ชิวเยี่ยไป๋พลันชักมือกลับในทันที การถูกแมงมุมพิษกัดเข้าย่อมมิใช่เรื่องน่ายินดีแม้แต่น้อย แต่ไป๋หลี่ชูกลับคว้ามือนุ่มนิ่มของนางไว้ กล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ต้องกังวล การจะจับพวกมันโดยไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บนั้นง่ายมาก”
มิรู้เพราะอะไร คำพูดนี้ของไป๋หลี่ชูเหมือนยาอมฤตพิสดาร ทำให้มือที่แข็งเกร็งของชิวเยี่ยไป๋คลายลง และไม่จำเป็นต้องดึงดันชักแขนนุ่มนิ่มที่ถูกเขากุมไว้กลับคืน
แม้นางจะไม่ชอบแมงมุมพิษ แต่ก็ไม่คิดจะจับพวกมัน
แต่ไป๋หลี่ชูกลับมิได้คิดจะดึงแขนนางไปสอนวิธีจับแมงมุม หากดึงข้อมือซ้ายของนางสัมผัสกับด้านล่าง คลำถูกสิ่งที่นุ่มนิ่มยาวเล็กละเอียด นางตัวแข็ง แต่สัมผัสจากมือบอกนางว่านั่นเป็นพืช
“นี่เป็นหญ้ากกราตรี ชอบอับชื้น ไร้พิษ รสขมฝาดเล็กน้อย มีสรรพคุณทำให้เลือดแข็งตัว ต่อให้ไม่มีแสงตะวันชั่วนาตาปีก็อยู่ได้ เพียงแต่ไม่เติบโต” ไป๋หลี่ชูหยุดเล็กน้อยแล้วพลันถามคำถามพิกล “เสี่ยวไป๋ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสามอย่างนี้คล้ายอะไร”
แม้ชิวเยี่ยไป๋จะไม่สู้เข้าใจนักว่าเขาถามทำไม แต่หลังขบคิดแล้วก็ตอบว่า “สามอย่างนี้ล้วนเติบโตในที่มืดและอับชื้นหรือ”
ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ “นี่คือความเหมือนร่วมกัน แต่ในสายตาของข้า คุณสมบัติที่ตรงกันที่สุดของพวกมันคือ…พวกมันล้วนเป็นของกิน”
ชิวเยี่ยไป๋งุนงง แล้วอดพ่นลมหัวร่อมิได้ “ฝ่าบาท ท่านล้อเล่นหรือ”
‘ฝ่าบาทองค์หญิง’ ผู้สูงส่งที่สัมผัสกับโต๊ะเก้าอี้ซึ่งคนอื่นเคยนั่ง ยังแค้นนักจนอยากถลกหนังตนเองออกชั้นหนึ่ง ถึงกับกินของพวกนี้หรือ
นางรู้สึกว่าไอ้หมอนี่ไม่มีอะไรทำเริ่มเย้าแหย่นางอีกแล้ว
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะล่วงรู้ความคิดของนาง จึงกล่าวเนือยๆ ว่า “คนเรามีเพียงขณะหิวโหยสุดขีดจนใกล้ตาย จึงจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะอยู่รอดต่อไป ศักยภาพทั้งปวงและสันดานดิบจะถูกกระตุ้นออกมา และจะแยกแยะได้อย่างช้าๆ ว่าอะไรบ้างที่ทำให้ตนเองมีชีวิตรอดต่อไป และอะไรจะปลิดชีพของตน เรียนรู้วิธีล่าเหยื่อในความมืดที่โหดร้ายที่สุด”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วอดสงสัยมิได้ “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ คนมิใช่สัตว์ แม้จะเรียนรู้วิธีหาอาหารในความมืด แต่ก่อนหน้านั้นเล่า ถ้าว่ากันตามวิธีของท่านแล้วเกิดเหตุเหนือความคาดหมายจะทำอย่างไร”
ถึงอย่างไรความสามารถที่เขาพูดถึงเหล่านี้ต้องผ่านการฝึกฝนนับครั้งมิถ้วนจึงจะทำได้ จะว่าไปแล้วชาติก่อนของนางก็เปรียบเหมือนการเอาตัวรอดในทุ่งกว้าง จะทำให้ง่ายได้อย่างไร
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะรู้สึกว่าคำพูดของนางน่าขัน จึงคลำมือนางเล่นพลางกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ตายไปก็ตายสิ ผู้เข้มแข็งกว่ากินผู้อ่อนแอมิใช่กฎเกณฑ์หรอกหรือ กลางวันแสกๆ ใต้ฟ้าที่สดใสยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโลกเร้นลับอันดำมืด หากโชคไม่ดีพอ ระวังตัวไม่มากพอ คนที่ไร้ความสามารถย่อมไม่มีทางกลับสู่แดนมนุษย์และต้องกลายเป็นอาหารของผู้ล่า มิใช่เป็นไปตามครรลองคลองธรรมหรอกหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน คำพูดของไป๋หลี่ชูดูเหมือนมีเหตุผลอย่างยิ่ง แต่ตรรกะเช่นนี้เหมือนตรรกะโจรชัดๆ อย่าว่าแต่นางออกจะรู้สึกว่าพิลึกอยู่บ้าง นางนึกดูแล้วพลันกล่าวว่า “ในการฝึกประเภทที่ฝ่าบาทว่านี้ ยังมีผู้อื่นร่วมด้วยอีกหรือ”
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะรู้สึกเหนือความคาดคิดในความเฉียบไวของนาง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างมินำพาว่า “โลกนี้ที่น่ากลัวกว่าพวกของมีพิษมิใช่มนุษย์หรอกหรือ สัตว์ที่โดดเด่นและร้ายกาจที่สุดมิใช่มนุษย์หรอกหรือ ถ้าไม่มีคนร่วมด้วย จะนับว่าเป็นการล่าที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุดได้อย่างไร”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วจมอยู่ในความเงียบงัน
ไม่ผิด นางยอมรับว่าที่ไป๋หลี่ชูพูดถูกต้องทั้งหมด แต่การถูกกักขังในความมืด อาศัยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงสามารถเสาะหาอาหารและแหล่งน้ำ ฆ่าพวกเดียวกันที่แย่งอาหาร ถ้ามีชีวิตด้วยวิธีนี้ตลอดสิบปี ย่อมสามารถบีบเค้นศักยภาพทั้งมวลออกมาได้มากที่สุด แต่นี่หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่านี่มิใช่การฝึกศักยภาพของสายตา หากแต่เป็นการฝึก…นักฆ่าในความมืดระดับสุดยอดประเภทหนึ่ง
“หรือว่าฝ่าบาทเคยเข้าร่วมการล่าที่ท่านว่านี้” ชิวเยี่ยไป๋หยั่งเชิง
ในนี้มีตรรกะที่ย้อนแย้งและเป็นไปมิได้อยู่
ไป๋หลี่ชูไม่ตอบตรงๆ เพียงคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มโยนคำถามกลับ “เสี่ยวไป๋ เจ้าลองเดาดูเถิด”
บัดนี้ ฝ่าบาทผู้นี้ รักชอบการให้คนคาดเดาแล้วหรือ
นางลอบถอนใจ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยกมือขึ้นยังไม่เห็นนิ้ว นางย่อมไม่เห็นสีหน้าแววตาของเขา จึงได้แต่อาศัยน้ำเสียงและอากัปกริยาเล็กน้อยรับรู้อารมณ์ของเขา เจ้าหมอนี่วันนี้พิลึกกึกกือ ไม่เย็นชาเหมือนที่เคยแม้แต่น้อย แสดงอารมณ์อย่างเปิดเผยเป็นพิเศษท่ามกลางความมืด
แต่นางยังคงกล่าวอย่างคล้อยตามว่า “ประการแรก วิธีฝึกที่ฝ่าบาทว่าเป็นประโยชน์ก็จริง แต่วิธีฝึกนักฆ่าในความมืดเช่นนี้ ความจริงแล้วเป็นวิธีฝึกสุดยอดมือสังหารยามราตรี และไม่เหมือนการฝึกความสามารถการมองเห็นในความมืด ประการที่สอง ผู้สูงศักดิ์เช่นฝ่าบาทต้องเข้าร่วมการฝึกเช่นนี้ ก็เพราะอาณาจักรไร้ผู้มีฝีมือแล้ว จนถึงกับทำให้ราชโอรสองค์หนึ่งต้องตกระกำลำบากชนิดมิใช่คน เพียงเพื่อจะได้มือสังหารเช่นนี้ไปลอบสังหารใครกระนั้นหรือ”
นี่จึงเป็นคำพูดของไป๋หลี่ชูที่ดูแล้วเหมือนมีเหตุผลแต่เป็นไปไม่ได้ในเชิงตรรกะ และที่ประหลาดยังมีอีกจุดหนึ่ง มือสังหารในความมืดประเภทนี้ต้องปฏิบัติการยามราตรี และต้องไม่พบกับแสงตะวันชั่วนาตาปี และลิขิตไว้แล้วว่า คราใดที่เขาพบกับประกายสว่างจ้าเช่นแสงเทียนก็จะตาบอด
ใช้วิธีที่ต้นทุนสูงและเปลืองแรงเช่นนี้เพื่อฝึกมือสังหาร แม้จะใช้วิธีฝึกมือสังหารตามปกติยังคงสามารถบ่มเพาะมือสังหารชั้นยอดให้บรรลุภารกิจได้เช่นกัน ไยมิใช่เป็นการทิ้งต้นไปหาปลาย
เวลานี้ชิวเยี่ยไป๋ยังมิรู้ว่าความจริงแล้ว ‘การทิ้งต้นไปหาปลาย’ จึงจะเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้
ไป๋หลี่ชูเกยหน้าที่ซอกคอนาง ดูเหมือนจะรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มบนตัวนาง ถูไถไปมาพลางหรี่ตากล่าวอย่างสบายว่า “อืม พูดได้ดี ข้าสายตาดีมาก ความจริงก็เป็นความสามารถที่ได้มาจากครรภ์มารดา”
นับแต่เขาพบว่านางเป็นสตรีจนถึงขณะนี้ ในที่สุดก็พบแล้วว่าหนึ่งเดียวที่เหนือกว่าบุรุษก็คือ
เสี่ยวไป๋นุ่มมากจริงๆ กอดแล้วสบายกว่ากอดอีไป๋หรือซวงไป๋เป็นไหนๆ เขาเคยจับอีไป๋กับซวงไป๋มาลองกอดดู ปรากฏว่าไม่ถึงครึ่งเค่อก็จับโยนออกไป ร่างกายบุรุษแข็งเหมือนกระดาน สองคนนั้นหน้าตาไม่อัปลักษณ์แต่ตัวแข็งเหมือนไม้เหมือนหิน เพียงแค่ยุดเสื้อพวกเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ตัวสั่นงันงกหน้าตาเหมือนมีใครตาย ราวกับว่าเขาเป็นเจ้านายไปทำอะไรเข้า ทำเอาดูแล้วไร้ความสนุกและน่าโมโห
สู้เขาไปกอดทุเรียนลูกหนึ่งที่นำเข้ามาจากสยามยังจะดีกว่า แม้จะโดนหนามตำบ้างและเหม็นไปหน่อย แต่รสชาติดีมาก เสร็จแล้วอาบน้ำอบร่ำเครื่องหอมสักหลายครั้งก็ได้แล้ว
ส่วนสตรีนะหรือ เดิมทีอยากลองดูบ้าง พอแตะนางกำนัล เขาก็จับสตรีที่อีไป๋สู้อุตส่าห์คัดสรรเป็นอย่างดีและแต่งตัวจนงดงามหยดย้อยโยนออกจากวังเลย ผะอืดผะอมจนขนลุกผื่นคัน อาบน้ำอยู่ค่อนวันจึงค่อยยังชั่วบ้าง
วุ่นวายอยู่นาน ยังคงพบว่ากอดเสี่ยวไป๋แล้วสบายที่สุด ไป๋หลี่ชูรู้ตัวดีว่าเขาเป็นคนนิสัยช่างเลือกชนิดที่ผู้คนยากจะทนทาน เสี่ยวไป๋ทั้งอบอุ่นนิ่มนวล ยิ่งไม่เหมือนสตรีทั่วไปที่เขาอยากขย้อน ทั้งสามารถสู้กับเขาและเป็นอาหารได้ด้วย จริตเล็กๆ น่าสนุกมาก พอระเบิดโทสะก็ทำเอาเขาคันหัวใจยุบยิบ จนแค้นนักที่มิอาจกลืนนางลงท้องไปจริงๆ เขาคิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันหาใครที่วิเศษถูกใจเช่นนี้ได้อีกแล้ว
ตอนต่อไป →