บทที่ 153 ทาคุชา
เมื่อยามราตรีโรย ควันกลุ่มหนึ่งจากกองไฟก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตานปานั่งอยู่ข้างกองไฟอย่างเงียบเชียบราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แสงไฟจากเปลวเพลิงกะพริบไปมาส่องกระทบใบหน้าเขา ส่องให้เห็นอักขระบนใบหน้าเขาได้ชัดเจน
เผ่าคนเถื่อนไม่ใช่เผ่าที่ใช้สมองมากนัก
เผ่าคนเถื่อนไม่ชอบใช้สมอง แต่ตานปานั้นแตกต่าง
ตานปาชอบนั่งคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่เงียบเชียบเพียงลำพัง
เขาแตกต่างจากคนหนุ่มเผ่าคนเถื่อนที่มีนิสัยดุร้ายคนอื่น ๆ มาก ที่เมื่อใดรู้สึกเบื่อขึ้นมาก็คิดอยากหาเรื่องวิวาทได้
ชีวิตในวัยเด็กของเขามีความสุขก็เพราะสิ่งนี้
เป็นเพราะการสนับสนุนของผู้นำบรรพชน
ผู้นำบรรพชนเคยกล่าวไว้ว่า “เผ่าคนเถื่อนนั้นเกลียดการคิดพิจารณา และเพราะเช่นนี้คนอื่น ๆ ในเผ่าจึงมองดูถูกคนที่ใช้สมอง แต่การมีอยู่และการขยายของเผ่าคนเถื่อนนั้นต้องพึ่งคนที่ใช้สมอง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่เจ้าชอบคิดมากเกินไปหรอกตานปา เจ้าไม่เพียงต้องเรียนรู้การใช้หมัดสังหารศัตรู แต่ยังต้องเรียนรู้การใช้สมองคิดหาโอกาสจัดการศัตรูและใช้มันเพื่อคุมตัวเจ้าเองด้วย !”
ตั้งแต่นั้นมา ตานปาก็กลายเป็นคนหนุ่มในเผ่าที่ชื่นชอบการคิดและไตร่ตรองที่สุด กลายเป็นคนโปรดของผู้นำบรรพชน
เมื่อผู้นำชนเผ่ากิ้งก่ากรวด ปาข่าหลุน มาขอคนกับผู้นำบรรพชน ผู้นำบรรพชนไม่ได้แนะนำคนที่แกร่งที่สุดในอารามนามว่าข่าจา แต่กลับส่งตานปาไปแทน
เขาเอ่ยว่า “นำตานปาไปกับเจ้า แล้วเขาจะทำให้เจ้าประหลาดใจ”
หลังจากนั้นตานปาจึงกลายเป็น 1 ใน 3 หัวหน้าของการเดินทางครั้งนี้
เผ่ามนุษย์นั้นมอบหมายเลขให้ศิษย์แต่ละคนอย่างเป็นระบบ แต่เผ่าคนเถื่อนทำเพียงมอบอำนาจหัวหน้าให้กับนักรบอาราม ส่วนเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ ก็รับคำสั่งจากพวกเขาเท่านั้น
ซึ่งตำแหน่งหัวหน้าที่ได้มานี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาและการตรึกตรองของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ตานปารู้สึกโศกเศร้าอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะนี่เป็นเผ่าของเขา อย่างไรเขาก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเผ่า
เมื่อราตรีดำเนินไป ท้องฟ้าก็มืดลงเรื่อย ๆ ไม่นานก็เหลือเพียงแสงที่มาจากกองไฟเพียงอย่างเดียวที่ยังคงส่องสว่างอยู่
หากเป็นตานปา เขาคงจะเลือกดับไฟทิ้งเสีย จะได้ไม่เป็นการเผยตำแหน่งให้อีกฝ่ายรับรู้ได้
เคราะห์ร้ายที่เขาไม่อาจทำได้
เพราะเฟ้ยลาหลัวไม่เห็นด้วย
เขาอ้างว่าการกระทำเช่นนั้นขี้ขลาดตาขาว ไม่ใช่สิ่งที่นักรบสมควรทำ นักรบที่แท้จริงย่อมไม่เกรงกลัวการถูกพบเจอ หากอีกฝ่ายจะหาพวกเขาเจอก็ปล่อยไป
หากไม่ใช่เพราะตานปาทัดทานไว้ เฟ้ยลาหลัวก็คงบุกเข้าโจมตีมนุษย์กลุ่มนั้นไปตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว
หากแต่นั่นเป็นกลุ่มมนุษย์เกือบ 10 คนเชียว
คิดจะทำเช่นนั้น ช่างเป็นคนที่สุดยอดจริง ๆ!
แต่ถึงกระนั้นเฟ้ยลาหลัวก็ไม่ได้ยินดีสักเท่าไหร่
“ตานปา ข้าว่าตั้งมั่นอยู่ที่นี่ไปก็ไร้ค่า หากไม่ออกไปจัดการพวกมันตอนนี้ เราก็ออกไปล่ามนุษย์ที่อยู่ตัวคนเดียวยังดีเสียกว่า ข้าว่าอยู่ที่นี่ไปก็เสียเวลาเปล่า!”
เฟ้ยลาหลัวนั่งลงข้างตานปาแล้วบ่นเสียงขุ่น
“แต่วิธีนี้ใช้จัดการกับพวกเขาได้ดีที่สุดแล้ว” ตานปาตอบ “มีมนุษย์เกือบ 20 คนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ไม่มีทางที่พวกเขาจะนิ่งเฉยเป็นแน่ หากเราคอยซุ่มและจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาเช่นนี้ พวกเขาก็จะถูกกดให้ขยับตัวไม่ได้ แม้เราก็ไม่อาจขยับตัวได้เช่นกัน แต่ทำเช่นนี้จะสร้างโอกาสให้สหายร่วมศึกของเราได้ อีกทั้งหากสหายพวกเราได้เปรียบเรื่องจำนวนคนจะได้ฆ่าสังหารมนุษย์ที่อยู่ที่นั่นให้สิ้นได้ จากนั้นก็ปล้นทรัพยากรที่พวกเขามีมาเสีย”
“แต่ข้าก็ไม่ได้ประโยชน์ถูกต้องหรือไม่ ?” เฟ้ยลาหลัวตะโกนเสียงโกรธ “ข้ามาที่นี่เพื่อสร้างผลงานและสร้างชื่อ ไม่ใช่มาเพื่อรับใช้คนอื่น !”
ตานปาเอ่ยตอบ “เชื่อข้าเถอะ ทำเช่นนี้ก็นับว่าเป็นผลงาน ! หลังจากเราคว้าชัยชนะกลับไปได้ เมื่อทุกคนรู้ว่าพวกเราเพียง 3 คนสามารถเอาชนะศัตรู 20 คนได้ เผ่าคนเถื่อนจะต้องยินดีไปกับเราด้วยแน่”
“เจ้าพูดจริงหรือ ?” เฟ้ยลาหลัวมองตานปาสายตากังขา
ตานปาพยักหน้าดูจริงจัง
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะฟังเจ้าสักครา เพียงแต่ไร้การต่อสู้เช่นนี้ข้าไม่ชอบใจนัก” เฟ้ยลาหลัวกอดขวานตน จากนั้นกลับไปนอน
หลังจากเห็นเฟ้ยลาหลัวกลับที่พักไปแล้ว ตานปาก็พึมพำเสียงเบา “อีกประเดี๋ยวได้ต่อสู้แน่…… อีกทั้งอาจจะเป็นการต่อสู้ที่ตึงมือไม่น้อย”
——————————
ในที่สุดฟ้าก็สาง ตอนนี้ท้องฟ้ายังเป็นสีเทาหม่นอยู่
ตานปาที่กำลังหลับอยู่พลันลืมตาตื่น
การฝึกฝนหลากหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขามีประสาทการรับเสียงที่ฉับไวจนน่ากลัว เขาจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติได้ในพลัน
มีคนมาที่นี่ !
เขาเดินออกมาจากเพิงพัง ปลุกเฟ้ยลาหลัวและเหมินตี้ย่านั่ว
ไม่นาน เงาร่าง 4 เงาก็เผยออกมาจากหมอกยามเช้า
พวกเขากำลังมุ่งหน้าตรงมายังเพิงพัก
เฟ้ยลาหลัวบัดซบนั่น ข้าบอกแล้วว่าควรดับไฟ ตานปาคิดในใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โวยวายอันใดออกมา
เมื่อเขาเห็นว่าเป็นมนุษย์ที่ปรากฏตัวขึ้น ความกระหายการต่อสู้ของเฟ้ยลาหลัวก็พลันพลุ่งพล่าน
“4 คน แค่ 4 คนเท่านั้น ! ตานปา ตอนนี้เจ้าคงจะไม่ห้ามข้าแล้วใช่หรือไม่ ?” เฟ้ยลาหลัวเลียริมฝีปากตนด้วยความคาดหวัง
“ไม่ เดี๋ยวก่อน !” ตานปาร้องขึ้น
เขาจ้องไปยังมนุษย์ที่กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น
“อะไรกัน ?” เฟ้ยลาหลัวไม่เข้าใจ
“ดูสิ นั่นมันอะไร ?” ตานปาชี้ไปยังคนที่เดินมาหน้าสุด
คนผู้นั้นคือมนุษย์ร่างผอมบางคนหนึ่ง เผ่าคนเถื่อนมองมนุษย์ทุกคนเป็นพวกคนผอมบางอ่อนแอทั้งสิ้น พวกเขาชอบคนร่างกายหนา ๆ ดูสูงใหญ่มากกว่า สตรีก็เช่นกัน กู่ชิงลั่วและเยว่หลงซาที่นับเป็นสาวงามในสายตาเผ่ามนุษย์จึงคล้ายกับสินค้าระดับต่ำที่ใช้ได้ไม่นาน พวกเขากลับมองว่าสตรีหุ่นอย่างเจิ้งปาซานต่างหากที่น่ามอง
หากแต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือของที่คนผู้นั้นถืออยู่ในมือ
คือธง !
มันคือธงที่ทำมาจากกิ่งไม้และใช้ผ้าผืนหนึ่งย้อมเลือด
บนผืนผ้ามีรูปขวานรบประดับอยู่ เบื้องล่างมีโครงกระดูกขนาดใหญ่สองโครง เป็นเครื่องหมายสื่อถึงความตายและการต่อสู้
เมื่อเห็นธงนี้ เผ่าคนเถื่อนทั้ง 3 ก็ชะงักค้างไป ก่อนจะเอ่ยคำหนึ่งขึ้นมาพร้อมกัน “ทาคุชา !”
ทาคุชาคือประเพณีเก่าแก่ที่ส่งต่อกันมาในเผ่าคนเถื่อนมาอย่างยาวนาน คำว่าทาคุชามาจากภาษาของชนเผ่าโบราณของพวกเขา มีความหมายเท่ากับการท้าประลอง
เมื่อเผ่าคนเถื่อนมีเรื่องที่ไม่อาจตกลงกันได้ พวกเขาจะท้าทาคุชา
คนแพ้ต้องตาย ส่วนคนชนะจะนับเป็นฝ่ายชอบธรรม
สำหรับเผ่าคนเถื่อนแล้ว ทาคุชานับเป็นคำอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
ไม่อาจมีเผ่าคนเถื่อนคนใดสามารถละเมิดทาคุชาได้ ไม่เช่นนั้นจะนับว่าเป็นการทรยศต่อเผ่าตนเอง และใครที่ปฏิเสธทาคุชาจะถูกมองว่าเป็นพวกขี้ขลาดอ่อนแอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทาคุชาจึงกลายเป็นวิถีของเผ่าคนเถื่อนยามต้องการชิงบัลลังก์
การชิงตำแหน่งหัวหน้าเผ่านั้นไม่ได้ยากเย็นเลย
ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนพลทหารให้มากมาย ทำเพียงโบกธงใหญ่ที่มีเครื่องหมายทาคุชาต่อหน้าหัวหน้าเผ่า จากนั้นปักลงพื้นแล้วรอคำตอบจากหัวหน้าเผ่าก็เท่านั้น
หัวหน้าเผ่าอาจปฏิเสธทาคุชาและดำรงตำแหน่งหัวหน้าเผ่าต่อไปได้ แต่ก็จะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นพวกอ่อนแอ สูญเสียคนสนับสนุนไป ถึงตอนนั้นหากนักรบเผ่าคนเถื่อนก่อกบฏขึ้นมาก็ชิงตำแหน่งโดยง่ายนัก
ดังนั้น หัวหน้าเผ่าคนเถื่อนจึงมักจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่อาจดูถูกฝีมือได้
หากแข็งแกร่งไม่มากพอก็จะถูกนักรบคนอื่น ๆ ชิงตำแหน่งได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นเหตุผลที่เผ่าคนเถื่อนเห็นเรื่องพละกำลังความแข็งแกร่งว่าสำคัญนักนั้นเป็นเพราะทาคุชา ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถกำชัย ส่วนคนที่อ่อนแอก็จะต้องถูกกำจัด แก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังเช่นนี้ หากไม่ให้เห็นความสำคัญของพละกำลังแล้วจะให้เห็นค่าสิ่งใด ?
ตานปาไม่คิดว่าคนเผ่ามนุษย์จะเดินโบกธงทาคุชาเข้ามาท้าทายเช่นนี้
“พวกมันท้าประลอง !” เฟ้ยลาหลัวไม่อยากเชื่อสายตาตน
จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น “รนหาที่ตายนัก !”
เป็นตอนนั้นเองที่กลุ่มมนุษย์เดินเข้ามาใกล้เผ่าคนเถื่อนทั้งสาม
พวกเขาเข้าใกล้ ไร้ซึ่งคำใด ทำเพียงปักธงรุ่งริ่งอันเป็นเครื่องหมายแทนพิธีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าคนเถื่อนลงพื้นเท่านั้น
เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยความใดอีก
“โฮ่ !” เฟ้ยลาหลัวตะโกนขึ้น “ต้องการทาคุชาหรือ ? งั้นก็ดีเลย ! ขอบรรพบุรุษจงเป็นพยานให้ชัยชนะของเรา !”
เฟ้ยลาหลัวกำลังจะพุ่งเข้าไปแล้ว
“อย่า !” ตานปาคว้าเขาไว้
“เจ้าจะพูดอะไรอีก ตานปา ?” เฟ้ยลาหลัวเอ่ยถาม
ตานปาตอบ “พวกนั้นรู้ดีว่าเราแข็งแกร่งเพียงไหน ไม่มีทางที่พวกเขาจะท้าทาคุชาอย่างไรเหตุผลแน่ พวกนั้นคงจะมีแผนการอันใดสักอย่าง”
เฟ้ยลาหลัวเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหมดความอดทน “ปัญหาของเจ้าคือการที่เจ้าคิดมากเกินควร ! เผ่าคนเถื่อนไม่เกรงกลัวลูกไม้ชั้นต่ำเช่นนี้หรอก”
“ทาคุชาเป็นเพียงวิธีที่เผ่าคนเถื่อนใช้ท้าประลองกันเท่านั้น มนุษย์พวกนี้มารบ ไม่ใช่มาเพื่อประลอง เราปฏิเสธไปก็ได้”
“พอสักที !” เฟ้ยลาหลัวคำรามเสียงขุ่น “ทาคุชาก็คือทาคุชา นับเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ เผ่าคนเถื่อนไม่อาจเลี่ยงทาคุชาได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเผ่าคนเถื่อนที่ส่งคำท้ามาก็ตาม หากกลัวเจ้าไปยืนดูอยู่ห่าง ๆ ก็ได้ ในการประลองศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ห้ามใช้กลซ่อนเร้น เจ้าก็คอยหยุดยั้งพวกมันไม่ให้มีโอกาสได้ทำตามแผนน่าละอายของมันก็พอ !”
ตานปาจึงปล่อยแขนเฟ้ยลาหลัวไป
เขารู้ดีว่ารั้งคนไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงตอนนี้กระทั่งเหมินตี้ย่านั่วยังจ้องเขาเขม็ง
แม้เขาจะเป็นเพียงเผ่าคนเถื่อนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ความตื่นเต้นของเหมินตี้ย่านั่วก็มีไม่น้อยกว่าเฟ้ยลาหลัวเลย
นัยน์ตาของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความโหยหาการฆ่าฟัน
ตานปาพยักหน้า “ก็ได้ เฟ้ยลาหลัว เจ้าพูดถูก ข้าไม่ควรรั้งเจ้าไว้ ควรจะคอยเฝ้าดูไม่ให้พวกมนุษย์ใช้แผนการใดระหว่างทาคุชาเสียมากกว่า ในเมื่อพวกเขาต้องการท้าทาคุชา…… เราก็จะมอบทาคุชาให้”
เฟ้ยลาหลัวหัวเราะด้วยความพึงพอใจ “เช่นนี้สิถึงจะสมกับเป็นสิ่งที่เผ่าคนเถื่อนควรจะกล่าว !”