ชิวเยี่ยไป๋ตัวแข็งในพริบตา เหงื่อเม็ดโตหยดจากหน้าผากทันที
คราวนี้นางรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคน แต่การที่อีกฝ่ายสามารถปัดพลังของนางอย่างง่ายดาย อีกทั้งระยะทั้งสองใกล้กันขนาดนี้…จุดปราณสำคัญทั่วตัวของตนแทบจะถูกครอบคลุมด้วยพลังของฝ่ายตรงข้าม
และแล้วก็เป็นจริง มือเย็นเยียบข้างหนึ่งสัมผัสที่เอวนางตรงๆ ความเย็นเยียบลื่นไหลการสัมผัสที่มิใช่กลิ่นอายของผู้คน ทำเอานางขนลุกในพริบตา จึงใช้หลังศีรษะกระแทกใส่ใบหน้าฝ่ายตรงข้ามทันทีอย่างมิลังเล
อีกฝ่ายพลันหัวร่อเบาๆ มือที่เกาะหว่างเอวล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของนาง เกาะผิวเรียบลื่นที่เอวของนางและกระชากเข้าในอ้อมอก เบี่ยงใบหน้าเล็กน้อยหลบการกระแทกของนางแล้วแนบข้างหูนางร้องหึ
“หึ เจ้าเด็กบ้า เจ้าบ้ามากขึ้นเรื่อยๆ นะ ไม่กลัวกระแทกจนสมองเสื่อมหรือ”
เสียงนุ่มนวลโหวงเหวงอันคุ้นเคยทำเอาชิวเยี่ยไป๋ตัวแข็งอีกครั้ง นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตวาดลั่น “ไป๋หลี่ชู มารดามันเถิด เจ้าป่วยหรือไร”
ไอ้วิตถารนี่กำลังหยอกเย้านางชัดๆ!
อารามโมโหสุดขีดทำเอานางลืมกดเสียงให้ต่ำลงเหมือนยามปกติ เสียงแหลมสดใสฟังแล้วจึงรู้สึกเหมือนธารน้ำตกกระทบ กลับทำให้บุรุษที่จับตัวนางไว้รู้สึกดี
พอบุรุษรู้สึกดีก็ตอบอย่างฉับพลัน “ใช่ ข้าป่วย เจ้ามียาหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋สะอึก จึงเสียงสูงขึ้นอีกอย่างอดมิได้ “ไม่มี ไปตายเสีย!”
“ชู่ เจ้าโวยวายเหมือนหญิงชาวตลาด อยากให้คนในซือหลี่เจี้ยนเข้ามาดูเจ้าสนิทสนมกับข้าหรือ ข้าไม่ถือสานะ” เสียงบุรุษหัวร่อเบาๆ ในความมืด ริมฝีปากบางเฉียบชั่วร้ายที่แนบกับหูนางขบติ่งหูนางเบาๆ อย่างลวนลามแถมรำพึงเบาๆ
เสียงของนางที่สูงลั่นเอ่ยได้ครึ่งประโยคก็ลดความดังลงในพริบตา แล้วจึงตระหนักอีกครั้งถึงสถานะของตนขณะนี้ จึงได้แต่กลั้นโทสะไว้ กัดฟันกระชากมือเขา “ไสหัวไป ข้ามิใช่หญิงชาวตลาด!”
นางไม่รู้ว่าทำไมพอเจอะกับไอ้สารเลวนี่จึงอดมิได้ที่อยากบีบมันให้ตายเหมือนหญิงชาวตลาด
แต่ไอ้สารเลวนี่ไม่รู้สึกรู้สาเอาเสียเลย
และคนในอ้อมกอดยิ่งโมโห ไป๋หลี่ชูกลับยิ่งเบิกบาน เขาจะให้ชิวเยี่ยไป๋ผลักไสออกไปได้อย่างไร ไม่เพียงไม่ปล่อยมือ ซ้ำร้ายมือเย็นเยียบข้างนั้นที่ล้วงเข้าไปในรอยอาภรณ์ขาดที่เอว ยังเกาะส่วนนุ่มนิ่มหลังผ้าคาดอกขาดด้วย
“อืม แม้ข้าจะรู้สึกว่าทั้งตัวเจ้าไม่มีกลิ่นอายลูกผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย แถมหยาบคายเหมือนบุรุษ อย่างนี้ก็ดีออกนะ แต่ก็มิรู้จะทำอย่างไร จุดพวกนี้ทำเอาข้ากลุ้มอยู่บ้าง”
ชิวเยี่ยไป๋ถูกกรงเล็บอสูรที่เย็นเยียบของเขาลูบคลำอย่างมิเกรงใจ รู้สึกเย็นวาบถึงหัวใจ ตัวแข็งเหมือนหิน
เย็นเหมือนน้ำแข็ง…หนาวจับขั้วหัวใจ
และอีกฝ่ายซ้ำยังแกล้งคลึงไปมา คลึงจนนางขนลุกทั้งตัว ตัวชาไปหมด ก็มิรู้ว่าเพราะการต่อสู้ที่เกร็งเขม็งทั้งตัวหรือไม่ นาทีนี้นางรู้สึกตนเองไร้เรี่ยวแรงแม้แต่น้อย ได้แต่จับแขนเรียวยาวที่แข็งแรงของเขากระชากอย่างเปล่าประโยชน์ สั่นเทิ้มทั้งตัว “ปล่อย…ปล่อย…”
บุรุษที่อยู่หลังกายขบติ่งหูนางเบาๆ กระซิบอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่ปล่อย” ชิวเยี่ยไป๋หลับตาลง หน้าแดงก่ำตวาดว่า “ปล่อย!”
แต่พอเสียงออกจากปาก นางก็แทบอยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาด เสียงนั้นไร้เรี่ยวแรงแม้แต่น้อย อ่อนระโหย ซ้ำร้ายยังมีกลิ่นอายพิลึกเหมือนกำลังเว้าวอนด้วย
ฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าอยากให้รังแกต่อ
คราวนี้ไป๋หลี่ชูกลับไม่ทำให้นางลำบากใจ ดูเหมือนจะสังเกตว่าเสือดาวตัวน้อยในอ้อมกอดของตนถูกตนรังแกจนแทบสะอื้นแล้ว กรงเล็บอสูรจึงหยุดการรุกล้ำต่อ เพียงถามเบาๆ ว่า “หนาวหรือ”
“ไม่ สบายมาก!”
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกหนาวจนฟันกระทบกัน ที่แท้คนเราพอตื่นเต้นขึ้นมาเลือดก็จะไหลเวียนเร็วขึ้น เหงื่อซึมทั้งตัว หัวใจระรัว หัวอกร้อนรุ่ม บัดนี้ความรู้สึกวาบหวิวอบอุ่นที่สุดจู่ๆ ก็เหมือนถูกน้ำแข็งนาบใส่ ความรู้สึกมันช่าง… ‘สบาย’ จนไม่รู้จะว่าอย่างไร!
“คราวหน้า ไว้ข้าผ่าท้องฝ่าบาทแล้ว เทน้ำแข็งเข้าไป ท่านก็จะรู้เองว่าสบายแค่ไหน”
คำประชดที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันนี้ทำเอาไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ มือที่อยู่ในเสื้อนางคลายลง แล้วโอบรัดเอวนางจากภายนอก ถอนใจเหมือนอับจนคราหนึ่ง “เสี่ยวไป๋ เจ้าต้องรู้จักนุ่มนวลกับผู้คนสักนิด ความหยาบคายแม้จะน่าเอ็นดู แต่พึงระวังจะมิเป็นที่โปรดปราน”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วรู้สึกตนเองสั่นเทิ้มหนักกว่าเดิม
คำพูดพร่ำพรอดเหมือนคู่รักน่าขยะแขยงเช่นนี้มันอะไรกัน
และออกจากปากไอ้โรคจิตนี่ ท่ามกลางความนุ่มนวลมิได้ปิดบังการข่มขู่แม้แต่น้อย ความรู้สึกนี้เหมือนโดนอะไรเลียใส่จนนางทนไม่ไหว
“อืม ฝ่าบาทได้โปรด รีบเลิกโปรดปรานข้าน้อยเถิด จักเป็นพระคุณใหญ่หลวงที่มิอาจทดแทนได้”
เสียงของชิวเยี่ยไป๋ยังคงสั่นเครือ เอื้อมมือคลึงอกที่หนาวเย็น ก็มิรู้เพราะมือของเขาเย็นเกินไป หรือเพราะรอยสัมผัสจากบุรุษตรงที่ไม่เคยมีใครสัมผัสมาก่อน…พออีกฝ่ายคลายมือ ยังคงรู้สึกแปลกๆ
“อืม ปากแข็ง” ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ อย่างนุ่มนวลลุ่มหลง แต่เขาจับตัวนางกลับ แล้วตรึงนางไว้กับผนังเหมือนตากปลาเค็ม ทุกส่วนของร่างกายทับนางไว้ด้วยการเคลื่อนไหวที่แสนหยาบคายซึ่งตรงข้ามกับน้ำเสียง
“ฝ่าบาท ท่านเพิ่งกินน้ำแข็งไสดับร้อนมาหรือ” ชิวเยี่ยไป๋ดิ้นไร้ผล อีกฝ่ายทับไว้จนแน่น นางจึงเลิกดิ้นเสียเลย
เป็นปลาเค็มก็เป็นเถิด สภาพขณะนี้คงยังดีกว่าถูกตัวประหลาดฆ่าทิ้งหรือทำเอาบาดแผลเต็มตัวกระมัง นางนึกอย่างท้อแท้
หลังปรับตัวได้แล้ว ในห้องที่แสนอบอ้าวนี้ ความรู้สึกโดนน้ำแข็งก้อนใหญ่ทับไว้ถือว่าไม่เลว
ไป๋หลี่ชูกล่าวอ้อยสร้อย “อืม ตรงไหนที่มืดสนิท ไม่มีแสงแม้แต่น้อยเลยกระตุ้นสัญชาตญาณของข้ากระมัง ไหนว่ามาสิเสี่ยวไป๋ เจ้าคิดอย่างไรถึงเข้าวัง”
น้ำเสียงอีกฝ่ายที่ฟังออกอย่างชัดเจนว่าอยากเปลี่ยนเรื่องพูด ทำเอาชิวเยี่ยไป๋นึกสงสัย จู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่าความมืดไม่เป็นอุปสรรคต่อสายตาของอีกฝ่ายเลย เมื่อก่อนตอนอยู่กับเขา นางก็รู้สึกว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างสะดวกสบายในความมืดมิดเหมือนตอนกลางวัน จึงกล่าวต่อว่า “ฝ่าบาทคงชินกับห้องขังนี่กระมัง หรือว่าความมืดไม่เป็นอุปสรรคต่อฝ่าบาทเลย”
ไหนๆ ก็ถูกคนตรึงติดผนังเหมือน ‘ปลาเค็ม’ อยู่แล้ว เช่นนั้นนางที่เป็น ‘ปลาเค็ม’ ก็ต้องเค็มใส่ใครคนนั้นถึงจะถูก
ในความมืด แม้จะอยู่ใกล้กันแค่คืบ นางยังคงไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่รู้สึกได้ว่าไป๋หลี่ชูชะงักเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงวังเวงว่า “อืม มิผิด เจ้าอยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร”
มิรู้เพราะอะไร ชิวเยี่ยไป๋จึงรู้สึกว่าตอนอีกฝ่ายพูดคำนี้ น้ำเสียงเย็นเยียบโหวงเหวงพิลึกพิลั่นจึงเหมือนมีกลิ่นอายเย้ายวนเหมือนกับดักอันหนึ่ง