ตอนที่ 304 ห้องลับสยองขวัญ (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

แต่ขณะนางเพิ่งถอยถึงมุมห้อง ก็รู้สึกว่าไอเย็นขุมหนึ่งโชยผ่านต้นขาของนาง นางตกใจสะดุ้งรีบหดขา ยกมือทิ่มปิ่นใส่ไอเย็นขุมนั้นทันที แต่ยังคง…ว่างเปล่า

เวลาเดียวกันนี้นางคลำต้นขาของตนเอง ที่สัมผัสคือผิวกายที่อบอุ่นเรียบลื่น พริบตานั้นก็ตกใจจนเหงื่อเย็นออกทั้งตัว

ถ้ามิใช่นางถอยได้รวดเร็ว ที่ฉีกขาดคงมิใช่กางเกงแล้วหากคงเป็นผิวกายกล้ามเนื้อของนางและคงเลือดอาบตรงนั้น

“ใครปลอมเป็นผีอยู่ตรงนี้!”

เวลาเดียวกันนี้เนื่องจากนางถอยเร็วมาก จึงคลาดจากมุมเดิมที่กำลังจะพิงลง นางจึงจำต้องหลังพิงผนังมือหนึ่งคลำผนัง อีกมือถือปิ่นคลำไปในมุมนั้น

อากาศเบื้องหน้ายังคงเป็นความเย็นเยียบที่หนักอึ้งและมืดมิด ไร้สุ้มเสียงใดๆ

นางลองขยับเดินไปหลายก้าว จู่ๆ ความรู้สึกอันตรายก็เกิดขึ้นอีกและครั้งนี้…ความรู้สึกอันตรายนี้อยู่ที่เอว

ชิวเยี่ยไป๋บิดเอวอ้อนแอ้นอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายยังคงเพราะมองไม่เห็น ที่หว่างเอวยังคงสัมผัสกับพลังเย็นแหลมคมขุมหนึ่ง นางหอบหายใจและกุมที่เอวตามสัญชาตญาณ เสื้อตรงเอวถูกกรีดเป็นรูโหว่เช่นกัน

นางทั้งตกใจและโมโหแต่ไม่ส่งเสียงอีก เพียงมือหนึ่งคลำผนังเงียบๆ อีกมือกำปิ่นรีบถอยอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าท่ามกลางความมืด เจ้าสิ่งนั้นสายตาดีกว่านางมาก ต่อให้นางตะโกนดังกว่านี้ ก็รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายรู้เห็นแม่นยำยิ่งขึ้นเท่านั้น

จนกระทั่งนิ้วมือรู้สึกถึงความแข็งและหักมุมของผนัง นางจึงคลายใจเล็กน้อยและรีบพิงไว้ แต่สุดท้ายยังคงมิอาจหยุดยั้งความรู้สึกหนาวเย็นที่แทบจะเสียดกระดูกและเนื้อหนัง

แควก! เสียงฉีกขาด ชิวเยี่ยไป๋หลับตาแล้วเบี่ยงหลบทันที ฝ่ามือฟาดใส่ผนังข้างๆ ตนเองแล้วรีบหมุนตัวออกไปและพุ่งใส่อีกทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว

แต่ครั้งนี้ ไอหนาวเย็นขุมนั้นกลับมิได้ปล่อยให้นางรอดตัว หากพุ่งตรงมาที่อกนาง

ชิวเยี่ยไป๋ได้แต่ถอยหลบอย่างว่องไว แต่แม้นางจะถอยได้เร็ว ไอเย็นนั้นก็ตามติดอย่างรวดเร็วเช่นกัน เสื้อที่อกฉีกขาด ผิวกายสัมผัสกับพลังเย็นที่แหลมคม ทำเอานางได้แต่หดตัวลงและเซไปถึงได้หลบพ้นความคมกล้าของการจู่โจม

นางพิงตัวแนบผนังแน่น หัวใจเต้นเร็ว เบื้องหน้าเป็นความมืดมิดที่ข้นคลั่กเป็นที่คับแคบชัดๆ แต่นางกลับรู้สึกว่าความมืดมนนั้นกำลังแผ่ขยายอย่างไร้ขอบเขต

นางได้ยินแต่เสียงหอบหายใจของตนเองในความเงียบสงัด และความกว้างที่จอมปลอมนี้ชัดเจนเป็นพิเศษ ราวกับตนเองย่างเข้าสู่สถานที่ที่มิใช่แดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง

นางพลันนึกถึงซากศพที่ตนคลำถูกร่างนั้น ตอนนั้นนางหวังอย่างยิ่งว่านั่นเป็นเพียงความรู้สึกหลอน

แต่เวลานี้ ความเย็นเยือกที่อก หว่างเอว และต้นขาทำให้นางรู้ดีว่านั่นมิใช่ความรู้สึกหลอนแต่อย่างใด หากแต่เป็นการคุกคามที่มีอยู่จริง นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นเป็นมนุษย์หรือสิ่งอื่นใด!

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม นางรู้ดีว่าขณะนี้ตนเองผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพเสื้อผ้ารุ่งริ่งเป็นความจริงแท้ และนี่เป็นการคุกคามที่ถึงแก่ชีวิต

ฝ่ายตรงข้ามคล่องแคล่วว่องไวถึงเพียงนี้ ความมืดมิดที่ข้นคลั่กดูเหมือนไม่เป็นอุปสรรคต่อสายตาอีกฝ่าย และด้วยพลังฝีมือของนางถึงกับไม่รู้สึกแม้แต่น้อยถึงการดำรงอยู่ของ ‘มัน’ ก่อนที่จะจู่โจม ความพิสดารพันลึกนี้ ถ้ามิใช่อีกฝ่ายคุ้นเคยกับกรงขังนี้เป็นอย่างดี ก็อาจเพราะอีกฝ่าย…มิใช่มนุษย์

นางอดสยิวกายกับการคาดคะเนของตนมิได้ ขณะคิดจะผ่อนคลายกลับพลันรู้สึกถึงไอเย็นขุมหนึ่งเบื้องบนศีรษะ ม่านตาของนางหดตัว บิดเอวทันทีหลบการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามในแง่มุมพิสดาร

แต่ไอเย็นขุมนั้นพิสดารยิ่งกว่า ตรงเข้าพันบนเอวของนาง ขณะนางแทบจะคิดว่าคงต้องเลือดอาบที่เอวแน่ หลังไอเย็นนั้นสัมผัสกับเสื้อผ้านางแล้ว กลับหยุดลงบนผิวเนื้อที่เอวเผยออก จากนั้นจู่ๆ ก็สลายไป

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋หน้าซีดอย่างอดมิได้ นางถึงกับรู้สึกว่าของสิ่งนั้นดีดใส่ผิวกายที่เอวของนาง หรือจะว่าลูบคลำครั้งหนึ่งก็ได้

นี่หากมิใช่การท้าทายก็เป็นการหยั่งเชิง

เจ้าสิ่งที่ได้เปรียบอย่างเด็ดขาดในความมืดนี้ ทำเอานางรู้สึกว่าหลงเข้าดินแดนแห่งความมืดมิดแล้วถูกผู้ล่าซึ่งอยู่ในความมืดถือเป็นเหยื่อก็มิปาน

นางจึงพบว่าไอเย็นแหลมคมที่คุกคามเหล่านั้นเป็นเพียงการหยอกเย้าหรือจะกล่าวว่าเป็นการหยั่งเชิงเบาะๆ ก็ได้ เป็นการทดสอบเหยื่อของมัน หลังพบจุดอ่อนของอีกฝ่ายและบีบจนอีกฝ่ายประสาทพังทลายแล้ว ก็จะฉีกกระชากเหยื่อให้แหลกเหลวอย่างไม่ปรานี

นางกัดริมฝีปาก ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ ความเคลื่อนไหวนั้นเปี่ยมด้วยเจตนาร้าย!

ถ้านี่ก็คือ ‘สำนึกผิดหน้าผนัง’ ดังที่เจิ้งจวินบอก นางก็อดนับถือฝีมือคุกจ้าวอวี้ของซือหลี่เจียนมิได้

ชิวเยี่ยไป๋หลับตาลง เหงื่อเย็นโทรมกาย จึงเอื้อมมือปัดผมเปียกชื้นที่หน้าผากไปหลังศีรษะเสียเลย ค่อยๆ ทรุดตัวตามผนังนั่งลงพยายามระงับการหายใจให้เป็นปกติ ให้ตนเองเยือกเย็นลง ภายใต้สภาพที่มองไม่เห็นศัตรูเช่นนี้และเป็นที่คับแคบ ทำให้ฝีมือของนางถูกจำกัดเป็นอย่างมาก

นานแล้วที่นางไม่เคยถูกบีบจนทุลักทุเลเช่นนี้ นอกจากคืนนั้นที่สู้กับไป๋หลี่ชู…

ความรู้สึกพิกลวาบขึ้นในสมองนาง แต่ยังไม่ทันขบคิดและนางก็หายใจออกเฮือกใหญ่

“ฟู่…”

เหงื่อในมือที่เหนียวหนึบ ทำให้นางคลายมือเล็กน้อยจากปิ่นที่กำไว้ นางกำลังจะเปลี่ยนไปถือไว้อีกมือ แต่นาทีต่อมาไอเย็นสายนั้นก็วาบผ่านแก้มของนางอย่างกะทันหัน สัมผัสอันตรายที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นทำเอานางไม่ทันกำปิ่นในมือและได้แต่ถอยหลังอย่างลุกลี้ลุกลน

หลังการโจมตีของพลังเย็นเยียบแหลมคมแล้ว ก็เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีก แต่คราวนี้

ชิวเยี่ยไป๋ไม่หลบแล้ว หลังทำท่าเบี่ยงหลบก็หลับตาไปทิศทางที่ไอเย็นสลายไป กระแทกไหล่เข้าใส่อย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด ราวกับมิหวั่นเกรงว่าพลังเย็นแหลมคมขุมนั้นจะกรีดใส่ไหล่ของนางจนบาดเจ็บ

‘ไอเย็น’ ขุมนั้นดูเหมือนจะนึกไม่ถึงว่านางจะกระแทกเข้าใส่อย่างมินำพาใดๆ ‘ไอเย็น’ จึงชะงักลง

พริบตาที่ชิวเยี่ยไป๋กระแทกถูกสิ่งนั้น ก็กัดฟันเผยช่องโหว่ที่ไหล่ของตน แต่ขณะเดียวกันก็เกร็งพลังภายในเต็มสิบส่วนฟาดฝ่ามือใส่ร่างของอีกฝ่าย

แต่ถึงอย่างไรหัวไหล่ของคนเราก็เป็นจุดที่ทนแรงกระแทกได้มากที่สุด ถ้าเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บสถานเบาแต่สามารถทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้ วัดกันตามความหนักเบาในมุมมองของนางก็ถือว่ายังคุ้ม

แต่ขณะที่ฝ่ามือของนางแทบจะรู้สึกถึงไอเย็นเยียบเสียดกระดูกบนร่างของอีกฝ่าย พลันมีความเย็นเยียบสายหนึ่งสัมผัสกับข้อมือของนาง เย็นเยียบและเรียบลื่น…นั่นเป็นมือข้างหนึ่ง!

ก็คือมือของซากศพที่ตนคลำถูกครั้งแรก

มือข้างนั้นตบลูบเบาๆ บนข้อมือนางสองครั้ง พลังบนมือของนางก็ถูกอีกฝ่ายทอนลงในพริบตา เพียงรู้สึกเหมือนฟาดเข้าใส่ปุยนุ่นกลุ่มหนึ่ง