วันที่ฝูชางมีอายุได้ห้าพันปีนั้น มหาเทพไท่อี่ก็ได้มอบต้นกล้าของต้นซิ่งฮวาเซียนหวามาเป็นของขวัญให้หนึ่งคันรถ
มองไปยังหลานชายตัวน้อยที่งดงามราวกับเซียนหยกแล้ว มหาเทพไท่อี่รู้สึกเปี่ยมไปทั้งความคาดหวังและรักใคร่ พลางบอกเขาว่า “เจ้าปลูกต้นกล้าเหล่านี้ด้วยตนเอง รอให้เจ้าได้เจอว่าที่ฮูหยินของเจ้าในอนาคตแล้ว มันก็ผลิดอกแล้ว”
ดอกซิ่งฮวาเซียนหวางดงามมาก ดอกใหญ่ราวกับจาน นับเป็นต้นกล้าชั้นดีในบรรดาดอกซิ่งฮวาเลย จุดเดียวที่คนไม่ค่อยชอบนัก ก็คือการผลิดอกของมันไม่มีกำหนดแน่นอน คิดจะบานก็บาน หากไม่บานผ่านไปหลายหมื่นปีแล้วก็ไม่แน่ว่าจะบานสักครั้ง
ดังนั้นแท้จริงแล้วคำพูดเหล่านี้ของมหาเทพไท่อี่ก็เป็นเพียงคำพูดหยอกล้อหลานชายเล่นเท่านั้น แต่ทว่าเทพน้อยฝูชางที่มีอายุเพียงห้าพันปีในตอนนั้นกลับเชื่อว่าเป็นจริง ทุกวันเมื่อกินข้าวแล้วก็จะต้องไปที่สวนดอกไม้สักครั้ง กลัวว่าดอกซิ่งฮวาเซียนหวาที่เขาปลูกเองเหล่านี้จะเกิดผลิบานขึ้นมา
คิดว่าสำหรับเด็กวัยรุ่นที่มีนิสัยนิ่งเฉยเย็นชาแล้ว การมีอยู่ของ “ฮูหยิน” คำคำนี้ ดูจะไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก
เขากังวลอยู่อย่างนี้ ดอกซิ่งฮวาเซียนหวากลับไม่ได้ผลิบานเลยเหมือนดั่งที่เขาต้องการ ฝูชางค่อยๆเติบโตขึ้นที่วังเทพบูรพา เมื่ออายุได้สามหมื่นปี เขาก็ลืมเรื่องเหล่านี้ไปหมดแล้ว
ในวันที่อากาศสดใสของฤดูใบไม้ผลิ ผู้ใหญ่อย่างจักรพรรดิสวรรค์พลันเกิดรู้สึกว่างไม่มีอะไรทำขึ้นมา และนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เทพฝูชางของตระกูลหวาซวีมีอายุได้สามหมื่นปีแล้ว ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากการรำกระบี่ในพิธีอภิเษกของธิดาจักรพรรดิครั้งที่แล้วด้วย เกรงว่าอนาคตเหล่ามวลบุปผาจะมีมาให้เลือกไม่ขาดสาย เขาจึงคิดอยากจะจัดงานเชื่อมสัมพันธ์ให้กับเขา
แต่จะเชื่อมสัมพันธ์กับใครนั้นยังคงเป็นปัญหาอยู่ ตระกูลหวาซวีมีชื่อเสียงดีงามมาตลอด แน่นอนว่าแดนเทพไม่ว่าใครต่างก็ยินดีที่จะให้บุตรสาวแต่งเข้าไปทั้งนั้น เขาเลือกใครเข้าก็จะพาให้ถูกเกลียดเอาได้ง่ายๆ พอดีกับที่องค์หญิงตระกูลจู๋อินมีอายุครบเก้าพันเจ็ดร้อยปี หญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามราวดอกไม้แรกแย้ม หากว่าเลือกนาง ใครก็ไม่กล้าแค้นเคือง
ดังนั้นตอนอาหารเที่ยงฝูชางจึงได้รับข่าวที่ว่า “พรุ่งนี้ที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผา ไปพบกับองค์หญิงตระกูลหวาซวี” เช่นนี้มา
ครั้นหันหน้าไปมองท่านพ่อ ท่านพ่อยังคงมีท่าทางเรียบเฉยสบายๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อืม องค์จักรพรรดิสวรรค์ทรงมีพระประสงค์ดี เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ไปลองดูเถอะ”
ชื่อเสียงอันโด่งดังของตระกูลจู๋อินในแดนสวรรค์มีใครบ้างที่ไม่รู้ องค์หญิงที่ถือกำเนิดมาในตระกูลสูงศักดิ์อย่างนี้ คิดว่าน่าจะไม่ต่างจากเหล่าเทพที่ไปมาหาสู่กับเขาเหล่านั้นมากนัก
หวังว่านางจะใจกว้างมีมารยาท หากเป็นอย่างนั้นทั้งสองก็สามารถคบหากันได้ ฝูชางคิดเช่นนี้ และได้ใช้ชีวิตผ่านวันเวลาที่สงบราบเรียบโดดเดี่ยววันสุดท้ายของชีวิตไปอย่างสงบ
เรื่องที่จักรพรรดิสวรรค์เชื่อมสัมพันธ์ให้กระจายออกไปทั้งแดนเทพในพริบตา กู่ถิงได้ยินว่าจะมาพบกันที่เกาะสวรรค์บ้านของตน ยังจัดการเปิดประตูเรือนในให้เขาอย่างมีน้ำใจ แล้วกล่าวว่า “ดอกโบตั๋นเริงระบำผลิบานพอดีเลย เจ้ากับองค์หญิงตระกูลจู๋อินผู้นั้นไปชมดูก็ดี”
หัวใจอันแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของกู่ถิง คิดว่าก็รู้สึกว่าองค์หญิงตระกูลจู๋อินจะต้องเป็นสตรีประเภทอบอุ่นสูงศักดิ์สง่างามแน่ๆ และน่าจะเหมาะสมกับฝูชาง เขาคิดเช่นนี้
เช้าวันนั้น ฝูชางเปลี่ยนเป็นชุดยาวลายเมฆาสีขาวที่ใส่ประจำ ไม่รู้ว่าเขาเกิดความคิดอะไรขึ้น ก่อนไปจึงไปที่สวนดอกไม้ก่อน ดอกซิ่งฮวาเซียนหวาบนกิ่งยังคงโล้นเกลี้ยงไร้ดอกเช่นเดิม กระทั่งดอกตูมยังไม่มีให้เห็น
เขาออกไปจากวังเทพบูรพาอย่างวางใจ
ในป่าต้นสาลี่ที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผาราวกับปูลาดด้วยหิมะ เขาเห็นองค์หญิงเสวียนอี่ของตระกูลจู๋อินแล้ว
นาง…ดูสูงศักดิ์จริงๆ ผู้ติดตามนำมาเป็นร้อย เรียกได้ว่าสูงศักดิ์จนกลายเป็นโอ้อวด
นางก็นุ่มนวลงามสง่าจริงๆ เวลากล่าวอะไรจะคิดไตร่ตรองเสียเกินเหตุ น้ำเสียงยังอ่อนแรงไร้กำลัง เวลาเดินก็อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ราวกับไร้กระดูกอย่างนั้น
นางมีมารยาทมากจริงๆ สามารถนำคำพูดที่แฝงความเสียดสีมาพูดได้อย่างดงาม เขายังไม่เคยเห็นใครพูดได้อย่างนี้มาก่อนเลย
นางยังใจกว้างมากด้วย ไร้ท่าทีเกรงใจโดยสิ้นเชิง พบหน้ากันก็โยนผ้าเช็ดหน้าลงไปในบ่อเมฆา แล้วยังจะไปเด็ดดอกโบตั๋นเริงระบำอย่างไม่สนใจอะไรอีก กู่ถิงเกือบถูกนางทำให้ตกใจจนร้องไห้ออกมาแล้ว
พูดแล้วก็คือ การเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้ ทำให้ฝูชางเกิดโทสะขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน ต่อให้เป็นภูเขาดินก็ยังต้องถูกนางทำให้โมโหจนกลายเป็นภูเขาไฟ
เทพฝูชางกลับไปยังวังเทพบูรพาด้วยสีหน้าดำคล้ำราวกับถ่าน เหล่าบรรดาเทพขุนนางที่เข้ามารับอย่างตื่นเต้นตอนนั้น ยิ่งตกใจราวกับเอาอะไรมาทุบหัวเขา “ท่านเทพ! ดอกซิ่งฮวาเซียนหวาในสวนดอกไม้บานแล้วขอรับ!”
พริบตานั้น เขารู้สึกขึ้นมาจริงๆว่าราวกับมีก้อนโลหิตจุกอยู่ที่ลำคอจนอยากจะพ่นออกมา
ผลคือพวกมันผลิบานแล้วจริงๆ แต่ละหย่อมแต่ละกลุ่มผลิบานบนกิ่งที่ตอนเที่ยงยังโล้นเกลี้ยง ผลิบานอย่างงดงามท่ามกลางแสงอัสดงกว่าหมื่นลี้
ฝูชางเหม่อมองดอกซิ่งฮวาเซียนหวาที่ผลิบานอยู่ในสวนดอกไม้อยู่นาน
ตอนที่เทพบูรพามานั้น เขาก็ยังคงเหม่ออยู่
“องค์หญิงตระกูลจู๋อินผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เทพบูรพาจงใจกระทุ้งในจุดที่เขาไม่พอใจ
ฝูชางหมุนตัวมาคารวะ ตอนเงยหน้าขึ้นนั้น ความขัดเคืองและไม่สบอารมณ์ได้หายไปแล้ว เขากล่าวเสียงเรียบว่า “ท่านพ่อ หากว่าจักรพรรดิสวรรค์มีความคิดจะเชื่อมสัมพันธ์อย่างนี้อีก ขอท่านพ่อช่วยปฏิเสธแทนข้าด้วย”
เทพบูรพาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อ้อ นางรูปโฉมไม่งดงามหรือ หรือว่าพฤติกรรมวาจาหยาบกระด้าง?”
ไม่ นางมีรูปโฉม…
เดิมฝูชางคิดว่าเพราะโทสะจะทำให้เขาลืมท่าทางขององค์หญิงมังกรนั่นไปได้ แต่ในทันใดนั้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาราวกับกระเบื้องเคลือบก็ปรากฏขึ้นมาในสมองของเขา ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีผมยาวสีดำที่ปล่อยสยายลงมา วงแหวนสีทองระยิบระยับ ดวงตาที่เย็นชาและห่างเหิน ดูเหมือนว่านางจะไม่เข้ากับสิ่งรอบข้างเลยสักนิด
เขาไม่มองไปยังดอกซิ่งฮวาเซียนหวาที่ผลิบานอย่างประหลาดนั่นอีก ประสานมือแล้วกล่าวลา “ข้ายังไม่มีใจกับเรื่องนี้ ท่านพ่อไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้หรอกขอรับ”
ท้องฟ้ามืดลง ริมทะเลสาบเฉิงเจียงมีแสงสว่างกะพริบ ฝูชางเดินไปพลาง ก็อดที่จะนึกไปถึงเงาร่างที่งดงามเย็นชานั่นไม่ได้ สวยมาก แต่ว่าก็เลวร้ายมาก ไม่มีตรงไหนน่ารักเลยสักนิด ที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ท่าทีเสแสร้งนั่น แต่ว่าเป็นท่าทางที่นางทำราวกับคนรอบข้างคือคนโง่งมที่หยอกล้อได้ ทั้งๆที่รู้ดีว่าการจงใจแสดงท่าทีอย่างนั้นออกมาเขาจะต้องมองออก แต่ว่านางก็ยังทำออกมาอย่างที่นางอยากจะทำ
ดอกซิ่งฮวาเซียนหวาบานแล้วก็ช่าง แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นนาง
ฝูชางสลัดเงาร่างงดงามบอบบางที่วนเวียนไปมาในสมองทิ้งไป เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องลืมเรื่องเหลวไหลในวันนี้ทั้งหมดไปเสีย