“ฉะ…ฉันก็แค่…ตอนนั้นเรื่องมันเกิดขึ้นกะทันหันมาก ฉันก็เลย…” ชายคนนั้นพูดแก้ตัวติดๆ ขัดๆ ก่อนหน้านี้เขายังลอบฉลองดีใจเงียบๆ แต่กลับคาดไม่ถึงชายผมขาวไม่คิดจะปล่อยเขาไปอยู่แล้ว เพียงแต่ต่างจากบทลงโทษที่คาดไว้ ชายผมขาวเปิดปากก็ส่งเขาไปตายทันที…
แต่ที่ทำให้เขาสิ้นหวังก็คือ ชายผมขาวเพียงยิ้มเย็นชาและจ้องหน้าเขา โดยไม่คิดจะฟังเขาเลยแม้แต่น้อย เขาหน้าซีดปากสั่น ร่างกายเย็นเฉียบทันใด หลังครุ่นคิด อยู่ๆ เขาก็หันไปมองคนอื่นๆ “ฉันไม่ได้หนีคนเดียวซักหน่อย! ทำไมต้องให้ฉันไปด้วย? ฉันอาจจะหนีก็จริง แต่ถึงฉันจะหยุดวิ่งตอนนั้น มันเป็นแค่การเพิ่มความเสียหายให้พวกเราเท่านั้น! ซุนซวี่ แกกำลังเชือดไก่ให้ลิงดูสินะ! มีอะไรทำไม่พูดออกมาตรงนี้เลยล่ะ ทำไมต้องให้ฉันไปให้ได้! พวกแกก็เห็นแล้วว่าพวกมันมีปืน แล้วยังสามารถทำเรื่องอย่างนี้ได้ทั้งที่มีประตูขวางอยู่อีก…”
หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำสั่งของชายผมขาว ต่างก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง แต่จากนั้น พวกเขาเพียงเบนสายตาหนี และนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ก็เหมือนกับที่ชายคนนี้พูด ถึงแม้คนที่ถูกส่งไปตายจะเป็นเขา แต่จุดประสงค์ของชายผมขาว กลับเป็นการเตือนพวกเขาทุกคน—ภายใต้สถานการณ์ที่พวกหลิงม่อสร้างสถานการณ์ข่มขวัญพวกเขา ทำให้พวกเขาตื่นตกใจและลนลานอีกครั้งอย่างนี้ ซุนซวี่รีบใช้วิธีเลือดเย็นอย่างนี้เตือนพวกเขาทันที ถ้าหากครั้งนี้ยังคิดหนี คนต่อไปที่จะต้องตาย ก็คือแก…
พอเห็นทุกคนไม่ยอมพูดจา ชายคนนั้นจากหน้าซีดขาวก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ อยู่ๆ เขาก็หัวเราะ พลางพยักหน้าขึ้นลงอย่างเดือดดาล “ฉันเข้าใจแล้ว พวกแกคงอยากให้มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วใช่ไหม? ขอแค่ตอนนี้ฉันยอมไปตาย เรื่องก่อนหน้านี้ก็จะถือว่าแล้วกันไป พวกแกจะได้ไม่ต้องถูกลงโทษอีก ในเวลาอย่างนี้ ความจริงพวกแกก็คงแอบกลัว ถึงได้ใช้ฉันเป็นหินโยนถามทางสินะ?” พูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ เสียงของเขาก็สูงขึ้น เขาตะโกนด้วยใบหน้าแดงก่ำทั้งดวง “ฉันจะบอกอะไรพวกแกให้ ฉันไม่ไปโว้ย! ถึงยังไงก็ต้องตายหมด งั้นก็ฆ่าฉันตอนนี้ซะเลยสิ!”
ตะโกนเสร็จ เขาก็ยืนหอบหายใจแรงอยู่ที่เดิม กำหมัดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเอ็นปูดโปน
ในที่สุดซุนซวี่ก็พูดขึ้นอีกครั้ง เขาเหลือบมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกว่า “แกพูดถูก ฉันไม่ปฏิเสธ”
“ซุนซวี่ แกนี่มัน…” ชายคนนั้นดวงตาแดงก่ำทันใด แต่เขาเพิ่งจะง้างหมัด ปากก็เปล่งเสียงกรีดร้องออกมา เขายกมือจับดวงตาข้างที่มีแมงมุมซ่อนอยู่ ร่างกายกระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ท่าทางเขาเหมือนอยากปรี่เข้ามาชกซุนซวี่เต็มที่ แต่กลับไม่สามารถทำได้ สีหน้าเจ็บใจของเขาทำให้เขาดูสิ้นหวังสุดๆ
“แต่ว่าฉันไม่ได้คิดจะส่งแกไปตายจริงๆ หรอกนะ ก็แค่แกเป็นหัวโจกพาคนอื่นทำเรื่องผิดพลาด ก็เลยจะให้โอกาสทำตัวเป็นแบบอย่างก็เท่านั้นเอง แกก็รู้ว่าศัตรูไม่ได้อ่อนแอ แล้วทำไมฉันจะต้องลดทอนกำลังของฝั่งตัวเองในเวลาแบบนี้ด้วยล่ะ? ทุกคนในที่นี่ต่างกำลังมองแก ถ้าหากว่าแกทำตามที่ฉันบอกดีๆ แกก็จะไม่ตาย ส่วนเรื่องก่อนหน้านั้น แล้วก็เมื่อกี้ที่แกด่ากราด จะถือว่าแล้วกันไป แกก็รู้ว่านี่มันเวลาไหนแล้ว นอกเหนือจากว่าแกจะพึ่งพาคนอื่นตลอดไป ไม่อย่างนั้นก็ต้องแสดงคุณค่าของตัวเองออกมาให้เห็นบ้าง จะช่วยพวกฉันให้มีชีวิตรอดต่อไป ปกป้องอาหารและถิ่นฐานของพวกเราไว้ หรือเป็นตัวถ่วง ที่ไม่คิดจะทำประโยชน์ส่วนรวมอะไรเลย?”
พอเห็นชายหนุ่มทำท่าจะพูด ซุนซวี่ก็โบกมือไปมาห้ามเขา แล้วพูดต่อว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแมงมุมอะไรทั้งนั้น ในที่นี่ไม่ได้มีแค่แกคนเดียวที่เสียสละร่างกาย นี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้ และถ้าหากคืนนี้เรายังอยากอยู่รอดต่อไป ก็จะต้องยอมจ่ายอีกครั้ง เหมือนกับพวกหลี่เฉิงกวง ถ้าหากไม่ใช่เพราะสองคนนั้นไม่ระวังตัว พวกเราก็คงไม่ต้องถูกอีกฝ่ายบีบจนมาถึงขั้นนี้ ฉะนั้นถึงสองคนนั้นตายแล้ว แต่ก็ได้รับผิดชอบในส่วนของตัวเองแล้วเหมือนกัน นอกจากนี้ ฉันคิดว่าพวกแกทุกคนคงยังไม่ลืมหรอกใช่ไหม? ว่าระหว่างที่อำเภอหลีหมิงถูกกวาดล้าง คนของพวกเราตายกันไปกี่คน? มือของพวกแก เปื้อนเลือดมาขนาดไหน? คนอื่นไม่ว่า…แต่แกเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ใช่หรอ?”
ขวับ!
สีหน้าของชายคนนั้นพลันถมึงทึง เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งทันที “แกไม่ต้องพูดแล้ว!”
“เดิมทีแกจะพาเธอกลับมายังที่พักของพวกเราก็ได้ แต่พอเห็นสภาพของอีกฝ่ายที่เสื้อผ้าขาดรุ่ย แกกลับเกิดความคิดชั่ว สุดท้ายเพื่อป้องกันไม่ให้เธอกลับมาแก้แค้นแกหลังจากได้แมงมุมมาอยู่ในร่าง แกก็ฆ่าเธอ…”
“แกหุบปากเดี๋ยวนี้!” ชายคนนั้นใช้มือปิดตาสุดแรง ตะโกนอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับเปล่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญไปด้วย
ซุนซวี่กลับมองเขาอย่างไม่ยี่หระ น้ำเสียงยังคงราบเรียบและเย็นชา “บางทีเธออาจจะอยากถามแกเหมือนกัน ทำไมต้องฆ่าเธอด้วย? ดังนั้นตอนนี้แกก็คิดดีๆ แล้วกัน จะให้ฉันฆ่าแกเดี๋ยวนี้ หรือจะทำตามที่ฉันบอกเพื่อไขว่คว้าหาโอกาสที่จะอยู่ต่อไปให้ตัวเอง เดนคนอย่างแก ราคาที่ต้องจ่ายเพื่ออยู่รอด ย่อมต้องแพงกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ถึงจะยุติธรรม”
“หึหึหึ…ซุนซวี่ แกยังมีหน้ามาพูด…แกเอง ก็ฆ่าคนไปไม่น้อยไม่ใช่หรอ…” เสียงกรีดร้องของชายคนนั้นกลายเป็นเสียงครวญครางด้วยความทรมาน เขาก้มตัวลงอย่างทนไม่ไหว แต่กลับยังคงเงยหน้ามองซุนซวี่ และกัดฟันพูดเสียงรอดไรฟัน
ซุนซวี่ตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน “แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ได้จ่ายในส่วนนั้น? เอาล่ะ ฉันให้เวลาแกคิดสามสิบวินาที แกตัดสินใจเองเถอะ”
พูดจบ เขาก็เบนสายตาไปมองอาคารโรงงานหลังนั้น และไม่พูดอะไรอีก แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขากำลังนับถอยหลังในใจเงียบๆ…สามสิบวินาที ไม่เร็ว หรือช้ากว่านั้นแน่นอน
ทุกคนต่างไม่มีใครหันไปมองชายคนนั้น เทียบกับอยู่รอดต่อไปอย่างปลอดภัย ชีวิตของพวกพ้องไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย เหมือนกับที่ซุนซวี่บอก ทุกคนในที่นี่ต่างต้องจ่ายในราคาสูงลิ่วเพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไป…พอคิดถึงตรงนี้ ความลนลานของพวกเขา ก็พลันลดน้อยลงมาก สิ่งที่พวกเขาต้องทำในคืนนี้ ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่พวกเขาต้องทำในสมัยก่อนตอนที่ต้องยึดอำเภอหลีหมิง และต้องยึดโกดังอาหารเลยซักนิด…
“ข้างนอกเหมือนจะเงียบแล้ว” เฮยซือยืนอยู่หลังประตู เงี่ยหูฟังครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งกรีดร้อง ตอนนี้เงียบไปแล้ว แล้วก็ไม่รู้ทำไม กลิ่นอายที่พวกเขาแผ่ออกมา…ฉันหมายถึงกลิ่นเหงื่อที่พวกเขาหลั่งออกมาเวลากลัวและตื่นตัว มันลดลงไปมาก แถมยังในสถานการณ์ที่ลมไม่ได้เปลี่ยนทิศด้วย”
“ได้กลิ่นอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรอ?” เย่ไคอดถามไม่ได้
เฮยซือเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง บอกว่า “แน่นอนสิ ขอเพียงทิศทางลมถูกต้อง ฉันได้กลิ่นทุกอย่างในระยะร้อยเมตรหมดแหละ โดยเฉพาะตอนที่เหงื่อไหลมากๆ ในพริบตา เรื่องนี้น่ะ…ถือว่าเป็นพลังพิเศษของฉันล่ะมั้ง ฉันดมกลิ่นเก่งมานานแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นระยะห่างของเราในตอนนี้…”
“นายเข้าใจก็ดีแล้ว” เฮยซือบอก
เย่ไคลอบเช็ดฝ่ามือกับเสื้อเงียบๆ พลางแอบก้าวถอยหลังสองก้าว…
อวี่เหวินซวนกลับพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้น เมื่อกี้พวกมันก็ตกใจ…แต่ทำไมพอกรีดร้องแล้วก็เงียบไปเลยล่ะ?”
“ฉันว่า คงเป็นเพราะหนึ่งในพวกมัน” หลิงม่อเปิดปาก “เมื่อกี้ตอนที่ฉันปล่อยพลังจิตออกไปข้างนอก สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายกลุ่มหนึ่ง หากในกลุ่มอีกฝ่ายจะมีใครที่ควบคุมสถานการณ์ให้สงบหลังการท้าทายของพวกเราได้ ก็คงจะเป็นคนนี้แหละ ดังนั้น นอกจากบลัดมาเธอร์แล้ว เขาคืออีกคนที่พวกเราต้องระวังให้ดีที่สุด แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าในกลุ่มพวกมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ส่วนด้านอื่นๆ…ทุกคนน่าจะรู้แล้ว คนกลุ่มนี้ จิตอ่อนกว่าพวกเรามาก”
“อาจเป็นเพราะพวกมันอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป บวกกับที่นี่ไม่มีซอมบี้ พวกมันน่าจะไม่ค่อยเจอกับสัตว์ประหลาดอย่างอื่นมากนัก ดังนั้นประสบการณ์การเอาตัวรอดของพวกมัน ย่อมสู้พวกเราไม่ได้อยู่แล้ว อย่างน้อยในสถานการณ์เมื่อกี้ ถ้าหากฉันเป็นพวกมัน ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่ายขนาดนั้น ถ้าพวกมันใจเย็นกว่านี้หน่อย ฉันก็คงทำสำเร็จไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น น่าเสียดายที่เรื่องแบบนี้มีแต่คำว่าถ้าหาก ในความเป็นจริง ระยะห่างในเรื่องแบบนี้ไม่ใช่จะเติมเต็มกันได้ง่ายๆ เรื่องศักยภาพด้านจิตใจ ไม่ใช่จะสามารถแข่งกันได้ง่ายๆ” มู่เฉินฮึกเหิม แล้วพูดขึ้น
“ฉันกลับอยากเห็น ว่าพวกมันจะมีวิธีสกปรกอะไรอีก” จางซินเฉิงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วหัวเราะเย็นชาพูดขึ้น
“พูดถึงตรงนี้…ฉันมีบทพูดที่อยากพูดมานานแล้ว อุวะฮ่าฮ่าฮ่า ปล่อยแมงมุมเข้ามาเลย!” อวี่เหวินซวนหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“เฟิ่งจื่อ นายหุบปากจะได้ไหม?”
“รู้จักดูบรรยากาศบ้างนะ เห็นไหมว่าทุกคนกำลังเคร่งเครียดกันอยู่เนี่ย!”
หลังจากหลิงม่อโต้กลับเมื่อกี้ บวกกับการวิเคราะห์ในตอนนี้ ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย ถึงแม้เลือดบนพื้นยังคงอยู่ แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มใจเย็นลงแล้ว อีกฝ่ายเพียงต้องการท้าทายพวกเขา หลิงม่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วยังจงใจพูดถึงเรื่องศักยภาพด้านจิตใจเป็นพิเศษ นั่นก็เพื่อให้พวกเขาจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ใช่หรอ? พอนึกถึงสีหน้าเมื่อกี้ของหลิงม่อ พวกเขาก็อดรู้สึกแก้มร้อนผ่าวไม่ได้ โดยเฉพาะเย่ไค…เขาลอบด่าตัวเองในใจว่าไม่ได้ช่วยอะไรก็แล้วไป แต่กลับต้องให้หลิงม่อที่ออกหน้าทวงความยุติธรรมให้พวกเขากลับมาชี้แนะตัวเองอีก…คิดถึงตรงนี้ เขาก็กำหมัดแน่นอีกครั้ง
ทว่าหลิงม่อกลับไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้ของพวกเขา เขายังคงจดจ้องบานประตู ในใจลอบคิดว่า “ทำไมล่ะ…ทำไมบลัดมาเธอร์ถึงยังไม่ออกมา? ถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่ยอมหงายไพ่ตายออกมาอีกงั้นหรอ? หากเป็นอย่างนี้ แล้วก้าวต่อไป พวกแกจะเดินเกมยังไงต่อ?”
เวลานี้ ชายคนนั้นก้มหน้ากำหมัดสุดแรง กัดฟันแน่นจนส่งเสียง “ครืดคราด” เวลาสามสิบวินาทีใกล้หมดแล้ว อยู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้น หายใจระรัวจ้องแผ่นหลังของซุนซวี่ จากนั้นก็พ่นลมหายใจแรงๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย “ตกลง ฉันจะไป”
ซุนซวี่หันกลับมา มองหน้าเขาด้วยสายตาแฝงความนัย พยักหน้าบอกว่า “คิดได้ก็ดีแล้ว ไม่งั้นถ้าแกไม่ยอมให้ความร่วมมือ ฉันคงจะปวดหัวเหมือนกัน ฉันจะบอกอีกครั้ง ขอแค่แกเชื่อฟัง อัตราการรอดชีวิตของแกก็จะสูงขึ้น”