“อยากรู้ไหม”
แม้จะไม่เห็นสีหน้าอีกฝ่ายในความมืด แต่ไป๋หลี่ชูแนบชิดหู ลมหายใจเย็นเหมือนน้ำแข็งนุ่มนลวที่ริมหู กล่าวเบาๆ ว่า “หากอยากรู้ ข้าจะบอกให้”
เสียงของเขาเดิมทีก็ต่ำทุ้มวังเวงอยู่แล้ว ทำให้ผู้คนนึกถึงธารน้ำเย็นเยียบที่ไหลรินจากซอกเขาอันมืดมิด ยามนี้ยิ่งอ่อนโยนที่ริมหูนาง เหมือนน้ำแข็งหยดลงบนผิวกายที่อบอุ่นทีละหยดๆ แล้วค่อยๆ ลื่นลงตามผิวกาย อบอวลด้วยกลิ่นอายอันหอมกรุ่นของคนทั้งสอง
ทำเอาสันหลังนางระริกพิกลอย่างน่าพิศวง นิ้วทั้งสิบเกาะแน่นที่หัวไหล่เขาอย่างอดมิได้ ฝืนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “อืม เพราะอะไร”
ไอ้สารเลวนี่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเป็นกับดัก แต่ก็ไม่มีปัญญาบังคับตนเองไม่ให้ถามออกมาอย่างคล้อยตามเจตนาของเขา
ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ ปลายนิ้วไล้เบาๆ ผ่านผิวกายที่ท่อนขานาง กล่าวอย่างมีความนัยว่า “อยากรู้ความลับ ต้องมีค่าตอบแทนนะ เจ้าจะใช้อะไรแลกกับข้า”
ใช้คำว่า ‘ข้า’ อย่างสนิทชิดชอบ ลดตัวต่ำลงเป็นที่สุดโดยมิใช่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘ผู้เป็นเจ้าของวัง’ ราวกับทั้งสองเป็นคู่รักที่ใกล้ชิด แต่ก็มิอาจบดบังเจตนาร้ายแม้แต่น้อย กลายเป็นสิ่งที่ตัดกันอย่างชั่วร้าย หางเสียงที่ตวัดขึ้นสูงกลับกลายเป็นความเย้ายวนอย่างน่าประหลาด
คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋พยายามดิ้นรนเล็กน้อย หมายจะรักษาสติไว้ “อ้อ ถ้าเช่นนี้ ก็แล้วไปเถิด”
ปลายนิ้วเย็นเยียบที่หยาบกร้านเล็กน้อยไล้ผ่านผิวกายนำมาซึ่งความรู้สึกทั้งชาทั้งเสียว นางใช่ว่าจะมิคุ้นเลย นางรู้สึกว่านั่นหมายความว่ากระไร นางเป็นนักปลุกสวาทอยู่แล้วด้วยการฝึกฝน แต่บุรุษที่อยู่เบื้องหน้านี้…เป็นผู้ทรงเสน่ห์แต่กำเนิด ขอเพียงเขาปรารถนา ไม่ว่าจะยกมือวาดเท้าล้วนสะท้านขวัญคร่าวิญญาณได้
“หึ พูดจากลับไปกลับมานิสัยไม่ดี” ในความมืดเสียงบุรุษหัวร่อเบาๆ อย่างนุ่มนวล ปลายนิ้วกรีดผ่านผิวเอวของนางเป็นจังหวะ ราวกับพึงพอใจในสัมผัสนั้นจนลืมตัว
กับคนวิปริตเช่นเจ้า ซื่อเกินไปนะสิเป็นนิสัยไม่ดี!
ชิวเยี่ยไป๋ครางอู้อี้คราหนึ่ง หอบเบาๆ พลางจับนิ้วเย็นเยียบที่กำลังไล้บนอกของตน “ฝ่าบาทจะให้ข้าแลกด้วยอะไร”
การคุกคามเช่นนี้ไร้ความองอาจแม้แต่น้อยนิด เท่ากับบอกว่าถ้านางไม่ถามตอบตามกติกาของเขา เขาก็จะให้นางทดลองดูว่าอะไรเรียกว่า ‘เย็นเหมือนน้ำแข็ง เย็นจับขั้วหัวใจ’ กระนั้น
“อืม นี่เป็นความลับหนึ่ง” ไป๋หลี่ชูบรรลุจุดประสงค์ของตนแล้ว น้ำเสียงจึงฟื้นคืนกลับสู่ความโอหังไม่หวาดเกรงสิ่งใดประเภทนั้น
ชิวเยี่ยไป๋ “…ฝ่าบาท พักนี้ท่านน่าจะกินยาได้แล้ว”
นี่เป็นอาการคุ้มดีคุ้มร้าย บัดเดี๋ยวอ่อนโยนบัดเดี๋ยวเย็นชา ทำเอานางรู้สึกว่าวันนี้ไป๋หลี่ชูพิกลอยู่
บุรุษไม่สนใจ ยังคงนั่งขัดสมาธิทั้งที่อุ้มคนไว้ในอ้อมกอด ให้นางหลังพิงผนังประจันหน้ากับตน ขณะเดียวกันก็โถมอกลงบนไหล่ของนางอย่างมิเกรงใจ “อืม สบายจัง”
เจ้าสบาย แต่ข้าไม่สบายนะสิ
ชิวเยี่ยไป๋อดหน้าแดงมิได้ ใจเต้นเป็นกลองรัว ไม่ว่าหญิงใดก็ตามที่อายุสามขวบขึ้นไปย่อมไม่มีทางปล่อยให้ผู้ชายอุ้มนั่งคร่อมบนตัว ยกเว้นสภาพเดียวคือตอนร่วมรัก
แต่ไอ้หมอนี่เหมือนอุ้มตุ๊กตา เตรียมจะเล่านิทานหรือไร
“เอ้อ ความจริงเรานั่งเคียงกันน่าจะสบายกว่านะ” นางดิ้นไปมาพยายามจะลุกขึ้น แต่การเคลื่อนไหวนี้ดูเหมือนจะทำให้ ‘ฝ่าบาทองค์หญิง’ ผู้พิลึกไม่พอใจ เขาตบสะโพกนางอย่างรำคาญ กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “นั่งดีๆ เรื่องมาก ขาดการอบรม”
ชิวเยี่ยไป๋ตัวแข็ง หลังนางสามขวบแล้วไม่เคยถูกใครตีก้นอีกเลย นางรู้สึกเลือดพุ่งขึ้นศีรษะ กำลังจะกระโดดขึ้นถีบสักสองที ตวาดว่า ‘ไสหัวไป จะพูดไม่พูด’
ทว่า ดูเหมือนเขาจะรู้ดียิ่งกว่าตัวนางเสียอีกว่านางจะทำอะไร หลุดคำพูดเย็นเยียบ “เสี่ยวไป๋ เสื้อผ้าเจ้าขาดหมดแล้ว อากาศร้อนขนาดนี้ เราไม่ใส่เลยดีไหม”
ท่าเตรียมกระโดดของชิวเยี่ยไป๋เปลี่ยนเป็นกระแทกตัวนั่งลงทันที สองขาหนีบเอวเขา กัดฟันแค่นหัวร่อ “ขอน้อมรับฟังการสั่งสอนคัมภีร์ลับของฝ่าบาท”
สักวันหนึ่งเถิด นางจะให้เขาลิ้มรสดูว่าอะไรคือการอบรมอย่างแท้จริง!
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะพอใจ ยันมือข้างเดียวกดนางไว้กับผนัง ตนเองยังคงหมกอยู่ที่ร่องคอของนาง ครางอย่างเกียจคร้าน “อืม”
แต่ผ่านไปพักใหญ่เขายังคงไม่พูด ชิวเยี่ยไป๋ก็ไม่รีบร้อน ไหนๆ ก็เป็นเยี่ยงนี้แล้ว เขาอยากทำอะไรนางก็คงลงมือแล้ว ในเมื่อเขามิได้ลงมือ ก็แสดงว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในความมืดดูเหมือนกาลเวลาจะผ่านไปช้าเป็นพิเศษ จนกระทั่งนางรู้สึกใกล้จะหลับแล้ว เสียงเย็นเยือกวังเวงของไป๋หลี่ชูจึงดังขึ้น “ความจริงก็ง่ายมาก คิดจะเคลื่อนไหวสะดวกยามค่ำคืน วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มืดจนแทบไม่มีแสงสักแปดปีสิบปี โดยพื้นฐานแล้วจะเหมือนตาบอด พอตาบอดแล้วสัมผัสอื่นๆ ก็ไวขึ้น การได้กลิ่น ได้ยิน สัมผัส การรับรสย่อมจะไวขึ้นเองเป็นธรรมดา”
ชิวเยี่ยไป๋ที่เดิมทีเคลิ้มหลับไปแล้ว จู่ๆ ได้ยินเขาพูด คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามอย่างข้องใจว่า “ที่ฝ่าบาทพูดก็มีเหตุผลอยู่ แต่คนตาบอดก็คือคนตาบอด เป็นไปได้อย่างไรที่ไร้อุปสรรคใดๆ”
คนผู้นี้มิใช่ค้างคาวหรือสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลซึ่งแม้สายตาแย่มาก แต่มีอวัยวะพิเศษตั้งแต่กำเนิด ทำให้พวกมันสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง แต่คนตาบอดยังคงต้องอาศัยไม้เท้าเคาะโน่นนี่นำทางจึงจะรับรู้ได้
ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ จับมือนางให้นิ้วทั้งห้าแบออกแนบผนัง “หลับตาสิ เจ้ารู้สึกอย่างไร”
ดูเหมือนไม่อยากรบกวนนาง เขาถึงกับจงใจยกศีรษะห่างจากนางเล็กน้อยแล้วกล่าวเบาๆ
ชิวเยี่ยไป๋งงงันแต่มิได้ขัดขืน แม้เบื้องหน้าจะเป็นความมืดอยู่แล้วแต่นางยังคงหลับตาลง แล้วคลำบนผนังช้าๆ รู้สึกถึงความชื้นแฉะ นางลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “บนนี้มีตะไคร่เหมือนขนเล็กละเอียดแต่ไม่ยาว น่าจะมีคนคอยเช็ดถูเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็แสดงว่าตรงนี้มีกลไก บางครั้งเปิดห้องขังนี้ให้แสงตะวันส่องเข้ามา ตะใคร่จึงเติบโตได้ไม่มากนัก”
“สันนิษฐานได้ระดับนี้ก็ดีมากแล้ว ข้ามาพูดถึงการมองเห็นเถิด” จู่ๆ ไป๋หลี่ชูก็ชิดหูนางกล่าวเนือยๆ ว่า “ด้านบนทางขวามือเจ้ามีจิ้งจกตัวหนึ่ง”
พูดจบ เขาพลันจับมือขวานางขยับขึ้นบน แนบกับอีกที่ทันที
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขยับตัวในฝ่ามือตน นางแข็งไปทั้งตัว แม้นางจะไม่กลัวพวกหนอนแมลงหรือสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย แต่มิได้หมายความว่านางจะชอบสัมผัสสิ่งเหล่านี้ในสภาพที่มิได้เตรียมใจมาก่อน
ไป๋หลี่ชูรู้สึกถึงคนในอ้อมกอดตัวแข็งทื่อจึงหัวร่อคราหนึ่ง “ด้านล่างมือซ้ายของเจ้า มีแมงมุมตัวเล็กเท่าครึ่งหนึ่งของเหรียญ ดูจากสภาพการถักใยของมันแล้วน่าจะมีพิษร้ายมาก”