บทที่ 332 – คำสัญญา (2)
“เยี่ยมมาก!”
ลูกเจี๊ยบกระโดดเด้งขึ้น
“พวกเราทำได้!”
มันได้กระพือปีกอย่างยินดี
มาแชล จิโอเนียได้เข้าใจสถานการณ์ช้าไปเล็กน้อย แต่ไม่นานนักเขาก็รู้ถึงการเปลี่ยนแปลง
หนวดที่สะบัดไปทั่วได้หยุดนิ่งลงไปพร้อมกัน
และไม่นานนัก
คลื่นนนนน
เมื่อเสียงคำรามแห่งอิกดราซิลดังขึ้น พวกมันได้ระเบิดออกมาเหมือนดอกไม้ไฟ
“อ๊ะ!”
มาแชล จิโอเนียที่ตอนแรกคิดว่าเขาทำพลาดไปแล้วได้หลุดอุทานขึ้นอย่างยินดี ยังไงก็ตามมันยังเร็วเกินกว่าที่จะแปลกใจ
วูมมมมม!
รังที่ถูกทำลายหนวดไปได้กรัดร้องออกมา ในเวลาเดียวกันพวกมันได้เริ่มสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับเป็นบอลลูนที่ถูกสูบลมเข้า และปล่อยออกอยู่ซ้ำๆ
จนกระทั่งในที่สุดพวกมันก็เริ่มโป่งพองขึ้นมา
ซ่าาาาาห์!
มาแชล จิโอเนียเห็นชัดๆว่ามีแขนสีเทากำลังโผล่ออกมาจากรังหนึ่ง
กิ่งไม้ที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าได้สั่นไหวราวกับจะพังลงได้ทุกเมื่อ ยิ่งมันสั่นรุนแรงเท่าไหร่ จำนวนของหิ่งห้อยที่ออกมาก็จะมากยิ่งขึ้น และเพราะแบบนั้นทำให้ประกายแสงไปสัมผัสร่างสีเทาก่อนจะทำให้ร่างนั้นเริ่มมีสีสันขึ้นมา
จนในที่สุดแล้วออร่าสีดำแห่งความตายก็ได้หายไปจนหมด เหลือเพียงแต่ร่างสีแดงสดใส และเปลงเพลิงที่จู่ๆก็ลุกขึ้นบนตัวรังอย่างรุนแรง
ฟู่!
หลังจากถูกเปลวเพลิงเข้าปกคลุม เสียงร้องของรังก็กลายเป็นเศร้าโศกยิ่งขึ้น
ยังไงก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่รังเเดียวเท่านั้น
อีกหนึ่งรังจู่ๆก็หดลงราวกับถูกอากาศบีบอัด และอีกรังก็ถูกคมมีดสายลมฉีกกระจาย
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทุกๆรังต่างก็ตกตายอย่างโหดร้าย
เมื่อเปลือกไม้ของต้นไม้ที่ตายแล้วแตกออก และกระจายไป รังทั้งห้าก็ไม่อาจจะทนกับแรงกดดัน และต้องระเบิดออก ในเวลาเดียวกันในแต่ละจุดที่รังอยู่ก็มีร่างๆที่ทรงพลังยืนอยู่
เพียงแค่ยืนนิ่งๆ พวกเขาก็ทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนสีไปตามสีของตนเอง สีน้ำตาลดิน น้ำเงินน้ำทะเล แดงเพลิง เขียวหยก และน้ำเงินอ่อน
ภูติแต่ละตนต่างก็ส่งเสียงออกมาอย่างยินดี
[วูวววว!]
[ราชาภูติ!]
ในที่สุดมาแชล จิโอเนียก็ตั้งสติกลับมาได้ และมองไปรอบตัว เขาหาลูกเจี๊ยบไม่เจอแล้ว จนกระทั่งเขาหันกลับไปมองด้านหน้า เขาถึงได้เห็นลูกเจี๊ยบกำลังบินไปด้านหน้าอยู่
ตูม มาแชล จิโอเนียได้คว้าลูกเจี๊ยบเอาไว้ และทิ้งตัวลงทะเลสาบ
“เฮ้”
ลูกเจี๊ยบที่ถูกจับเอาไว้ได้พยายามดิ้น ส่วนมาแชล จิโอเนียได้ถามออกมา
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆต้นไม้โลกถึงหายไป?”
“มันไม่ได้หายไป”
ลูกเจี๊ยบรีบตอบกลับมา
“มันกำลังกำเนิดชีวิตใหม่ เนื่องจากมันต้องรีบรับมือกับปัญหา มันเลยล่ะทิ้งร่างที่ตายไปแล้ว และไปถือกำเนิดใหม่ในร่างที่บริสุทธิ์ ซึ่งนี่มันจะดีในระยะยาวด้วย”
“แต่เมื่อกี้นี้…”
“เจ้าโง่ นายคิดว่าต้นไม้โลกโง่งั้นเหรอ? หากว่ามันกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ไปในทันที รังพวกนั้นก็คงจะกลืนกินต้นไม้โลกไปแน่”
ลูกเจี๊ยบได้พูดต่อห้วนๆ
“ฉันบอกไปแล้วนี่ พวกเรามีโอกาสก็เพราะต้นไม้โลกยังอยู่ต่อให้จะเป็นร่างกายที่ปนเปื้อนก็ตาม ในตอนที่เราส่งเมล็ดพันธุ์ใหม่ไปถึงมัน มันก็คงจะกลับมาควบคุมร่างกายได้ และใช้พลังของหญ้ากกทำลายรังทิ้ง โชคดีจริงๆที่เรามีหญ้ากกพวกนั้นอยู่”
“ถ้างั้น…”
“โอ้ย น่ารำคาญ! ดูด้วยตาตัวเองไปซะ!”
มาแชล จิโอเนียจ้องไปที่ลูกเจี๊ยบที่ดุขึ้น
ก่อนเขาจะรู้ตัวทะเลสาบที่เต็มไปด้วยน้ำเสียได้กลายเป็นบริสุทธิ์แล้ว น้ำในทะเลสาบตอนนี้ทั้งใส และบริสุทธิ์จนสะท้อนแสงเปล่งประกายออกมา
แม้ว่าน้ำมันจะลึก แต่เขาก็มองเห็นความลึกของมันได้อย่างชัดเจนเลย
เป็นอย่างที่ลูกเจี๊ยบพูดเอาไว้ เมล็ดพันธุ์ได้หยั่งรากลงไปในจุดที่ต้นไม้โลกตั้งอยู่ ในตอนนี้มันงอกขึ้นมาแล้ว ถึงมันจะยังมีขนาดเล็ก แต่ใบของเมล็ดก็เปิดออก และค่อยๆเติบโตขึ้นมา
จนเมื่อมาแชล จิโอเนียได้มาถึงกลางทะเลสาบ มันก็กลายเป็นต้นไม้ไปซะแล้ว
หากไม่มีหญ้ากก หรือสารอาหารที่เหลือเอาไว้จากต้นไม้โลกต้นก่อน เมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกจำเป็นจะต้องใช้เวลาเป็นพันปีกว่าที่จะโตขึ้นไปสู่วัยผู้ใหญ่
ดังนั้นหากคำนึงถึงเรื่องนี้แล้วความเร็วในการเติบโตของต้นไม้โลกต้นไม้นั้นเร็วมากจนน่าเหลือเชื่อ หญ้ากกของอฟิโซได้แสดงพลังของมันออกให้เห็นแล้ว
“ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีกันไหม?”
ลูกเจี๊ยบได้พูดขึ้นทันทีที่ไปถึงกลางทะเลสาบ ราชาภูติที่กำลังลอยอยู่นิ่งๆกลางอากาศมองลงมา
[ท่าน…]
ยักษ์ที่มีร่างกายเป็นเปลวเพลิงได้ค่อยๆก้มหัวลงมา หลังจากสบตากับลูกเจี๊ยบแล้ว มันได้พูดขึ้น
[ข้าเข้าใจแล้ว… ข้าก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น… เป็นท่านนั่นเองภูติอาคัส…]
[ทะ ท่านภูติสายรุ้ง!]
ภูติสีน้ำทะเลที่ดูคล้ายกับนางเงือกพูดออกมา
[ท่านมาช่วยพวกเรา…!]
“หุบปาก!”
ยังไงก็ตามลูกเจี๊ยบกลับโกรธขึ้น
“เจ้าพวกไร้สมอง! แค่ให้อภัยแฟรี่ถ้ำมันยากนักเหรอ? ทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังจะเอาแต่ดื้อด้าน”
[นั่นมัน…]
“นั่นอะไรล่ะ? พวกเจ้ารู้ไหมว่าเพราะความดื้อด้านไร้ความหมายนั่นทำให้เกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่ลองมองดูรอบตัวสักหน่อยล่ะ!?”
เหล่าภูติที่ถูกลูกเจี๊ยบตอกกลับได้เงียบลงไป
“…เฮ้”
มาแชล จิโอเนียสะกิดลูกเจี๊ยบ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าลูกเจี๊ยบพูดเรื่องอะไร แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้มาเถียงกันแล้ว
“ชิ”
ลูกเจี๊ยบเดาะลิ้นก่อนจะกระแอ่มออกมา จากนั้นมันก็พูดตรงประเด็น
“พวกเจ้าน่าจะรู้ว่ามันยังไม่จบใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ราชาภูติทั้งห้าได้หันหน้าไปพร้อมกัน มันคือจุดที่มาแชล จิโอเนียได้วิ่งจากมา พวกเขาคงจะสัมผัสได้ถึงพลังไร้ขีดสุดของความเมตตาอันบิดเบี้ยวเช่นกัน จนทำให้พวกเขาสั่นเล็กน้อย
ลูกเจี๊ยบแค่นเสียงออกมา
“จะยังไงก็เถอะ ส่งพลังของพวกเจ้ามา”
[…พลังของเรา? อ่อ ท่านหมายความว่า…]
“พวกเจ้าก็น่าจะรู้ตั้งแต่เจอกับสัตว์ประหลาดพวกนั้นแล้วนะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาจะทนได้นานแค่ไหน ฉันจะไม่พูดซ้ำ ส่งมาได้แล้ว”
[พวกเราก็อยากทำ แต่ว่า…]
ราชาภูติไฟ อิฟริทได้พูดออกมาเบาๆ
[น่าเสียดายที่ในตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้]
“อะไรนะ? ทำไม?]
[ท่านก็น่าจะรู้ พวกเราติดอยู่ภายในรังนานเกินไป ถึงเราจะฟื้นฟูพลังกลับมาได้เล็กน้อยเพราะต้นไม้โลกได้ให้การช่วยเหลือ แต่พวกเขาก็ยังคงห่างไกลจากพลังดั้งเดิม]
“พวกเจ้าดึงพลังนั่นกลับมาไม่ได้เหรอ?”
ลูกเจี๊ยบได้ถามขึ้นพร้อมชี้ไปที่เศษซากของรังที่ลอยอยู่เหนือท้องทะเลสาบ
[ไม่ พลังงานพวกนั้นมันปนเปื้อนเกินกว่าจะฟื้นฟูได้]
อิฟริทส่ายหัวออกมา
[ต้นไม้โลกไม่ได้ชำระล้างพวกมัน]
“ถ้างั้นก็ชำระล้างมันซะตอนนี้!”
[นี่คือเจตจำนง และการตัดสินใจของต้นไม้โลก ถึงเราจะทำได้หากต้องการ แต่นั่นจะสร้างแรงกดดันให้กับต้นไม้โลกที่เพิ่งวิวัฒนาการเป็นวัยเด็กมากเกินไป]
ลูกเจี๊ยบส่งเสียงฮึดฮัดออกมา
ในตอนที่รังทั้งห้ากัดกินต้นไม้โลก ภายในต้นไม้โลกจึงกลายเป็นว่างเปล่าแล้ว ในเมื่อมันไม่อาจจะชำระล้างพลังที่ปนเปื้อนได้ ถ้างั้นมันก็มีแต่จะต้องใช้พลังจากเมล็ดพันธุ์กับหญ้ากกมากยิ่งขึ้น
ยังไงก็ตามต้นไม้โลกไม่ได้ทำแบบนั้น
ในตอนที่มันทำลายรัง มันก็ได้หยุด และเข้าสู่วงจรการเกิดใหม่ในทันที มันคงจะตัดสินใจแล้วว่าการใช้พลังมากกว่านี้จะทำให้มันไม่อาจจะทำให้ร่างกายใหม่ไปถึงวัยผู้ใหญ่ได้
เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ของป้อมปราการแล้วด้วย นี่เป็นการตัดสินใจที่เข้าใจได้ไม่ยาก
[เดี๋ยวก่อนนะ ข้าไม่รู้ว่าท่านไปหาหญ้ากกมามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร มันไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นห้าอัน หนึ่งชั่วโมง ไม่สิ ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะพอแล้ว ด้วยการเติบโตของต้นไม้โลก เราก็จะฟื้นฟูพลังกลับมา และมอบพลังให้ท่านได้ตามต้องการ]
อิฟริทพูดถูก แต่สิ่งสำคัญก็คือกลุ่มของซอลจีฮูอาจจะทนได้ไม่ถึงตอนนั้น
ในสถานการณ์ตอนนี้ทุกๆวินาทีต่างก็มีความสำคัญ การต้องรอถึงครึ่งชั่วโมงมันเป็นไปไม่ได้เลย
“บ้าเอ้ย! ถ้าฉันมีพลังมากกว่านี้!”
ลูกเจี๊ยบได้สบถออกมาก่อนจะบินออกไป มันได้ว่ายเข้าไปหาเศษซากรัง จากนั้นก็รีบมองไปรอบๆ
“นี่ไง”
ไม่นานนักมันก็เจอเข้ากับแกนกลางสีดำของรัง และมุดหัวลงมัน ต่อจากนี้สิ่งที่มันทำได้ทำให้มาแชล จิโอเนียอ้าปากค้าง
งับ งับ งับ! ลูกเจี๊ยบได้เริ่มจิกแกนกลางของรังด้วยความเร็วอันน่ากลัว
[อ๊ะ จริงด้วย เขาก็ทำแบบนั้นได้]
ขณะที่มาแชล จิโอเนียกำลังจะตะโกนห้ามออกมา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาหยุดเขาไว้
ไม่นานนักสายลมก็พักออกมา แกนกลางที่เหลืออยู่อีกสี่อันก็ได้ลอยขึ้นจากเศษซากรังอีกสี่รัง หลังจากใช้สายลมตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพอดีคำแล้ว พวกมันก็ถูกส่งตรงไปให้กับลูกเจี๊ยบอย่างอ่อนโยน
นี่คือฝีมือของราชาภูติสายลม เซลฟริต
เธอได้มองมาแชล จิโอเนียที่กำลังสับสน และยิ้มออกมา
[ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงเรื่องอะไร แต่ไม่ต้องตกใจไปหรอกนะ]
“จะไม่เป็นไรงั้นเหรอ?”
[แน่นอน! ท่านอาคัสเป็นภูติพิเศษที่เกิดขึ้นจากพรของเทพธิดาแห่งความบริสุทธิ์]
“ภูติชนิดพิเศษ?”
[ข้าก็อยากจะอธิบายให้ท่านฟังนะ แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้มีเวลา]
[พูดง่ายๆคือท่านอาคัสเกิดมาพร้อมกับหน้าที่ในการกำจัดความชั่วร้าย]
[เขาเกิดมาเพื่อเป้าหมายนี้ และทั้งพลังอำนาจ และความสามารถต่างก็มีเพื่อเป้าหมายนี้]
[อย่างที่พูดไปการกลืนกินสิ่งที่ปนเปื้อนความชั่วร้ายก็ยังเป็นหนึ่งในหน้าที่ของเขา สำหรับท่านอาคัสแล้ว ความชั่วร้ายเป็นเพียงเหยื่อที่รอให้เขากินเท่านั้น เขาสามารถที่จะกินพลังงานชั่วร้ายใดๆก็ได้เพื่อมาเป็นสารอาหารให้กับนเอง]
มาแชล จิโอเนียฝืนกลืนน้ำลายลงไป เขาคิดว่าลูกเจี๊ยบเป็นแค่สัตว์ภูติทั่วๆไปเท่านั้น แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แค่ดูจากวิธีการพูดกับลูกเจี๊ยบของราชาภูติ เขาก็รู้ได้เลย
แต่ก็นั่นแหละเขาไม่ได้สนใจอะไรเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว มาแชล จิโอเนียได้จ้องมองลูกเจี๊ยบอย่างร้อนใจ เหตุผลที่เขาไม่ได้เร่งก็เพราะเขารู้ดีว่าลูกเจี๊ยบกำลังรีบกินลงไปอยู่
‘เร็วเข้า…!’
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว?
“เอิ๊กกก”
ลูกเจี๊ยบได้เรอดังออกมา
มาแชล จิโอเนียก็ยังพูดขึ้น
“เสร็จแล้วเหรอ?”
“อืม นี่รับได้แล้ว”
ลูกเจี๊ยบพยักหน้าออกมา บางทีอาจจะเพราะท้องที่ป่องขึ้นของมัน ทำให้ตัวมันดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ยังไม่หมดเท่านั้น ขนสีเหลืองทองของมันได้กลายเป็นกึ่งโปร่งใสจนแทบจะเหมือนภูติที่ลอยอยู่รอบตัวเขา
“เดี๋ยวก่อนนะ นาย…”
“มีอะไรให้ตกใจอีกล่ะ? ฉันก็เป็นภูติเหมือนกัน”
ลูกเจี๊ยบแค่นเสียงออกมา
“ฉันอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นาน แต่มันก็น่าจะพอ จะยังไงเราก็ต้องรีบแล้ว”
“…ให้ตายสิ นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกัน?”
“ไว้จะอธิบายให้ฟัง ฉันรีบกินมาก เพราะงั้นยังมีอีกหลายส่วนที่ฉันยังไม่ได้ย่อย ฉันจะต้องใช้สมาธิค่อยๆย่อยมัน เพราะงั้นอย่าพูดกับฉันมาก”
จากนั้นลูกเจี๊ยบก็ได้หลับตาลงไป มาแชล จิโอเนียส่ายหัว จากนั้นก็ยกลูกเจี๊ยบขึ้น
[ให้ข้าช่วยนะ]
เมื่อเซลฟริตได้โบกมือ นักธนูเหล็กกล้าก็ลอยออกมาจากทะเลสาบในทันที ในเวลาเดียวกันสายลมอ่อนโยนก็ปกคลุมร่างเขาทำให้เขารู้สึกตัวเบาขึ้น ถึงเขาจะไม่มั่นใจนัก แต่ดูเหมือนเขาจะรวดเร็วยิ่งขึ้น
[ได้โปรดพยายามทนเอาไว้ ในทันทีที่พลังเรากลับคืนมา เราจะรีบตามไปช่วย]
เสียงอิฟริทได้ดังขึ้นจากด้านหลัง แต่มาแชล จิโอเนียไม่ได้ตอบกลับไป ในวินาทีที่เขาเหลือบพื้น เขาได้เริ่มวิ่งออกไปสุดกำลังัแล้ว
ไม่นานนักมาแชล จิโอเนียก็หายไปจากบริเวณทะเลสาบ
***
“เฮ้ นักเวทย์”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคาซุกิ ชายหนุ่มที่กำลังถูกมาเรียร่ายเวทย์รักษาได้หันมา
“…ฟิลิป มูเลอร์”
“จะอะไรก็แล้วแต่ ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”
“อะไร?”
คำขอที่กระทันหันนี้ได้ทำให้ฟิลิป มูเลอร์หรี่ตาลง จริงๆแล้วมันง่ายมากที่จะเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก
เหตุผลเดียวนั่นก็เพราะเขาได้ใช้เวทย์จำแลงกาย
แม้กระทั่งผู้บริหาร การอัญเชิญเทพลงมาสถิตร่างตัวเองก็จะมีค่าใช้จ่ายมากเกินไป นี่คือเหตุผลที่ฟิลิป มูเลอร์ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลยนับตั้งแต่ที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวมาถึง
“เรื่องเจ้ายูนิคอร์นนั่น”
คาซุกิลดเสียงต่ำลง
“เรื่องจุดอ่อน”
“จุดอ่อน?”
“ใช่แล้ว เราอาจจะยื้อมันไว้ได้”
ดวงตาฟิลิป มูเลอร์เป็นประกายขึ้น ป้องกันไม่ให้ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งเข้าไปช่วยความเมตตาอันบิดเบี้ยว หากมันเป็นไปได้จริง พวกเขาก็น่าจะลดแรงกดดันของฝ่ายซอลจีฮูที่สู้อยู่ได้
“ยังไงล่ะ?”
“ก็ง่ายมาก”
คาซุกิได้เล็งธนูไปที่หมอกมีชีวิต และพูดต่อ
“พวกเราก็แค่กำลังเงาราตรีพวกนั้น”
ฟิลิป มูเลอร์ขมวดคิ้วขึ้น ขณะที่เขากำลังจะถามออกมา
“กรร!”
ยูนิคอร์นได้ก้มหัวไปทางโชฮง
คาซุกิรีบตะโกนออกมา
“เร็วเข้า!”
ฟิลิป มูเลอร์กัดฟันร่ายเวทย์ออกมา ถึงเขาจะยังสงสัยอยู่ แต่สถานการณ์นี้ต้องใช้การกระทำมากกว่าคำพูด นอกไปจากนี้เขาก็ไม่ได้โง่ที่จะมาขอคำอธิบายในสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานแบบนี้
ต่อจากนั้นคาซุกิได้ยิงลูกธนู และวงเวทย์ก็ได้เกิดขึ้นจากหนังสือที่ฟิลิป มูเลอร์ถือเอาไว้
“?”
ยูนิคอร์นได้ชะงักลง นั่นก็เพราะว่าการระดมโจมตีของลูกธนู และเวทมนต์ได้กลืนกินหมอกควันรอบๆไป
“อะไรกัน…”
เงาราตรีคือคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายตั้งแต่แรกแล้ว แม้ว่าคาซุกิ กับฟิลิป มูเลอร์จะเหนื่อยล้า แต่ว่าพวกเขาก็มีศักยภาพมากพอจะสู้กับสิ่งมีชีวิตอ่อนแอพวกนี้
หมอกควันได้จางลงไปในทันที และหายกลับเข้าไปในร่างของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง
คาซุกิก็ยังเห็นอีกด้วยว่าร่างของยูนิคอร์นแข็งทื่อขึ้นครู่หนึ่ง
“ชิ”
ยูนิคอร์นเดาะลิ้น และปล่อยเงาราตรีออกมาอีกครั้ง
แต่คราวนี้ก็เป็นเช่นเดิม มีเวทย์และลูกธนูจำนวนมากยิงเข้าใส่หมอกควันจนต้องกลับไปในที่ที่มันออกมา
ผลก็คือทำให้ยูนิคอร์นหยุดชะงัก และนิ่งไปอีกครั้ง มันได้ยกขาหน้ากระแทกพื้นอย่างไม่พอใจ
ฟิลิป มูเลอร์หันไปมองคาซุกิ แม้ว่าเขาจะเตรียมเวทย์ไว้ตามคำขอ แต่เขาก็กำลังถามว่านี่มีความหมายยังไง
การโจมตีเงาราตรีมันชัดเจนว่าจะทำให้ยูนิคอร์นเสียสมาธิได้ครู่หนึ่ง แต่ด้วยการที่หมอกควันถูกดูดกลับเข้าไปในร่างยูนิคอร์น และถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง ได้ทำให้ฟิลิป มูเลอร์อดคิดไม่ได้ว่านี่มันไร้ความหมาย
ในทางกลับกันคาซุกิได้มั่นใจขึ้น นั่นก็เพราะยูนิคอร์นหันกลับมามองพวกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อย่างที่คิดเลย”
คาซุกิพยักหน้าพร้อมง้างคันธนู
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมราชินีปรสิตถึงบังคับให้ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งอยู่ในโลกนี้ต่อไป”
“อะไรนะ?”
“ฉันสงสัยมาตั้งแต่สู้กันครั้งแรกแล้ว หมายถึงเงาราตรีน่ะ เหตุผลที่มันถูกดูดเข้าไปในร่างความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง แทนที่จะตายหายไป”
“…”
“แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้แปลกมากนะ ยังไงซะพวกมันทั้งหมดก็คือเศษเสี้ยวพลังเทพ”
คาซุกิรีบพูดพร้อมมองยูนิคอร์นอย่างตั้งมั่น
“แต่ที่แปลกไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น คุณสังเกตเห็นไหม?”
“เห็นอะไร?”
“ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง…”
คาซุกิได้เตรียมยิงพร้อมแล้ว ก่อนจะพูดต่อ
“เขาจะปล่อยเงาราตีออกมาก่อนใช้พลังเทพเสมอ”