้แย้งได้
นางเองก็รู้ด้วยว่า บิดาของนาง… ไม่มีอะไรพิเศษ…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เหวินหลิงเสวี่ยก็รู้สึกอารมณ์หม่นหมอง
แต่แล้วฝ่ามืออันอบอุ่นก็ตบบ่านางเบา ๆ ตามด้วยเสียงของซูอี้ที่ก้องในหูของนาง “หลิงเสวี่ย ชั่วชีวิตนี้ เจ้ายังต้องพบเจอสายตาเย็นชาและเย้ยหยันอีกมาก หากมีพละกำลังพอจะทัดทาน แต่กลับเลือกอดกลั้น มันจะไม่ต่างอะไรกับเจ้าส่งเสริมให้ผู้อื่นดูหมิ่นเจ้ามากยิ่งขึ้น”
เหวินหลิงเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้า “ท่านพี่เขย ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังกล่าวจบ
นางก้าวไปตรงหน้าเหวินเส้าเป่ยและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ขอโทษข้าเดี๋ยวนี้”
สีหน้าและน้ำเสียงของนางเยือกเย็น ซึ่งทำให้เหวินเส้าเป่ยกับคนอื่น ๆ ที่กำลังพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบนิ่งงันไปชั่วขณะ
“หลิงเสวี่ย เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ข้าไปพูดล่วงเกินเจ้าเมื่อไหร่กัน?” เหวินเส้าเป่ยขมวดคิ้ว
เหวินหลิงเสวี่ยดูแข็งกร้าวมากในยามนี้ นางจ้องเหวินเส้าเป่ยเขม้น ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น “หากเจ้าไม่ยอมขอโทษ ข้าจะไปบอกท่านลุงกับคนอื่น ๆ ถึงทุกคำที่เจ้าเพิ่งพูดไป ข้าก็อยากจะทราบเช่นกันว่าเหล่าผู้อาวุโสจะสามารถยกโทษให้เจ้าหรือไม่!”
“ข้า…” ใบหน้าเหวินเส้าเป่ยหม่นหมองลงและเริ่มอึกอัก
ทุกคนที่อยู่โดยรอบหุบปากเงียบ ไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยว
ไม่ว่าอย่างไร เหวินหลิงเสวี่ยก็ถือเป็นคนสายหลักของตระกูล
บิดาของนางเป็นผู้อาวุโสลำดับสามในสายหลักตระกูลเหวิน และเป็นน้องชายของผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้ง ในเรื่องของฐานะแล้ว สมาชิกอื่นในตระกูลไม่อาจเทียบได้
และพี่สาวของเหวินหลิงเสวี่ย เหวินหลิงเจาบัดนี้ก็ได้กลายเป็นศิษย์ของตำหนักเทียนหยวน จนแม้แต่ผู้นำตระกูลก็ต้องให้ความสำคัญกับนาง!
ในเงื่อนไขเช่นนี้ หากเหวินหลิงเสวี่ยนำคำพูดของเขาฟ้องออกไป แน่นอนว่าคนที่จะลำบากหนักคือเขาอย่างแน่นอน!
“ข้าจะพูดอีกครั้ง ขอโทษข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเหวินเส้าเป่ยเปลี่ยนไป และไม่พูดอะไรอยู่นาน สีหน้าของเหวินหลิงเสวี่ยก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น เมื่อเด็กสาวอายุสิบหกปีผู้นี้โกรธ นางก็สามารถกดดันคนได้จริง ๆ
เหวินเส้าเป่ยก้มหน้าลงอย่างยากลำบาก น้ำเสียงเล็กเหมือนยุง “ข้า…ผิดไป…”
ในใจของเหวินหลิงเสวี่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดียิ่ง นางกล่าวคำเย็นชา “ดังกว่านี้ ข้าไม่ได้ยิน!”
ใบหน้าของเหวินเส้าเป่ยราวกับถูกบดขยี้ น้ำเสียงของเขากลายเป็นขมขื่น “หลิงเสวี่ย ข้าทราบความผิดแล้ว โปรดอย่าถือสา!”
คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบพลันเงียบงัน
เมื่อได้รับชมเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ซูอี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
มนุษย์ล้วนต้องเติบโต!