“ผมมาคิดเรื่องนี้ดีๆ แล้วก็รู้ว่ามีเรื่องของมุมกล้องที่ถ่ายไว้ด้วย
“ทุกคนลองคิดดูดีๆ เรื่องข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อยี่สิบปีก่อนและบทความเกี่ยวกับคุณซูก็ได้ครับ พวกคุณคิดว่าสามีที่โกรธอยู่จะยังใจเย็นพอที่จะเลือกมุมกล้องและจงใจถ่ายหลบหน้าผู้ชายได้เหรอครับ..
“เมื่อยี่สิบปีก่อน โทรศัพท์ยังไม่มีกล้องด้วยซ้ำ แล้วรูปมันจะมาจากไหนล่ะครับ ก็ต้องเป็นกล้องจริงไงล่ะ! แล้วมันต้องใช้เวลามากแค่ไหนกว่าที่คนคนหนึ่งจะไปหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป ตอนที่คุณซูรู้ว่าสามีของตัวเองกลับมาที่บ้าน เธอจะนอนกับผู้ชายสองคนนั้นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ระหว่างที่สามีไปหยิบกล้องเหรอครับ
“ถ้าเราเอาคำถามพวกนี้มาคิด พ่อผมจะถ่ายรูปที่ภรรยาตัวเองนอกใจได้ยังไงกันล่ะ พวกเขาคงหนีกระเจิงกันทันทีที่ถูกจับได้แล้วล่ะ อีกอย่างจากมุมกล้องแล้ว คนที่ถ่ายต้องยืนอยู่ใกล้มากๆ มันไม่ดูเป็นการจัดฉากไปหน่อยเหรอครับ”
หลังจากเลขาหลี่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าเธอขึ้นสีแดงอย่างมีพิรุธ
“พูดอีกอย่างคือคุณซูไล่ลำดับเหตุการณ์ได้น่าเชื่อถือกว่า ไม่ใช่แค่เลขาจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยแต่เธอยังเป็นคนที่ถ่ายรูปด้วยซ้ำ!”
เมื่อสื่อได้ยินการวิเคราะห์ของเขา พวกเขาก็อยากจะคารวะให้ทันที ทำไมอยู่ๆ เขาถึงดูเหมือนจะตาสว่างขึ้นมาล่ะ
หรือว่าเขาถูกสะกดจิตอยู่ เขาถึงได้เข้าข้างซูอวี๋
ไม่น่าเชื่อ!
อีกทั้งการวิเคราะห์ของเขาก็มีเหตุผลและน่าเชื่อถือ
“หันซิวเช่อ รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” คุณพ่อหันลุกขึ้นตะโกนใส่หันซิวเช่อ เขาต้องหยุดอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาคงจะเกินคาดคิดแน่
“พ่อ เดี๋ยวผมค่อยพูดถึงพ่อนะครับ ขอผมจัดการกับพี่ชายตัวเองก่อน” หันซิวเช่อหัวเราะ “พี่ชายผมบอกว่าเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ถ้างั้นพี่ก็ต้องเห็นหน้าผู้ชายสองคนที่เป็นชู้กับคุณซูใช่ไหมครับ”
หันเจี๋ยถึงกับชะงัก!
ในหัวว่างเปล่าไปหมด ก่อนจะตอบออกมาหลังเงียบไปชั่วขณะ “ตอนนั้นฉันยังเด็ก จะไปรู้ว่าผู้ชายสองคนนั้นเป็นใครได้ยังไง”
“พี่จำหน้าตาเขาไม่ได้บ้างเลยเหรอ”
“ไม่”
“ถ้าอย่างนั้น พี่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ ตั้งแต่แรกหรือผ่านมาสักพักแล้ว”
“ซิวเช่อ นายพยายามจะหาอะไรอยู่” หันเจี๋ยถามอย่างกระวนกระวาย กลัวว่าหันซิวเช่อจะใช้จุดอ่อนของเขาทันทีที่เขาพูดอะไรผิดไป “อย่าลืมว่าใครเป็นคนเลี้ยงนายมา กล้าดียังไงมาพูดกับฉันอย่างนี้”
“งั้นก็แค่บอกผมมาว่าเลขาหลี่อยู่ในเหตุการณ์หรือเปล่าสิครับ!”
“ไม่ เธอไม่ได้อยู่!” หันเจี๋ยยืนยันเสียงแข็ง
“อย่างนั้นใครเป็นคนถ่ายรูปล่ะครับ”
“พ่อไง…”
“คิดให้ดีๆ ก่อนจะตอบนะครับ…”
“หันซิวเช่อ นายกำลังสืบสวนคดีอยู่หรือยังไงฮะ” หันเจี๋ยถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เห็นๆ กันอยู่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความงี่เง่าของซูอวี๋ นายไม่ช่วยครอบครัวตัวเอง กลับไปช่วยคนนอกแทนได้ยังไงกัน”
หลังจากได้ยินดังนี้ หันซิวเช่อก็หลุดขำออกมา “พี่ไม่ใช่เหรอที่ช่วยคนนอกมาตลอดยี่สิบปีนี้น่ะ”
“นายจะพูดอะไรกันแน่”
สองพี่น้องกำลังจะพังกันไปข้างหรืออย่างไร มันเป็นไปได้หรือ
หันซิวเช่อรังเกียจซูอวี๋และถังหนิงมาตลอด ทำไมเขาถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหันอย่างนี้ล่ะ ยิ่งเป็นหันเจี๋ยที่เลี้ยงดูเขามา ต่อให้หันซิวเช่อต้องการจะรู้ความจริง เขาก็คงไม่มีทางทำลายพี่ชายตัวเองอย่างนี้หรอกใช่ไหม
“พี่ก็รู้ว่าผมกำลังพูดอะไรอยู่ พี่เห็นแล้วก็ทำอะไรไว้เมื่อยี่สิบปีก่อนล่ะครับ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ หันเจี๋ยก็มองน้องชายด้วยสีหน้าอ่านยาก เขาไม่อยากจะเชื่อว่าคำถามนี้จะออกมาจากปากน้องชายตัวเอง
เขาทั้งอึ้งและไม่ยอมรับ “หันซิวเช่อ ไม่ว่าฉันจะทำอะไร พอเป็นเรื่องของนายฉันก็มีสติยั้งคิดนะ!”
“พอได้แล้ว! เลิกเล่นเกมนักสืบแล้วตัดสินคนอื่นสักที เรื่องมันไม่มีอะไรมากกว่านี้ทั้งนั้นแหละ ความจริงก็เป็นอย่างที่แกได้ยิน งั้นก็จบงานแถลงข่าวตอนนี้เลยแล้วกัน…” คุณพ่อหันก้าวออกมาสะสางเรื่องวุ่น เขาอยากจะจบเรื่องงามหน้านี้ให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะก่อนที่หันซิวเช่อจะวิเคราะห์อะไรไปมากกว่านี้ เขากลัวว่าสุดท้ายหันซิวเช่อจะเปิดโปงความจริง การกระทำของเขาจึงส่อแววมีพิรุธออกมา
หากแต่หันซิวเช่อหันไปมองพ่อและพี่ชายของตัวเองก่อนเอ่ย “แล้วถ้าผมเอาหลักฐานมาแสดงให้เห็นล่ะครับ”
เมื่อนักข่าวได้ยินคำว่าหลักฐาน ก็ตาวาวทันที
“นี่เป็นการสู้กันเองเหรอ”
“หันซิวเช่อเป็นอะไรของเขาน่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ไม่มีใครมีหลักฐานเรื่องนี้หรอก พูดตามตรงนะ ฉันว่าเขาเองก็ไม่มีเหมือนกัน!”
ทันใดนั้น ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความฮือฮาด้วยคำพูดของหันซิวเช่อ
หากมีหลักฐาน เช่นนั้นเรื่องนี้คงจะไม่ค้างคากันมานานอย่างนี้
“หันซิวเช่อ ถ้าแกก่อเรื่องเสร็จแล้วก็ออกไปซะ!” คุณพ่อหันเริ่มหมดความอดทน “นักข่าวทั้งหมดก็ออกไปด้วย”
“ผมเหรอ ก่อเรื่องเหรอ ผมยังไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นเลยนะ ตั้งแต่ที่ผมรู้ความทุกคนก็เอาแต่บอกว่าแม่เป็นผู้หญิงแพศยา เพราะรูปที่เธอมีชู้แผ่หลาอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ แล้วพ่อกับพี่ก็ใส่ไฟเธอให้ผมฟังอยู่ตลอด ผมเลยเกลียดเธอมายี่สิบปี!
“ผมไม่เคยตั้งคำถามกับสิ่งที่ได้ฟัง เชื่อทุกอย่างที่พ่อบอกผม แต่ผมนึกไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะโกหกผมอย่างนี้เลย!”
“ใครเป็นคนเอาความคิดพวกนี้ใส่หัวนาย ผู้หญิงคนนั้นเหรอ นายเชื่อคำพูดของเธอไปได้ยังไง”
หันซิวเช่อหันมามองหน้าหันเจี๋ย ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าผมไม่เชื่อเธอ แล้วผมควรจะเชื่อพี่เหรอครับ ตั้งแต่ที่เธอออกมาเรียกร้อง พี่ก็ทำตัวแปลกไปมาก พี่เคยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าไม่อาย แต่พี่เองก็โกหกได้หน้าด้านๆ ไม่ต่างกันเลย”
“หันซิวเช่อ…นาย…”
“ตอนที่พี่ไปหาลูกพี่ลูกน้องของหลี่ฉิงไอ้ผมก็อยู่ที่นั่นด้วย” หันซิวเช่อพูดแทรก “พี่ไปคุยกับเขาตั้งสามชั่วโมง แล้วยังสอนให้เขาทำตัวน่าสงสาร บอกให้ภรรยาเขาโขกหัวกับกำแพงด้วย ต้องให้ผมทวนความจำให้พี่ไหมครับ”
ท่าทีของหันเจี๋ยเปลี่ยนไปทันที
“รวมถึงเรื่องที่พี่คุยโทรศัพท์กับพ่อเพื่อหาวิธีปิดเรื่องนี้อีก ผมควรทวนความจำเรื่องนี้ให้พี่ด้วยไหมครับ”
“ซิวเช่อ มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดนะ นายเข้าใจผิดแล้ว…”
“เทียบกับสิ่งที่คุณซูทำร้ายผม คำโกหกของพี่มันเจ็บปวดกว่ากันเยอะเลย…”
“นี่ต้องเป็นแผนของซูอวี๋ที่ทำให้เราแตกคอกันแน่ๆ ”
“พอแล้วล่ะ…” หันซิวเช่ออดทนไม่ไหวอีกแล้ว “พี่คิดว่าผมไม่มีหลักฐานจริงๆ เหรอ”
“ซิวเช่อ คิดให้ดีๆ นะ ฉันเป็นพี่ชายของนายนะ!”
“ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นแม่ของพี่เหมือนกัน! แต่สุดท้ายพี่ก็หักหลังเธอไม่ใช่เหรอ” หันซิวเช่อว่าเย้ย
“ก็ได้ ถ้านายบอกว่าตัวเองมีหลักฐาน ไหนล่ะ” ท่าทีของหันเจี๋ยที่มีต่อหันซิวเช่อพลันเปลี่ยนไปทันที