ปีที่เซ่าอี๋ถือกำเนิด ฤดูหนาวของเมืองฉยงซางมีหิมะตกลงมาอย่างหาได้ยาก เหล่าเทพขุนนางกล่าวกันว่า นี่คือลางดี น่าจะหมายถึงเทพที่ถือกำเนิดมานี้จะนำความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลมาสู่เมืองฉยงซาง
จะนำความเปลี่ยนแปลงอย่างไรมาให้นั้น เซ่าอี๋ที่เป็นเพียงเทพหงส์ตัวน้อยคนหนึ่งยังไม่ได้ไปสนใจ เขารู้สึกแค่ว่าหนาวมาก และแสวงหาอ้อมอกที่นุ่มนวลและอบอุ่นโดยสัญชาตญาณเท่านั้น
ท่านแม่ประคองเขาไว้ในอ้อมอก และใช้ผ้าทอเมฆาที่อ่อนนุ่มที่สุดห่อตัวเขาเอาไว้ เพื่อกล่อมให้เขาหลับ นางยังคีบใบไม้ขึ้นมาหนึ่งใบ แล้วเป่าเป็นทำนองเพลงสั้นๆ ที่อบอุ่นใสบริสุทธิ์เพลงหนึ่งออกมา
นั่นคือเพลงแรกที่เขาได้ยินหลังจากถือกำเนิดมา ทว่าเขากลับไม่รู้ชื่อเพลง
ในความว่างเปล่าที่มืดมิดและอ่อนนุ่มนั้น เขามีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุด ท่านพ่อท่านแม่รักใคร่กันอย่างน่าประหลาด ยามว่างที่ไม่มีอะไรทำ พวกเขาก็มักจะพาเขาไปเที่ยวเล่นที่โลกมนุษย์จนทั่ว บ้างก็ไปดูทิวทัศน์ของโลกมนุษย์ บ้างก็ไปดูความทุกข์สุขโทสะและความเศร้าของมนุษย์ทั้งหลาย ในวันที่เทพหงส์ตัวน้อยกางปีกบินไปบนฟ้าเป็นครั้งแรกนั้น สิ่งที่ตอบรับเขาก็คือเสียงชื่นชมและร้องอุทานด้วยความทึ่งมากมายนับไม่ถ้วน
พรสวรรค์ของท่านชายยากนักจะหาได้ ทั้งตระกูลชิงหยางต่างสั่นสะเทือนไปหมด ทุกคนวาดหวังให้เขาสำเร็จเป็นมหาเทพที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลชิงหยาง ความรักใคร่ที่อบอุ่นและคอยคุ้มครองเขาหายไปในคืนเดียว แทนที่ด้วยความต้องการอันแสนเข้มงวดของท่านพ่อและท่านแม่
ทำนองเพลงที่อบอุ่นและใสบริสุทธิ์นั่น เขาไม่เคยได้ยินท่านแม่เป่ามันอีกเลย นางมักจะกุมมือเขาเอาไว้แล้วกล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า
‘ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเรากับตระกูลจู๋อินไม่ได้เหมือนดังเช่นแต่ก่อน ได้ยินว่าในรุ่นพวกเขานี้ได้ให้กำเนิดองค์ชายน้อยมา พรสวรรค์สูงส่งยิ่งนักไม่แพ้เจ้าเลย เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เกรงว่าคงยากจะมีได้ เจ้าจะต้องขยัน อย่าให้ตระกูลจู๋อินมากดหัวพวกเราตระกูลชิงหยางอีก’
เทพหงส์ที่อายุได้ห้าพันปีไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจู๋อินและตระกูลชิงหยางนัก และยังไม่อยากรู้ชัดด้วย ตอนนั้นความปรารถนาในใจของเขา ก็แค่การได้ไปเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานที่โลกเบื้องล่างกับท่านพ่อท่านแม่เท่านั้นเอง แต่แล้วมันกลับไม่เคยเป็นจริง
ช่วงเวลาที่งดงามผ่านไปไม่ย้อนกลับ เซ่าอี๋คิด พวกเขาคงไม่รักเขาอีกแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เขาไปหาความสนุกให้ตัวเองเองก็ได้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่จะไม่มีทางยอมให้ตนเองเสียเปรียบเด็ดขาด นี่คือนิสัยโดยเนื้อแท้ของเขา
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ เซ่าอี๋ลอบออกไปจากเมืองฉยงซาง เขาเดินผ่านทางเชื่อมลงไปเล่นที่โลกเบื้องล่างเพียงลำพัง แต่ก่อนลงไปด้านล่างเขาล้วนแต่ไปกับท่านพ่อท่านแม่ พวกเขารู้จักสถานที่มากมาย เขากลับไม่รู้แม้สักที่ วนเวียนไปมาในโลกมนุษย์อยู่สามวัน เซ่าอี๋ก็ต้องเศร้าใจที่พบว่า เขาหลงทางแล้ว
เขาถูกกักขังไว้ในที่ที่เต็มไปด้วยต้นอ้อมากมาย ครั้นจะบินก็บินไม่ขึ้นอีก รอบด้านคือไอหมอกเลือนราง นอกจากจะได้ยินเสียงนกเป็ดน้ำบ้างแล้ว ทั้งแผ่นดินราวกับเหลือเขาเพียงลำพัง เทพหงส์ที่มีอายุได้เพียงห้าพันปี ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กที่ยังโตไม่เต็มที่คนหนึ่งเท่านั้น เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าจนสะอาดอย่างระวัง
และในที่ที่เต็มไปด้วยต้นอ้อและไอหมอกนั้น เซ่าอี๋ก็ได้พบกับตระกูลจู๋อินเป็นครั้งแรก
ราชรถคันยาวสีดำสนิทราวกับเมฆสีดำปกคลุมอยู่บนฟ้า ทันใดนั้นก็มาหยุดอยู่ในไอหมอกนั่น เหล่าเทพขุนนางในชุดสีขาวสลับดำของตระกูลจู๋อินพลันร้องอย่างประหลาดใจว่า “ที่นี่มีตระกูลชิงหยางตัวน้อยอยู่ด้วย! หรือว่าจะเป็นท่านชาย?”
เซ่าอี๋เงยหน้าขึ้น เขาเห็นใบหน้าของเด็กอายุประมาณตนยื่นออกมาจากหน้าต่างของราชรถคันยาวที่หรูหรางดงาม ใบหน้าขาวซีดอย่างประหลาดราวกับปั้นขึ้นมาจากหิมะ เขาปรายตามองตนอย่างเย็นชาและเย่อหยิ่ง
เซ่าอี๋รู้สึกว่าไม่ชอบท่าทางอย่างนี้ของเขาเอามากๆ จึงเบนสายตาไปไม่มองเขาอีก
มหาเทพจงซานและฮูหยินคนที่สองที่เพิ่งแต่งเข้ามาภายในรถต่างยื่นหน้าออกมามองเขา ฮูหยินน้อยใช้แขนเสื้อปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ “ทำไมท่านชายถึงได้มีท่าทีไม่น่าดูขนาดนี้เสียได้”
มหาเทพจงซานกล่าวเสียงเรียบ “ทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าตระกูลชิงหยางจะใช้ไม่ได้อย่างนี้ กลับให้ท่านชายลงมาโลกเบื้องล่างเพียงลำพังเสียได้ รับท่านชายขึ้นรถมา พวกเราจะไปส่งเขากลับเมืองฉยงซาง”
เหล่าเทพขุนนางกระโดดลงมาจากรถแล้วไปอุ้มเขา เซ่าอี๋ถอยไปสองก้าวแล้วส่ายหัว เหมือนว่าเขาเองก็ไม่ชอบสามีภรรยาตระกูลจู๋อินที่พูดจาแปลกประหลาดสองคนนี้มากเช่นกัน
มหาเทพจงซานกล่าว “ฉางอวี้ เจ้ากับท่านชายอายุพอๆ กัน ไปเชิญเขาขึ้นรถเถอะ”
แม้ว่าทั้งสองตระกูลจะไปมาหาสู่กันน้อยครั้งนัก แต่ว่าเรื่องที่ตระกูลชิงหยางให้กำเนิดเทพหงส์ที่มีพรสวรรค์สูงส่งองค์หนึ่งนั้น พวกเขาก็ยังพอได้ยินได้ฟังมาบ้าง องค์ชายมังกรและท่านชายเทพหงส์ทั้งสองมีอายุพอๆ กัน จึงเกิดความคิดเปรียบเทียบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
องค์ชายน้อยที่ชื่อฉางอวี้นั่นลงมาจากราชรถด้วยท่าทีสบายๆ เซ่าอี๋เห็นเขามีอายุไล่เลี่ยกันกับตนเอง กลับสามารถลงไปเที่ยวเล่นที่โลกเบื้องล่างกับท่านพ่อท่านแม่ได้อย่างนี้ ในใจก็รู้สึกอิจฉาอย่างอดไม่อยู่ คิดว่าแววตาเขาก็คงมีประกายออกมา ฉางอวี้เห็นเขาอ่อนแอ จึงคลายยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แล้วเชิดคางขึ้นอย่างเหเย่อหยิ่ง “ยังไม่รีบขึ้นรถอีก”
พูดแล้วก็จะมาจับเสื้อเขา เซ่าอี๋กลับผลักมือเขาออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขาบูดบึ้งลงแล้วคว้าจับใหม่อีกครั้ง เด็กทั้งสองคว้าผลักกันอยู่หลายครั้ง ท้องฟ้ามืดลง ฉางอวี้มีโทสะขึ้นมา หิมะสีขาวของตระกูลจู๋อินตกลงมา เซ่าอี๋พลันรู้สึกว่าร่างของตนขยับไม่ได้ สามีภรรยาในราชรถคู่นั้นยังมองแล้วหัวเราะกันอีก
ฉางอวี้จับไหล่เขาแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “บอกให้เจ้าขึ้นรถคือไว้หน้าเจ้า ยังไม่รู้จักมารยาทอีก”
เซ่าอี๋พลันโมโหขึ้นมา ไม่รู้ว่าพลังเทพมาจากที่ไหน เปลวเพลิงสว่างลุกโชนไปทั้งร่าง แล้วออกแรงผลักเขาออกไป ด้านหลังพลันได้ยินเสียงท่านพ่อดังขึ้น “เซ่าอี๋!”
เขารีบร้อนหันกลับไป จึงได้เห็นว่าราชรถคันยาวของตระกูลชิงหยางร่อนลงมาด้านหลัง ท่านพ่อท่านแม่และเหล่าเทพขุนนางไล่ตามมาถึงที่นี่อย่างร้อนรน
ท่านแม่ที่รักใคร่บุตรไม่ทันสนใจการทะเลาะกันของเด็กทั้งสอง รีบปรี่เข้ามากอดเขาเอาไว้ในอก “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ ทำไมถึงได้แอบลงมาที่โลกเบื้องล่างเล่า”
เซ่าอี๋พลันรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอย่างสุดแสน องค์ชายน้อยตรงหน้าอายุพอๆ กับตน แต่ว่าเขากลับสามารถลงมาเที่ยวเล่นกับท่านพ่อท่านแม่ได้ ตัวเองกลับถูกจัดการด้วยความต้องการที่เข้มงวดนั่น ปกติแล้วกระทั่งใบหน้ายิ้มแย้มของพวกเขายังยากจะได้เห็น เขาไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าฉางอวี้ จึงพลันถลึงตาจ้องเขาอย่างเย็นชา
องค์ชายน้อยผู้นี้เห็นเขาถูกท่านแม่กอดไว้ในอก ใบหน้าก็แสดงความอิจฉาที่เหมือนกันกับเขาออกมา แต่แล้วก็รีบปกปิดมันไว้อย่างรวดเร็ว
มหาเทพจงซานลงมาเรียกเขา “ฉางอวี้ กลับมา”
เขาส่งเสียงฮึดฮัดออกมาแล้วหมุนตัวเดินกลับไป ผลักมือเล็กของฮูหยินน้อยแล้วขึ้นไปบนรถตามลำพัง
มหาเทพจงซานไม่สนใจเขา แต่มองไปยังราชรถตระกูลชิงหยางตรงหน้า น้ำเสียงยังราบเรียบมาก “มหาเทพชิงหยาง โลกเบื้องล่างแม้จะสงบ แต่การให้เทพหงส์อายุน้อยลงมาที่โลกเบื้องล่างตามลำพังอย่างนี้ก็ยังไม่ค่อยดีนัก”
เซ่าอี๋เห็นท่านพ่อที่มักเป็นที่เคารพยกย่องอยู่เสมอเผยรอยยิ้มจืดเจื่อนออกมา พยักหน้ากล่าวว่า “ขอบคุณมหาเทพจงซานมากที่ดูแลลูกข้าให้”
มหาเทพจงซานขึ้นรถแล้วกล่าวอีกว่า “เรื่องการแต่งงานของรุ่นนี้ คงต้องรบกวนมหาเทพชิงหยางแล้ว เขาจงซานอันเงียบสงบรอให้องค์หญิงชิงหยางเข้ามาอยู่”
ราชรถคันยาวสีดำสนิทจากไปไกล เซ่าอี๋มองท่านพ่อที่หยุดทำท่าทีคารวะส่ง แล้วหันกลับมาจับไหล่เขาแน่น น้ำเสียงต่ำมาก ซ้ำยังแฝงด้วยความจนใจ “เจ้าเองก็เห็นแล้ว แม้ว่าวันนี้องค์ชายน้อยจะทำให้เจ้าบาดเจ็บ พ่อก็ยังไม่สามารถทำอะไรเพื่อเจ้าได้”
พูดแล้วก็ตบบ่าเขาหนักๆ “กลับไปเถอะ อย่าแอบลงมาโลกเบื้องล่างอีก”
เซ่าอี๋ขึ้นไปบนรถเงียบๆ ปล่อยให้ท่านแม่ลูบผมตนอย่างปวดใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวเสียงเบาว่า “เขาทำร้ายข้าไม่ได้หรอก”
ช่วงเวลาที่แสนงดงามในช่วงนั้นกลับมาไม่ได้ก็กลับมาไม่ได้เถอะ ช่างมันแล้ว