บทที่ 333 – คำสัญญา (3)
คาซุกิได้พูดต่อไป
“มันจะทำแบบนั้นเสมอ… มันแทบจะเหมือนกับว่าต้องเป็นแบบนั้นเท่านั้น หากว่านี่เป็นแค่นิสัยติดตัวเฉยๆ มันคงจะแปลกไปหน่อยนะ”
ดวงตาฟิลิป มูเลอร์หรี่ลง
ตอนนี้พอเขามาคิดดูแล้วความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ปลดปล่อยส่วนหนึ่งของพลังเทพออกมาผ่านทางเงาราตรีในทุกๆครั้งที่เคลื่อนไหว
“พอมาคิดดูแล้ว ไม่ใช่แค่ยูนิคอร์นเท่านั้นที่พูด แต่ยังมีที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวพูดด้วย”
ตอนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ปลดปล่อยเงาราตรีออกมาเอง
ฟิลิป มูเลอร์ที่เห็นแบบนี้ได้รีบใช้เวทย์เพื่อลบเงาราตรีของยูนิคอร์นอีกครั้ง…
“พะ พวกแก!”
น้ำเสียงอันกราดเกรี้ยวของยูนิคอร์นได้ดังออกมา อีกด้านหนึ่งมันก็ไม่อาจจะซ่อนความอึดอัดใจไว้ได้เช่นกัน
การมาเสียเวลาในตอนที่ต้นไม้โลกต้นใหม่กำลังเกิดขึ้นมามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ปฏิกิริยาของยูนิคอร์นได้ยืนยันในทฤษฎีของคาซุกิอย่างชัดเจน
“…พอมาคิดดูกันแล้วนะ”
ฟิลิป มูเลอร์ดันแว่นขึ้น เมื่อได้ครุ่นคิดถึงคำพูดของความเมตตาอันบิดเบี้ยวอย่างที่คาซุกิบอกไว้ มันก็มีหลายจุดที่น่าสนใจอีกด้วย
“พยายามจะเลียนแบบความเมตตาอันบิดเบี้ยวจนเกิดเป็นผลข้างเคียงที่ไม่ดีเท่าไหร่…”
“นั่นมันมีความเป็นไปได้ว่าความสงบนิ่งเจอกับปัญหาในระหว่างที่พยายามดูดซับพลังทั้งหมดเข้าไป”
คาซุกิได้พูดต่อให้จบ
“ฉันเดาว่าเขาทำมันล้มเหลว แต่นั่นก็ยังไม่อาจหยุดความโลภของเขาไว้ได้”
หมายความว่า
“ในเมือเขาจะเสียโอกาสได้รับความเป็นเทพไปหากสร้างกองทัพด้วยเศษเสี้ยวพลังที่เหลืออยู่ เขาคงจะต้องหยุดใช้พลังก่อนที่จะล้ำเส้นไป”
“ฟุฮ่าฮ่า!”
ฟิลิป มูเลอร์ระเบิดหัวเราะออกมา ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นแค่ทฤษฎีไร้สาระ แต่ตอนนี้มันก็ฟังดูน่าเชื่อถือแล้ว
เหตุผลที่ว่าทำไมเงาราตรีถึงอ่อนแอ และวิธีการที่ความสงบนิ่ได้แสดงให้เห็นถึงพลังทำลายที่กดดันแบคแฮจูจนกระเด็นลอยไปในตอนแรกสุด
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ฟิลิป มูเลอร์ยิ้มออกมา
สิ่งที่คาซุกิบอกเรียบง่ายมาก ผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ดูดซับพลังความเป็นเทพล้มเหลว เพราะการเก็บพลังทั้งหมดไว้ในร่างกายจะสร้างภาระให้กับร่างกาย ดังนั้นเขาจึงจะปล่อยพลังออกมาภายนอกก่อนใช้งานมัน
นี่หมายความว่าพวกเขาจะสามารถหยุดความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ หากพวกเขาแค่บังคับให้ความเมตตาอันบ้าคลั่งดึงพลังกลับเข้าไป
“หากว่าทฤษฎีของคุณถูกต้อง… ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมความเมตตาอันบิดเบี้ยวถึงทำเหมือนความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งเป็นคนโง่”
หากว่าเขารับเอาพลังแห่งเทพไปใช้ไม่ได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็ควรจะแบ่งมันออกไปสร้างเป็นกองทัพของตัวเองเหมือนผู้บัญชาการคนอื่นๆ แต่เขากลับปฏิเสธที่จะทำแบบนั้นเพราะความโลภ นี่มันไม่แปลกเลยที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวจะดูถูกเขาจากมุมมองของพันธมิตร
“ถือตัวเองเป็นใหญ่ และหยิ่งยะโส จากมุมมองของปรสิตแล้ว คำพูดเหล่านี้ช่างเหมาะสมกับความสงบนิ่งกอันบ้าคลั่งจริงๆ”
“ราชินีปรสิตก็ไม่ว่าอะไรเขาเลยงั้นเหรอ?”
“ก็ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็บอกนี่ว่าราชินีหวังไว้สูงกับการทดลองของเขา”
คาซุกิยิ้มออกมา
ในทางกลับกันดวงตาความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ลุกโชนด้วยความไม่พอใจ พร้อมกันหันไปมองมนุษย์ที่กำลังคุยกันอยู่
“เจ้ายังจะรออะไรอยู่อีก!? เร็วเข้า!”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เร่งเขาขึ้นเช่นเดียวกัน
“ดะ เดี๋ยวก่อนสิ! ข้าต้องจัดการหนอนแมลงพวกนี้ก่อน…!”
เสียงแค่นดังได้ออกมาจากจมูกของยูนิคอร์น
“กรอด! ก็ได้ ข้าจะฆ่าพวกแกสองคนก่อน!”
เขาของยูนิคอร์นได้เปลี่ยนทางมาหันหาชายทั้งสองคน แต่ว่าขณะที่มันกำลังจะพุ่งออกไป มันก็ต้องชะงักลง
นั่นก็เพราะฟิลิป มูเลอร์ได้รีบร่ายเวทย์ขึ้น
นั่นก็คือเวทย์เทเลพอต
“กรอดดดด!”
มันอยากจะฉีกทั้วงคู่ให้เป็นชิ้นๆ แต่ว่ามันก็ยังคงติดคำสาปของอวาริเทียอยู่ หากว่ายังมีคำสาปนี้อยู่มันก็ไม่มีทางไล่ตามการเคลื่อนที่ในรูปแบบการเทเลพอตได้เลย
ดังนั้นแล้วมันจึงจ้องไปที่ทั้งสองคนอย่างดุร้าย จากนั้น…
“ลองนี่ดูเป็นไง!?”
เงาราตรีจำนวนมหาศาลที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้พุ่งออกมาจากร่างมัน
กลุ่มควันดำจำนวนนับไม่ถ้วนได้กระจายตัวกันออกมา
คาซุกิ กับฟิลิป มูเลอร์ได้รีบโจมตีพวกมัน แต่ว่าจำนวนของเงาราตรีก็มากเกินกว่าที่พวกเขาจะกำจัดไปได้ในคราวเดียว
“ฮ่าฮ่า! ลองดูสิว่าพวกเจ้าจะยัง…?”
ทันใดนั้นยูนิคอร์นก็ต้องหยุดขำ
“หืม?”
ควันดำได้พุ่งผ่านหน้ามันอย่างกระทันหัน ในทุกๆครั้งที่ควันดำนี้พุ่งผ่านหมอกควัน เงาราตรีก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในร่างของยูนิคอร์น
ใช่แล้ว โฟลนที่มีไหวพริบได้รีบเคลื่อนไหวทันที
“อึก…!”
ยูนิคอร์นที่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กัดฟันแน่นอย่างไม่พอใจ ในตอนนี้เองมันก็รู้สึกได้ถึงสายตาทิ่มแทงที่มองมา เมื่อมันหันกลับไปมอง มันก็เห็นสายตาไม่พอใจจากความเมตตาอันบิดเบี้ยว
“เจ้ามัน… ช่าง…”
ตัดสินจากน้ำเสียงสั่นเทาของเธอแล้ว เธอดูจะรู้แล้วว่าจุดอ่อนของยูนิคอร์นถูกเปิดเผยออกมา
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
หลังจากพ่นคำจิกกัดนี้ออกมา ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็พุ่งไปปะทะอีกครั้ง
ยูนิคอร์นได้หันหน้ากลับมาอย่างสับสน
คาซุกิบกับฟิลิป มูลเลอร์ยังคงเตรียมพร้อม และควันดำได้ลอยวนไปมาอยู่ใกล้ๆพวกเขา เจตนาของพวกเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือการทำให้เงาราตรีกลับเข้าไปในร่างของยูนิคอร์นในทันทีที่มันปล่อยออกมา
ไม่นานนัก
“แก…!”
ใบหน้าของยูนิคอร์นได้แดงยิ่งขึ้น
ที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวพูดก็เรื่องหนึ่ง
“แก…!”
แต่ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือการถูกมนุษย์แค่สองคนก่อกวนจนเหมือนกับมันไร้อิสระภาพ นี่เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของมันยิ่งกว่าสิ่งใด
การที่จุดอ่อนน่าอายถูกเผยให้ทุกคนรู้ทำให้มันอับอายจนแทบคลั่ง
“แกกกกก…!”
ยังไงก็ตามที่ยิ่งทำให้มันหงุดหงิดขึ้นไปอีกคือมันทำอะไรไม่ได้เลย
เว้นก็แต่สิ่งหนึ่ง
จากนั้นเอง
“เจ้าพวกหนอนแมลง…!”
ใบหน้าของยูนิคอร์นแดงขึ้นด้วยความโกรธ…
“พวกแกกล้ามาก!”
ทันใดนั้นดวงตาของมันได้เป็นประกายแสงสีดำสนิทและแสงสว่างสลับกันออกมา
“มันมาถึงจุดนี้แล้ว หายไปซะให้หมด!”
คาซุกิขมวดคิ้วขึ้นกับเสียงคำรามนี้ และยิ่งเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ เขาก็ต้องอ้าปากค้าง
“ข้าจะฆ่าพวกแกซะให้หมด!!!”
ร่างของยูนิคอร์นได้ฉีกเป็นชิ้นๆ พร้อมกันกับเสียงตะโกนที่ดังสนั่นผืนดิน
ร่างสีดำสนิทได้ปรากฏขึ้นจากจุดที่ร่างของยูนิคอร์นถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในเวลาเดียวกันลมพายุขนาดใหญ่ก็โหมกระหน่ำขึ้นมา
ปรากฎการณ์นี้มีความหมายแค่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ปลดผนึกพลังเทพออกมา!
คาซุกิกับฟิลิป มูเลอร์ได้ฝืนเงยหน้ามองขึ้นไปที่ความมืดที่กำลังขยายขนาดขึ้นหลังโผล่ออกจากร่างยูนิคอร์น
สองเมตร สี่เมตร แปดเมตร สิบหกเมตร…!
ด้วยความเร็วขนาดนี้หัวของมันก็ได้ถึงท้องฟ้าแล้วแล้ว
ร่างสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นมาหลังจากผ่านไปไม่นานนั้นดูแปลกประหลาดมาก
ยักษ์เงามืดที่ร่างกายเต็มไปด้วยความมืดสนิท
มันไม่ใช่แค่ความมืดเท่านั้น แต่ยังมีแสงสีขาวเรียงรายกันรอบตัวยักษ์อีกด้วย
แต่มันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น แสงสว่างค่อยๆส่ายไปมาเหมือนกับได้รับผลกระทบจากความมืดที่โหมกระหน่ำอยู่
“ฮ่าาาาห์!”
เสียงร้องคำรามได้ดังขึ้น
แก้มคาซุกิซีดลงไป เขาไม่คิดเลยว่าความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งจะทำถึงขนาดปลดผนึกพลังของตัวเอง
แน่นอนว่าหากพวกเขาถ่วงเวลาเอาไว้ได้จนระยะเวลาพลังเทพของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งหมดลงก็จะเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด… แต่การได้เผชิญหน้ากับร่างขนาดยักษ์แบบนี้ตรงๆแล้ว คาซุกิก็รู้ดีว่านั่นเป็นเพียงความเพ้อฝัน
โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์แตกต่างไปจากเทพ ตัวตนสามัญไม่มีทางจะเอาไปเทียบกับตัวตนที่เป็นอมตะได้เลย
ในจุดนี้แล้วการต่อสู้ได้ระอุขึ้นอีกครั้ง
“ก๊ากกกกกกก! ก๊ากกกกกกกกกกก!”
เสียงร้องโหดหวนได้ดังขึ้นจากความมืดมิดอีกครั้ง และจากนั้นมันก็ได้ใช้เท้าขนาดมหึมากระทืบพื้นด้วยความโกรธ
ตูมมมม!
พื้นได้แยกออกจากทัน
เพียงแค่เท้ากระทืบลงมาก็ถึงขนาดทำให้ผืนดินพลิกกลับจนเกิดเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
คลื่นนนน!
สมาชิกทีมปฏิบัติการต่างก็เสียสมดุลจากแรงสั่นสะเทือนจนล้มลงกับพื้น
แม้กระทั่งความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ต้องยืนไม่มั่นคง เธอได้รีบกางปีกขึ้นด้วยตาเป็นประกายทันที
“โฮ่!”
หลังมองไปทางร่างยักษ์ที่สูงตะหง่านเหนือพื้นแล้ว เธอก็อุทานอย่างแปลกใจ
“ถึงจะสายไปหน่อย แต่ในที่สุดเจ้าก็มีประโยชน์แล้ว!”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ถอนหายใจกลับมารักษาท่าทีตามเดิม
ถึงแม้ว่ายูนิคอร์น ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งจะเป็นเจ้าโง่ที่ใช้พลังเทพที่ถูกผนึกอยู่ได้ แต่ยังไงเทพก็คือเทพวันยังค่ำ ตราบใดที่เขาปลดผนึกพลังออกมาจนหมด แม้กระทั่งเธอก็ยังไม่กล้าดูถูกเขา ถึงจะมีเวลาแค่ไม่กี่นาที แต่เขาจะแสดงพลังอันสูงส่งออกมาได้!
เมื่อเห็นแบบนี้แล้วความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็บินออกไปไกฃล ด้วยมุ่งเน้นเรื่องประสิทธิภาพมากกว่าเรื่องใดแล้ว เธอก็อยากที่จะสู้ร่วมกันกับความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง แต่เธอรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
การสำแดงพลังเทพของผู้บัญชาการกองทัพที่สี่นั้นมีปัญหาที่แตกต่างไปจากผู้บัญชาการกองทัพคนอื่นๆ
สำหรับผู้บัญชาการกองทัพคนอื่นๆแล้ว หลังจากปลดผนึกพลังออกมาจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นอันยาวนานเท่านั้น ยังไงก็ตามสำหรับผู้บัญชาการกองทัพที่สี่แล้วก็ยังมีผลข้างเคียงที่ทำให้สูญเสียเหตุผล เนื่องจากการไม่ยอมดูดซับพลังตามวิธีปกติ
พูดง่ายๆคือเขาจะคลั่งไป และโจมตีโดยไม่สนมิตรหรือศัตรู นี่คือเหตุผลที่มีคำว่า ‘บ้าคลั่ง’ อยู่ในชื่อเขา
แต่นี่ก็ไม่ใช่แค่ผลข้างเคียงเดียวเท่านั้น ในตอนความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ปลดผนึกพลังออกมา เขาจะไม่อาจควบคุมพลังได้หากไม่มีผู้บัญชาการคนอื่นคอยช่วย เพราะงั้นหากปล่อยเอาไว้ เขาก็จะอารวาดไปจนหมดเวลา และจบสิ้นไป
แน่นอนว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ไม่ได้คิดที่จะไปช่วยความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งควบคุมพลังด้วย
“สมบูรณ์แบบ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธ
ไม่ต้องมองก็รู้ได้เลยว่าทีมปฏิบัติการน่ารำคาญนี้จะถูกความต่างของระดับพลังกำจัดไปจนสิ้น ต่อให้จะมีคนหลบหนีไปได้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็สามารถจะไล่ตามไปปิดฉากได้
แถมยังช่วยให้ผู้บัญชาการกองทัพที่น่าอับอายทำลายตัวเองไปแล้วด้วย นี่มันช่างทำให้เธอมีความสุขจริงๆ
“ฟุฟุ อย่างน้อยข้าจะช่วยเจ้าในวาระสุดท้ายแล้วกัน”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวยกมือขึ้น
คลื่นนนน!
แผ่นดินได้สั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง กำแพงหนาได้ผุดขึ้นจากพื้น และล้อมรอบทีมปฏิบัติการไว้ได้ในทันที มันเหมือนกับเป็นกรงขังให้พวกเขาสู้กับสัตว์ร้ายตรงหน้า
“กรรร!”
เสียงคำรามต่ำได้ดังออกมาจากด้านใน ยักษ์ความมืดได้ค่อยๆมองสำรวจรอบตัวกับกำแพงที่จู่ๆปรากฏขึ้นมานี้ มันเป็นเหมือนกับนักล่าที่กำลังมองหาเหยื่อ
“…หนี”
แบคแฮจูได้พึมพำอย่างกระทันหัน
“นายต้องหนี…”
ยังไงก็ตามเธอก็ต้องเงียบไป การทำลายกำแพง และหลบหนีไปไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย มันมีเหตุผลที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอยู่ ถึงแม้ว่าแบคแฮจูจะไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวคงจะคอยเฝ้ามองพวกเธออยู่แน่ ถ้าแบบนี้แล้วการแยกกันหนีก็มีแต่จะทำให้พวกเธอต้องถูกไล่จัดการทีละคนเท่านั้นเอง
เหล่าทีมปฏิบัติการได้ตกอยู่ในความสับสนทันที
บางทีเริ่มหวาดกลัวขึ้นตามสัญชาตญาณ นอกไปจากนี้ยักษ์ความืดก็มีแรงกดดันอันน่ากลัวที่แค่อยู่ใกล้ก็บดขยี้พวกเขาได้แล้ว!
ซอลจีฮูได้ฝืนหันหน้าอันสั่นเทาไปมอง ความคิดมากมายได้เข้ามาในหัวเขา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะเลือกอะไรได้มาก
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือตัวตนอันสูงส่งอย่างแท้จริง! เมื่อเห็นแบบนี้ก็พอทำให้เขาเข้าใจได้แล้วว่าทำไมผู้บัญชาการกองทัพถึงได้มองมนุษย์เป็น ‘หนอนแมลง’
แบคแฮจูพูดถูก พวกเขาสู้กับมันไม่ได้ พวกเขาต้องหนี
และดังนั้นขณะที่เขากำลังจะตะโกนออกมา…
“ทุกคน…!”
หัวของยักษ์ความมืดได้หันมาอย่างกระทันหัน
ซอลจีฮูหยุดพูดทันที มันห้ามไม่ได้จริงๆ ยักษ์ความมืดได้มองมาที่เขาด้วยสายตาอันน่ากลัว และไม่อาจจะต้านทานได้เลย แค่มองมันร่างกายของเขาก็สั่นเหมือนกับหนูที่เจอหน้างูแล้ว
ความตาย มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่
ทันใดนั้นเองได้มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัวของเขา
วูบบบ ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้เดินเข้ามา เพียงแค่ก้าวเดียวของมันก็มาถึงตัวซอลจีฮูแล้ว
มันได้ง้างแขนขวาขึ้น
“กรรรรรรรรรรร!”
จากนั้นก็เหวี่ยงลงมาเต็มกำลังพร้อมเสียงคำราม แขนของมันได้ฟาดลงเป็นแนวดิ่งเหมือนกับรถไฟเหาะพุ่งลงมา
ดวงตาซอลจีฮูมัวหมองลงไปทันที เขาหลบมันไม่ได้ ต่อให้เขาหลบ มันก็ไร้ความหมายอยู่ดี
การโจมตีเต็มกำลังของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งมันมากพอจะลบที่นี่ไปได้เลย
ซอลจีฮูได้แต่เล็งหอกขึ้นไปบนฟ้าตามสัญชาตญาณ แม้ว่าเขาจะดึงพลังมานาออกมาแล้ว แต่เขาก็ยังคงมีใบหน้าที่หม่นหมองเช่นเดิม
‘ฉันมาไกล… ขนาดนี้แล้ว…’
เขาได้กลั้นลมหายใจเอาไว้
‘ฉันจะ… ไม่ยอมแพ้…’
ดวงตาที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาได้ค่อยๆหลับลงไป
‘ฉันจะ… ตายไม่ได้…’
ต่อจากนั้นความมืดได้เข้าปกคลุมสายตาของเขา ซอลจีฮูที่รู้สึกได้ว่าความตายได้เข้ามาใกล้ไดหลับตาลง และภาวนาออกมาจากจิตใต้สำนึก
‘ฉันไม่อยากตาย…!’
วูมมมม!
ทันใดนั้นเองซอลจีฮูรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก หากว่าให้เปรียบกับอะไรสักอย่าง มันก็คงเหมือนกับการกระโดดบันจี้จัมพ์
คมมีดสายลมอันน่าหวาดหวั่นได้กวาดผ่านร่างของเขาไป และท้องเขาได้คลื่นไส้ราวกับจะระเบิดออกมา
จากนั้นเอง
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งสายลมรุนแรงก็หายไป และความรู้สึกก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
เส้นผม และเสื้อที่กระพือไปตามสายลมได้ค่อยๆลดลง
ต่อจากนั้นความคิดมากมายก็เข้ามาในหัวของเขา
‘ฉันตายเหรอ…?’
การโจมตีมันทรงพลังจนถึงขนาดทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยงั้นเหรอ?
หรือว่า…
‘ฉัน… ยังไม่ตาย?’
ซอลจีฮูได้ค่อยๆลืมตากลับขึ้นมา จากนั้นเขาก็ต้องสับสนไป
เขายังเห็นเพียงแค่ความมืดเท่านั้น แต่ว่าเมื่อเขาเดินโซเซถอยไปโดยไม่รู้ตัว เขาก็รู้ว่าความมืดมันก็คือมือของยักษ์
หมัดของมันกำลังอยู่ตรงหน้าเขา
ยังไงก็ตามเขายังไม่ตาย
นี่มีความหมายเดียวเท่านั้น นั่นก็คือหมัดได้มาหยุดลงก่อนถึงตัวเขา
ซอลจีฮูได้มองไปที่หมัดอย่างสับสนสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ
แสงภายนอกที่ส่ายไปมาจากความมืดอันบ้าคลั่งภายในผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ได้ค่อยๆสงบลง
มันค่อยๆนิ่งลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ขัดด้วยตาเปล่าได้เลย
เหมือนกับว่ามีบางอย่างทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้
เกิดอะไรขึ้น?
ซอลจีฮูที่กำลังเงยหน้าขึ้นก็ต้องผงะไป นั่นก็เพราะขณะกำลังจะเงยหน้าเขาเห็นแสงสว่างสดใสอยู่ใต้คางของเขา
ซอลจีฮูได้ก้มหน้ามองหาที่มาของแสงโดยไม่รู้ตัว และไม่นานนักเมื่อได้เห็นที่มาของแสง เขาก็ต้องอ้าปากค้าง
‘อะไรกัน?’
นั่นคือที่คอของซอลจีฮู
“…จี้ของฉัน…?’
จี้ที่ห้อยคอของซอลจีฮูกำลังส่องแสงสีเงินเปล่งประกายสดใสออกมา