ตอนที่ 19 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินย่อมเป็นใจ

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

ตอนที่ 19 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินย่อมเป็นใจ

หลังจากเหวินหลิงเสวี่ยกลับมายืนข้างซูอี้ ใบหน้างดงามของนางพลันสดใสเป็นประกายราวกับทะเลสาบน้ำแข็งที่หิมะกำลังละลาย

“ท่านพี่เขย ข้ารู้สึกดียิ่งนัก” ความตื่นเต้นปรากฏชัดในแววตาของเด็กสาว

ซูอี้หัวเราะพร้อมกล่าว “เมื่ออยู่ในโลก การใช้ประโยชน์จากสถานะก็นับเป็นทักษะอย่างหนึ่ง คนที่ใช้ประโยชน์จากสถานะได้เก่งก็เหมือนกับแล่นเรือตามลมและว่ายน้ำตัวเปล่า”

“แต่อย่างไรแล้ว การพึ่งพาชื่อเสียงไม่ใช่สิ่งที่มั่นคง ชื่อเสียง สถานะนั้นมาและไปได้เร็วราวกับสายลม การพึ่งพาพลังภายนอก สุดท้ายแล้วจะถูกพลังภายนอกนั้นทอดทิ้งในท้ายที่สุด”

หลังจากฟังคำกล่าวจบ เหวินหลิงเสวี่ยก็กล่าวอย่างสงสัย “ท่านพี่เขย หมายความว่าอย่างไรกัน? ใช่หมายถึง… ไม่ว่าจะใช้ประโยชน์จากสถานะได้หรือไม่ ก็ควรที่จะขยันหมั่นเพียร เพราะในท้ายที่สุดเราต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเอง เช่นนี้ใช่หรือไม่?” ซูอี้พยักหน้า

หญิงสาวผู้นี้ทั้งฉลาดและงดงาม นางเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก!

ขณะนั้นมีสายตาขุ่นเคืองจ้องมองมายังซูอี้

เจ้าของแววตานั้นคือเหวินเส้าเป่ย

เขาไม่กล้าล่วงเกินเหวินหลิงเสวี่ย แต่เขาคิดจะระบายโทสะใส่ซูอี้แทน

ยิ่งกว่านั้น เขามั่นใจว่าเหวินหลิงเสวี่ยไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้ เพราะคนทั้งตระกูลเหวินล้วนไม่สนใจว่าซูอี้จะถูกรังแกหรือไม่

แน่นอนว่าซูอี้รับรู้ถึงสายตาของเหวินเส้าเป่ย แต่เขาไม่สนใจ

หากเด็กหนุ่มผู้นี้กล้าจะล่วงเกินเขาจริง เขาก็จะสั่งสอนอีกฝ่ายเช่นกัน

จากนั้นซูอี้กับเหวินหลิงเสวี่ยก็นั่งลงที่โต๊ะดื่มสุราในลานกว้าง

ตอนนี้เองที่เหวินหลิงเสวี่ยตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ โต๊ะใกล้ ๆ มีผู้คนนั่งอยู่มากมาย ทั้งหมดยิ้มแย้มและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

แต่โต๊ะนี้มีเพียงนางและซูอี้เท่านั้น มันจึงดูว่างเปล่าจนบรรยากาศวังเวง

“ท่านพี่เขย”

เหวินหลิงเสวี่ยเหลือบมองซูอี้ ในใจรู้สึกโกรธและเป็นกังวลเล็กน้อย

นางจะไม่เห็นได้อย่างไรว่าผู้คนในตระกูลเหวิน และแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองต่างมองซูอี้เป็นเทพเจ้าแห่งโรคระบาด ไม่มีใครคิดเข้าใกล้!

ทว่าซูอี้ยังคงเฉยเมย เขาทำตัวสบาย ๆ ก่อนจะหยิบเหยือกสุราขึ้นมารินให้กับตนเอง แล้วยังกล่าววาจาขบขัน “ที่นี่ไม่มีใครคู่ควรพอจะมาดื่มร่วมกับเจ้าและข้าได้”

เหวินหลิงเสวี่ยหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย

ไม่นานนัก เด็กชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา อายุของเขาราวหกเจ็ดขวบ เห็นได้ชัดว่ากำลังมองหาที่นั่ง

“หมิงหรงน้อย เจ้ามานั่งกับพี่สิ” เหวินหลิงเสวี่ยยิ้มและโบกมือ

เด็กชายตอบรับอย่างมีความสุข แต่เมื่อเห็นซูอี้นั่งอยู่ด้วย เขากลับหยุดฝีเท้าและตะโกนเสียงดัง

“ถึงตัวข้าเหวินหมิงหรงจะยังเยาว์ แต่ข้าก็ละอายหากต้องนั่งร่วมโต๊ะกับลูกเขยแต่งเข้าบ้านอย่างซูอี้!”

บรรยากาศครึกครื้นพลันเงียบสงัด ทุกคนตกใจเล็กน้อยก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น บรรยากาศจึงกลับมารื่นเริงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

เหวินเส้าเป่ยกับคนอื่น ๆ ยิ่งหัวเราะด้วยความยินดี พวกเขาไม่อาจกักเก็บความสุขในคราวนี้ได้เลย

แม้คำพูดของเด็กคนนี้จะไร้มารยาท แต่ทั้งหมดคือความจริง

คำพูดของเด็กชายผู้นี้แสดงถึงสถานะอันต่ำต้อยของซูอี้ในตระกูลเหวิน!

ใบหน้างดงามของเหวินหลิงเสวี่ยถึงกับแข็งค้าง นางจับจ้องเด็กชายมารยาททรามผู้นี้อย่างโกรธเกรี้ยว เหมือนว่าในตอนนี้นางจะไม่สนใจอีกต่อไปว่าเขายังเยาว์วัยไร้เดียงสาอยู่!

แต่เมื่อหันกลับมามองซูอี้อีกครั้ง มันกลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มไม่แยแสสิ่งใด และยังคงดื่มต่อไปอย่างผ่อนคลาย

ภายในโถงใหญ่ของตระกูล

ในใจของฉินชิ่งรู้สึกเป็นกังวลยิ่ง

ในโถงเต็มไปด้วยบรรดาเพื่อนฝูง มากด้วยเหล่าขุนนาง แต่เกือบทั้งหมดอยู่ล้อมรอบเหวินฉางจิ้งผู้นำตระกูล และเหวินฉางชิงผู้อาวุโสลำดับสอง

ส่วนเหวินฉางไท่ ซึ่งเป็นสามีของนางนั้นแทบไม่มีผู้ใดใส่ใจเลย เขานั่งอยู่ตัวคนเดียวตรงนั้น เรื่องนี้สร้างความอับอายอย่างยิ่ง

แม้แต่นายหญิงเฒ่าที่อยู่ตรงที่นั่งหลักก็ปรายตามองผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้ง และอาวุโสตระกูลลำดับสองอย่างเหวินฉางชิงอยู่เสมอ

ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งนี้ ทำให้ฉินชิ่งรู้สึกยิ่งคับแค้นใจ

“ดูพี่ชายท่านทั้งสองแล้วหันกลับมาดูตัวท่านสิ! ในชีวิตนี้ ข้ามองไม่ออกเลยว่าท่านจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร!” ฉินชิ่งกล่าวกับเหวินฉางไท่ที่อยู่ข้าง ๆ อย่างขุ่นเคือง

นางรู้สึกเสียใจ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกนางคงจะเขียนจดหมายบอกให้ลูกสาวคนโตกลับมา ในฐานะศิษย์ของตำหนักเทียนหยวน อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยให้นางกอบกู้ใบหน้าได้บ้าง

“เฮ้อ ก็ตระกูลของเราด้วยกันทั้งนั้น นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน?” เหวินฉางไท่ถอนใจ

ฉินชิ่งรู้สึกรำคาญมากยิ่งขึ้น นางกล่าวคำเบาราวกระซิบ “ท่านไม่เห็นรึไงว่าตอนนี้ทุกคนกำลังมองครอบครัวเราเป็นตัวตลก! แม้แต่เจวี่ยหยวนบุตรของพี่ชายท่านยังบดบังครอบครัวเราจนหมดสิ้น!”

นางเริ่มกล่าวคำต่อราวกับควบคุมตนเองไม่ได้ “หากท่านยังพอมีน้ำยาสักนิด ไยครอบครัวเราต้องขายหน้าเช่นนี้?”

เหวินฉางไท่ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรตอบ

ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ ผู้คนอีกจำนวนมากก็ค่อย ๆ เข้ามาร่วมงานฉลองนี้อย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีบางคนส่งมอบของขวัญที่แสดงถึงความใจกว้างด้วย เรื่องราวเช่นนี้ทำให้ใบหน้าของนายหญิงเฒ่าสดใสและเปื้อนรอยยิ้มอยู่เสมอ

ผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้งและเหวินฉางชิง ต่างกำลังพูดคุยหัวเราะกับผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ทุกคนล้วนแต่กำลังสนุกสนาน

เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ ฉินชิ่งรู้สึกราวกับว่าตนเองนั่งอยู่บนเข็ม

แต่ขณะนั้นเอง เสียงเล็กแหลมของเด็กชายก็ดังก้องมาจากด้านนอก

“ถึงตัวข้าเหวินหมิงหรงจะยังเยาว์ แต่ข้าก็ละอายหากต้องนั่งร่วมโต๊ะกับลูกเขยแต่งเข้าบ้านอย่างซูอี้!”

เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนี้กระทบใบหูของทุกคนในห้องโถงหลัก บรรยากาศที่เคยสนุกสนานพลันเงียบงัน

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะดังขึ้นจากห้องโถงด้านนอก ทำให้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงหลักอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม

ซูอี้!

ในเมืองกว่างหลิงนี้ จะมีใครที่ไม่รู้เรื่องเขยตระกูลเหวินคนนี้อีก?

“เด็กชายผู้นี้เป็นใครกัน ยังเยาว์แต่กลับมีจิตใจหาญกล้า ย่อมมีอนาคตไกลแน่นอน” ชายชราคนหนึ่งซึ่งมีผมและหนวดเคราเป็นสีขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลังจากเขากล่าวคำนี้ออกไป ผู้อื่นพลันระเบิดเสียงหัวเราะตาม

ใบหน้าของฉินชิ่งร้อนผ่าว นางมองสามีที่ไม่ได้ความด้านข้าง แล้วยังต้องมีเรื่องลูกเขยอย่างซูอี้อีก จิตใจของนางพลันเศร้าโศกนัก

นายหญิงเฒ่าจับคู่ให้นางพบเจอชายไร้ความสามารถ แม้กระทั่งจับบุตรสาวของนางแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์อีก สวรรค์ช่างไม่มีตา!

ภายในบรรยากาศที่รื่นเริง จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากระยะไกล “หวงอวิ๋นชง ผู้นำตระกูลหวง พาคนตระกูลหวงมาร่วมฉลองวันเกิด!”

ทุกคนในโถงตกตะลึง

ในเมืองกว่างหลิงนี้ ตระกูลหวงถือเป็นอันดับสองในบรรดาสามตระกูลใหญ่

แน่นอนว่าหวงอวิ๋นชงเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าตระกูลเหวิน

เวลานี้ทั้งแขกเหรื่อ และผู้ยิ่งใหญ่หลายคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงของตระกูลเหวินต่างรีบเดินออกมาต้อนรับ

“ขอเชิญท่านผู้นำหวง” นายหญิงเฒ่าซึ่งยังคงนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะไม่ได้เดินออกไปรับกล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้ม

นางไม่คิดสนใจเรื่องบาดหมางระหว่างตระกูลหวงและตระกูลเหวินในอดีต คราวนี้ผู้นำตระกูลหวงถึงกับมาที่นี่ด้วยตนเอง มันย่อมทำให้ใบหน้าของตระกูลเหวินดูดีขึ้น

ด้านนอกโถงตระกูล

ดวงตาของสมาชิกตระกูลเหวินและบรรดาแขกทุกคนล้วนมองไปยังคู่พ่อลูกตระกูลหวง

หวงอวิ๋นชงในชุดคลุมสีม่วงดูสง่างามเดินเข้ามา ตามมาด้วยหวงเฉียนจวินลูกชายของเขา ส่วนด้านหลังคือเฒ่ารับใช้สองคน และยังมีผู้คุมกันอีกหนึ่งกลุ่ม

กระบวนแถวเช่นนี้ ดูคล้ายกับดาวล้อมเดือน

“ท่านผู้นำตระกูลหวง!”

“ท่านลุงหวงอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”

“พี่หวงมาเยี่ยมเยือนเช่นนี้ ข้ารู้สึกดีใจนัก”

หวงอวิ๋นชงเดินไปตามทาง บรรดาแขกบางส่วนก็ทักทายเขาด้วยความถ่อมตัว แม้จะดูประจบประแจงอยู่ก็ตาม

สมาชิกตระกูลเหวินบางส่วน แม้จะเผยความตื่นตระหนกออกมา แต่ก็ยังแสดงท่าทีกระตือรือร้น

ชายหนุ่มหวงเฉียนจวินเดินตามผู้เป็นบิดา ท่าทางของเขาเย่อหยิ่ง เขาดูคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี

ทันใดนั้น หวงอวิ๋นชงก็หยุดฝีเท้าก่อนจะมองไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงมุมไกล ๆ

ผู้คนมองตามสายตาเขาไปยังบริเวณนั้น เกือบทุกคนตรงนั้นยืนขึ้นแล้ว ยกเว้นโต๊ะที่อยู่ตรงริมสุดซึ่งมีชายและหญิงคู่หนึ่ง สองร่างตรงนั้นไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อยและดูโดดเด่นนัก

นั่นคือซูอี้กับเหวินหลิงเสวี่ย

“ไร้มารยาท!”

แขกหลายคนลอบส่ายศีรษะ

ส่วนสมาชิกตระกูลเหวินถึงกับขมวดคิ้ว นี่คือผู้นำตระกูลหวง เขาให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงด้วยตนเองเชียวนะ!

อาวุโสตระกูลเหวินคนหนึ่งส่งเสียงกระแอม และเกือบจะตะโกนด่าซูอี้กับเหวินหลิงเสวี่ยแล้ว แต่ทันใดนั้นดวงตาของเขากลับต้องเบิกกว้าง

หวงอวิ๋นชงเดินตรงไปที่ด้านหน้าโต๊ะนั้น เขาประสานกำปั้นคำนับและกล่าว “คุณชายซู”

ทั่วบริเวณเงียบสงัด

ทุกคนถึงกับตื่นตระหนก

ราวกับว่าซูอี้เพิ่งจะค้นพบการมาถึงของเขา จึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองหวงอวิ๋นชงและกล่าวทักกลับ “เจ้ามาร่วมงานเลี้ยงฉลองด้วยงั้นหรือ?”

หวงอวิ๋นชงพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น”

ซูอี้ถอนหายใจ จากนั้นจึงหันไปทางอื่นพร้อมกับหยิบเหยือกขึ้นมารินสุราให้ตนเอง ทั้งหมดนี้กระทำโดยไม่สนใจหวงอวิ๋นชง

ทว่าหวงอวิ๋นชงกลับไม่แสดงความดุร้าย ดูเหมือนเขาจะทราบอยู่แล้วว่าซูอี้ย่อมไม่ลุกขึ้นทักทายตนเอง

ภาพตรงหน้านี้ทำให้ทุกคนถึงกับตื่นตระหนก พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง

ขณะนั้นเอง เหวินฉางจิ้งซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเร่งรีบเดินเข้ามา เขาหัวเราะก่อนจะยกมือเชิญชวน “ท่านพี่หวงเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยนัก เข้าไปนั่งพูดคุยกับข้าในห้องโถงหลักเถิด”

เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่สนใจ หวงอวิ๋นชงจึงหันไปหาเหวินฉางจิ้ง พร้อมกับยืดร่างกายตั้งตรง แววตาสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นผู้ทรงอำนาจเช่นปกติ แตกต่างจากตอนทักทายซูอี้อย่างสิ้นเชิง

“ได้!”

หวงอวิ๋นชงพยักหน้าให้เหวินฉางจิ้ง ก่อนจะเข้าไปในโถงตระกูล ทิ้งให้ผู้คนที่อยู่ตรงนี้ตกตะลึงและนิ่งเงียบ

“ผู้นำตระกูลหวงจะมาถ่อมตัวกับลูกเขยแต่งเข้าบ้านผู้นั้นได้อย่างไร?”

มีมากกว่าหนึ่งคนตรงนี้ที่รู้สึกตกอยู่ในความสับสน

“เรื่องราวมันเป็นอย่างไร?”

เหวินเส้าเป่ยกับสมาชิกตระกูลเหวินคนอื่นรู้สึกสับสนหนัก หวงอวิ๋นชงเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาลูกเขยที่ต่ำต้อยเช่นซูอี้ได้อย่างไร?

สีหน้าของแขกที่มาร่วมงานต่างดูแปลกไป เพราะพวกเขาเองก็สังเกตถึงสิ่งที่ผิดปกติได้เช่นกัน

“ท่านพี่เขย นี่มัน…” เหวินหลิงเสวี่ยก็สงสัยเช่นกัน และกำลังจดจ้องที่ซูอี้

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อวานซืน ข้าได้เอาชนะหวงเฉียนจวิน? เมื่อวานตอนเที่ยง หวงอวิ๋นชงจึงเชิญข้าไปภัตตาคารรวมเซียนเพื่อกล่าวขอโทษ”

ซูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จากนี้อย่าได้กังวลว่าคนตระกูลหวงจะกล้ามาก่อปัญหาให้เจ้าอีก”

“หา?” เหวินหลิงเสวี่ยตื่นตระหนกเกินกว่าจะกล่าวอะไร

คำพูดของซูอี้เรียบง่ายเกินไป จนไม่อาจทราบได้ว่ามันคือความจริงหรือล้อเล่น

ด้านในห้องโถงหลักของตระกูลเหวิน

ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติไป เมื่อหวงอวิ๋นชงเข้ามา ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เขา

หวงอวิ๋นชงเมินเฉยต่อสายตาทุกคู่ในโถง และเดินตรงไปหานายหญิงเฒ่าของตระกูลเหวิน ก่อนจะออกคำสั่ง

“นำของขวัญมา”

ทันใดนั้น เฒ่ารับใช้คนหนึ่งก้าวมาด้านหน้า ยื่นกล่องหยกให้และกล่าวด้วยความเคารพ “นายหญิงเฒ่า นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่นายท่านเตรียมไว้ เป็นจี้หยกคู่หนึ่งที่แกะสลักจากหยกเย็นอายุร้อยปี ขอให้นายหญิงเฒ่าอายุยืนยาวนานกว่าขุนเขา และสมปรารถนาในทุกสิ่ง”

นายหญิงเฒ่ารู้สึกถึงแสงสว่างบนใบหน้าของตน ก่อนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เพียงท่านมาที่นี่ ข้าก็มีความสุขแล้ว สำหรับของขวัญชิ้นนี้ถูกใจข้านัก ฉางจิ้ง รีบพาผู้นำตระกูลหวงไปนั่งก่อน”

เหวินฉางจิ้งที่อยู่ด้านข้างกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่หวง มานั่งตรงนี้เถิด”

“ช้าก่อน!”

ทว่าหวงอวิ๋นชงกลับโบกมือ จากนั้นภายใต้สายตาเหลือเชื่อของฝูงชน เขาก็เดินไปยังโต๊ะที่เหวินฉางไท่กับภรรยานั่งอยู่ ก่อนจะยิ้มและโค้งคำนับ

“น้องฉางไท่ น้องฉินชิ่ง ข้าได้ยินว่าลูกสาวของพวกเจ้าได้รับสิทธิ์เข้าไปร่ำเรียนในตำหนักเทียนหยวน นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็มีของขวัญเล็กน้อยจะให้ด้วย โปรดพวกเจ้าจงอย่าได้ปฏิเสธน้ำใจของข้าครั้งนี้”