บทที่ 466 สหายเต๋า ได้เวลาออกเดินทางแล้ว!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 466 สหายเต๋า ได้เวลาออกเดินทางแล้ว! โดย Ink Stone_Fantasy

หมัดนี้มีเนื้อหนังสีเขียว สลักด้วยสัญลักษณ์ที่ปล่อยพลังแห่งภูตผีวิญญาณ ราวกับถูกตัดออกจากร่างอสุรกายยักษ์และส่งตรงมาจากนรกอเวจี เมื่อหมัดปีศาจนี้มาถึงผืนโลก ท้องฟ้าและผืนดินต้องสั่นสะเทือนเพราะไม่อาจทานทนได้ ราวกับสรวงสวรรค์กำลังทลายลงมาต่อหน้าต่อตา จนโลกทั้งใบเหลือเพียงหมัดเขียวนี้และผู้ฝึกตนหน้าม้า สีหน้าของเขาแสดงความกลัวจับขั้วหัวใจ ทั้งตกตะลึง และสิ้นหวัง!

ชายหน้าม้าหน้าตาบิดเบี้ยว เขาปลุกผนึกฝ่ามือพร้อมโบกมือไปมาเพื่อตอบโต้ เหรียญหยกปรากฏขึ้นจากหน้าอกในฉับพลัน เหรียญหยกนั้นเรืองแสงสว่างเหมือนพลังวิญญาณ มันลอยลงบนพื้นเบื้องหน้าผู้ฝึกตนหน้าม้า ก่อนกลายสภาพเป็นศิลาจารึกหยกสูงหลายพันเมตร!

แสงเรืองรองสว่างไสวนั้นกันหมัดผีเอาไว้ไม่ให้เข้ามากล้ำกราย!

ผู้ฝึกตนหน้าม้าคนนี้มีพลังปราณถึงขั้นจุติวิญญาณ ในห้วงเวลาแห่งหายนะ เขาโต้ตอบได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะต้านทานอีกฝ่าย ภายในพริบตา แสงจากศิลาจารึกนั้นก็เข้าแย่งพื้นที่หมัดยักษ์บนท้องฟ้าในที่สุด!

แต่แม้ศิลาหยกจะมีขนาดมหึมา หากมองจากระยะไกลก็ยังเล็กกว่าหมัดเขียวอยู่มากโข เหมือนเข็มที่กำลังพยายามต้านทานกำปั้นใหญ่ ลำแสงนั้นอ่อนแอมากเสียจนเปราะแตก สลายเป็นผุยผงไปก่อนที่จะทันได้เห็นรอยแตกเสียด้วยซ้ำ!

หวังเป่าเล่อส่งพลังปราณจำนวนมากเข้าไปในวัตถุเวทแห่งความมืดเพื่อสร้างหมัดยักษ์สีเขียว แม้วัตถุเวทแห่งความมืดของเขาจะได้รับความเสียหายมาก แต่ก็ยังเป็นถึงอาวุธเทพระดับสูง!

พลังของอาวุธเทพระดับสูงนั้นไม่ได้ถือว่ายิ่งใหญ่อะไรมากมาย แต่ก็มากพอที่จะบดขยี้ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณให้แหลกได้!

ในทางทฤษฎี หากร่างกายของหวังเป่าเล่อใหญ่พอ เขาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุเวทแห่งความมืดไปไหนมาไหนได้ และจะใช้พลังเหล่านี้ได้แม้จะอยู่ในโลกภายนอก ทว่าเรื่องนี้เป็นได้เพียงความคิดเท่านั้น หากวัตถุเวทยังไม่ได้รับการซ่อมแซมจนสามารถลดขนาดตนเองลงให้พอเหมาะกับการพกพา หวังเป่าเล่อก็ได้แต่ใช้พลังทำลายล้างนี้ภายในโลกใต้ดินที่อาวุธเวทแห่งความมืดสร้างขึ้นเท่านั้น

เสียงระเบิดที่ก้องสะท้อนบ่งบอกว่าศิลาจารึกหยกได้แหลกสลายลงแล้ว ผู้ฝึกตนหน้าม้ากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บใจ หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงไม่มาที่ดาวอังคารแต่แรก แต่วัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคารแห่งนี้ปล่อยพลังอำนาจที่แสนยั่วยวนใจออกมาจนเขาอดใจไม่ได้!

“ศิษย์พี่ ได้โปรดอย่าโกรธข้าเลย… ข้า… ข้าเป็นเพียงศิษย์น้องที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น…” เสียงของชายหน้าม้าสั่นระริก เขาร้องขอชีวิตขณะกำลังถอยร่นด้วยความเร็วสูง ชายหน้าม้าปลุกผนึกฝ่ามือ ก่อนที่แถบผ้าสีชมพูผืนใหญ่ยาวจะปรากฏขึ้นต่อหน้า และเข้าพันพื้นที่รอบกายเขาเอาไว้ ผืนผ้านั้นเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับชายผู้นี้ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย เขาหยิบผืนผ้านี้มาใช้เพราะเป็นสมบัติเวทป้องกันตัวซึ่งแข็งแกร่งสุดที่มี แม้จะไม่อยากใช้ก็ตาม

แถบผ้าสีชมพูสะบัดวนไปมา พร้อมปล่อยพลังต้านทานภัยอันตรายโดยรอบ พลังนั้นต่อต้านพลังงาน รัศมีและวัตถุอื่นใดที่ตรงเข้ามาหาชายหน้าม้า แต่เขายังรู้สึกว่าเท่านี้ไม่พอ ชายหน้าม้ากัดลิ้นจนเลือดสาดกระเซ็น ก่อตัวกลายเป็นค้างคาวสีเลือดที่กำลังกรีดร้องเสียงแหลมน่าขนลุก ก่อนจะสยายปีกออกพร้อมร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนไปจบที่หลายร้อยเมตร ปีกของมันก็กว้างใหญ่ขึ้นตามขนาดตัวเช่นกัน ค้างคาวสีเลือดกางปีกแล้วหุบลงห่อหุ้มร่างชายหน้าม้าไว้ภายใน เพื่อป้องกันภัยให้เขา

นอกจากนี้ชายหน้าม้ายังโยนสมบัติเวทหลากรูปร่างหลายขนาดออกมาเต็มไปหมด ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้ เขายอมเสียทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตตนเองให้รอดปลอดภัย และยังคงตะโกนร้องขอความเมตตาต่อไป

แต่ก็ไร้ประโยชน์ ขณะที่ชายหน้าม้ากำลังถอยหนี หมัดผียักษ์ที่ทำลายศิลาจารึกหยกเสียสิ้นซากก็ฟื้นคืนพลังอีกครั้ง และพุ่งเข้าใส่เขาอย่างหนักหน่วงหมายคร่าชีวิต!

สมบัติเวทหลายสิบที่โยนออกมานั้นแหลกสลายไปในทันที ค้างคาวเลือดไม่ทันได้กรีดร้องสักแอะ ก่อนปีกและร่างของมันจะถูกทำลายกลายเป็นก้อนเลือดและระเหิดหายไปในอากาศ ส่วนแถบผ้าที่พันกายเขาไว้นั้น แม้จะปล่อยพลังต้านออกมามาก แต่ก็ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย เหมือนสาวน้อยร่างบอบบางที่เผชิญหน้ากับชายร่างนักกีฬาที่หนักกว่านางหลายเท่าตัว…

ทันทีที่ทุกสิ่งมลายหายไป แถบผ้านั้นก็บิดเบี้ยว ก่อนจะม้วนกลับเข้าไปในร่างของผู้ฝึกตนหน้าม้า พลังที่ดูเหมือนจะทำลายได้ทุกอย่างบนโลกระเบิดออกจากหมัดเขียว หากมองจากระยะไกล จะดูราวกับว่าท้องฟ้าได้ถล่มลงมาทับผืนดิน จนร่างของชายหน้าม้าหายวับไปกับตา โลกทั้งโลกกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีไร้ค่า…

เวลาผ่านไปสักพัก หมัดยักษ์ก็ค่อยๆ ถอนตัวออกจากพื้นดินก่อนสลายหายไปอย่างช้าๆ เลือดและเนื้อกลายสภาพกลับไปเป็นวิญญาณหายลงไปในมหาสมุทรวิญญาณ ส่วนกระดูกนับล้านก็กลับไปกองสุมกันเป็นเกาะดังเดิม!

ชั้นแรกของโลกใต้ดินกลายสภาพกลับไปเป็นดังเดิมแล้ว มีเพียงกระเป๋าคลังเก็บและแถบผ้าสีชมพูเท่านั้น ที่ลอยขึ้นไปบนอากาศ ไปยังแผ่นฟ้ากว้างใหญ่เหนือมหาสมุทรวิญญาณ มือหนึ่งยื่นออกมาคว้าสิ่งของเหล่านั้นไว้พร้อมร่างในชุดคลุมสีดำที่ปรากฏขึ้น เบื้องหน้าของเขามีไม้พายตะเกียงวางอยู่ ชายในชุดคลุมสีดำนี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือเดียวดายสีดำสนิท เขาค่อยๆ หดมือที่กำของต่างๆ เอาไว้กลับเข้าหาตนเอง ก่อนก้มหน้าลงและเคลื่อนเรือลำน้อยออกไปตามเส้นทางปกติของมันในมหาสมุทรวิญญาณ

ขณะที่หวังเป่าเล่อล่องเรือออกไปไกล ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ชั้นสามซึ่งเต็มไปด้วยเมืองมากมาย ชายหน้าตะขาบ หัวหน้ากลุ่มผู้ฝึกตนจากนอกโลกกำลังมองไปรอบๆ กายด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

แม้ว่าชายหน้าตะขาบจะอยู่บนชั้นใต้ดินชั้นที่สาม แต่เขาก็ถูกจองจำอยู่ในอาณาเขตที่กว้างไม่ถึงสามร้อยเมตร พื้นที่รอบนอกของอาณาเขตแห่งนี้ล้อมรอบด้วยแสงสีเทา และไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ทะลวงแสงนั้นออกไปไม่ได้ จึงจำใจต้องติดอยู่ในที่แคบเช่นนี้อย่างไร้ทางหนี!

หลังจากที่ถูกหัวศพผีกลืนเข้าไป ตัวเขาก็มาโผล่ในวงล้อมของแสงสีเทานี้ แต่ชายหน้าตะขาบก็มีประสบการณ์และความรู้มากกว่าสหายของเขาในฐานะผู้นำของกลุ่ม เขารู้ในทันทีว่าตนไม่ได้เผลอไปโดนกับดักอะไรเข้า แต่นี่เป็นการโจมตีของศัตรูที่ใช้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดเข้าจัดการต่างหาก เขาแน่ใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคงกำลังต่อสู้กับความตายอยู่ในตอนนี้

การกล้าเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางนั้น แสดงให้เห็นว่าผู้ครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืดนี้ มั่นใจในศักยภาพของตนเองเป็นอันมาก

เป็นวิญญาณวุธ หรือว่า… ไอ้อ้วนน่ารำคาญนั่นที่ข้าจะถลกหนังมันกันแน่นะชายหน้าตะขาบมีสีหน้าเคร่งขรึมสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความปั่นป่วนกระวนกระวายเหมือนดวงใจถูกไฟสุม ความรู้สึกถึงอันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ไหลบ่าออกจากทุกอณูในร่างกาย ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างในตัวกำลังกรีดร้องบอกให้เจ้าของร่างรีบหนีออกจากที่นี่โดยเร็ว!

การที่พวกเราทั้งสามถูกจับแยกกัน แปลว่าไอ้คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังไม่มั่นใจว่าจะต่อกรกับพวกเราพร้อมๆ กันได้ หากเป็นเช่นนั้น แปลว่าพลังของมันมีขีดจำกัด ถ้าเป็นไอ้อ้วนนั้น แปลว่ามันยังไม่เชี่ยวชาญพอจะใช้วัตถุเวทแห่งความมืดได้อย่างสมบูรณ์ หรือไม่ก็… วัตถุเวทนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ก็พลังปราณของมันสูงไม่พอจะใช้วัตถุเวทได้อย่างเต็มที่! ชายที่มีตะขาบพาดบนใบหน้าหรี่ตาขณะวิเคราะห์สถานการณ์ เขารออยู่อีกราวห้านาที จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในที่แห่งนี้อีกแล้วนอกจากตัวเขา จึงสรุปได้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองได้เสียชีวิตลงเรียบร้อยแล้ว

*มันจะมาหาข้าเป็นคนสุดท้าย…*ความมุทะลุดุดันปรากฏขึ้นในดวงตา เขาเข้าใจว่าความกลัวไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ การที่เขาก้าวขึ้นมาทำหน้าที่หัวขโมยแห่งดวงดาว โดยที่มีพลังปราณเพียงขั้นจุติวิญญาณได้นั้น เป็นเพราะความเด็ดขาดและความโหดเหี้ยมนั่นเอง

*ข้าจะรอก็แล้วกัน!*ชายหน้าตะขาบหัวเราะเสียงเย็นเยียบ พยายามกดความกระวนกระวายลงไปในจิตใจ และดูเหมือนจะรอความตายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกชั่วขณะ เขามองไปรอบๆ กายเพื่อสำรวจพื้นที่หลังจากปล่อยพลังวิญญาณออกตรวจจับ เมื่อชายหน้าตะขาบมั่นใจว่าตนเองได้จัดการวางกับดักเรียบร้อย เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นในทันที

หลังจากที่พบว่าตนเองติดกับอยู่ในวงล้อมแสงที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็กำจัดไม่ได้ ชายหน้าตะขาบก็ตัดสินใจวางกับดักเอาไว้ทั่วบริเวณแทน เขานำวงแหวนปราณทุกชนิด โอสถประเภทใช้แล้วทิ้ง และสมบัติเวทที่นำติดตัวมาด้วย มาเรียงออกจนกินพื้นที่เป็นวงกว้างหลายร้อยเมตร เขาเลือกใช้โอกาสนี้วางกับดักเอาไว้เพื่อทำลายคู่ต่อสู้แทนที่จะตกใจกลัว

ชายหน้าตะขาบมองสิ่งที่ตนเองจัดแจงเอาไว้แล้วก็รู้สึกปลอดภัยขึ้น ทว่าตอนนั้นเองเขาก็ตื่นตกใจขึ้นมา ชายหน้าตะขาบได้ยินเสียงกระซิบกระซาบมาจากระยะไกล และเสียงนั้นก็ค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ ขณะเคลื่อนเข้ามาใกล้

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”

เมื่อได้ฟังเสียงพึมพำที่มีท่วงทำนองราวบทเพลง หัวใจของชายหน้าตะขาบก็เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ แม้แต่พลังวิญญาณก็เริ่มสั่นระริก ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เขากัดลิ้นตนเองเพื่อเรียกสติเอาไว้โดยใช้ความเจ็บปวดเข้าสู้ ชายหน้าตะขาบหายใจหอบ เขาเงยหน้าขึ้นมองพื้นที่ที่ห่างออกไปเบื้องหลังกับดักที่ตนเองวางเอาไว้ ก่อนรูม่านตาจะหดแคบลงกับสิ่งที่เห็น ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นภาพเบื้องหน้า ท้องฟ้าด้านนอกแสงสีเทากลายเป็นสีดำสนิท สายธารยาวปรากฏขึ้นพร้อมทำนองเพลงที่ลอยมาเข้าหู!

แม่น้ำนั้นกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท้องฟ้ามืดมิด แต่ก็ยังเห็นโครงร่างชัดเจน เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นว่าสิ่งที่ไหลอยู่ในแม่น้ำนั้นหาใช่น้ำไม่ หากแต่เป็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับว่ามหาสมุทรวิญญาณที่โลกใต้ดินชั้นหนึ่งได้ไหลบ่ามารวมตัวกันที่นี่!

หากเป็นเพียงมหาสมุทรวิญญาณ ชายหน้าตะขาบคงไม่ตกใจถึงเพียงนั้น แต่เขากลับมองเห็นเรือเดียวดายลำหนึ่งกำลังไหลมาตามสายธารนั้นอย่างช้าๆ !

หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือสีดำลำนั้น เขาลุกขึ้นยืนและยื่นมือขวาออกมา ไม้พายตะเกียงเบื้องหน้าชายหนุ่มค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนฝ่ามือของชายหนุ่ม

“เป็นเจ้าจริงๆ เสียด้วยที่เล่นลูกไม้นี้กับข้า!” ชายหน้าตะขาบมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวสุดขีด เขากรีดร้องออกมาเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ!

ชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยถึงคลี่ยิ้ม เขาโบกไม้พายตะเกียงในมือตามท่วงท่าที่อาจารย์เคยแสดงให้เห็นในนิมิตมืด ก่อนพูดเสียงดังฟังชัด

“สหายเต๋า ได้เวลาออกเดินทางสู่อเวจีแล้ว!”