ตอนที่ 190.4 รื้อบัญชีเจี่ยงฮองเฮา (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เจี่ยงฮองเฮาร่างกายอ่อนยวบเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้เล็กน้อย ท่ามกลางเสียงจอแจของบรรดาเชื้อพระวงศ์ แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน ปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ข้ามิได้วางยาฉินอ๋อง”

เจี่ยไทเฮามองฮองเฮาที่อยู่ข้างกาย น้ำเสียงสั่นเครือ “ฮองเฮา เจี่ยงผิงสารภาพแล้ว หรือว่าหลานกับน้องชายเจ้าจะใส่ร้ายเจ้าเช่นนั้นหรือ!”

หนิงซีฮ่องเต้พระพักตร์อึมครึม

เจี่ยงฮองเฮามองน้องชายที่ยืนโอนเอนอยู่กลางตำแหน่งคราหนึ่ง “ข้ายอมรับ ปีนั้นได้สั่งให้เจี่ยงผิงนำยาพิษต้องห้ามเข้าวังจริง แต่กลับมิใช่เพื่อทำร้ายฉินอ๋อง”

“ยังจะเถียงข้างๆ คูๆ อยู่อีก” หนิงซีฮ่องเต้สุรเสียงเดือดดาล พระพักตร์เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และเสียใจอย่างหนักที่สุดคือการที่หลายปีมานี้พระองค์มองคนไม่ออก มองนางผิดมาโดยตลอด “ปีนั้นเราให้คนตรวจสอบเรื่องฉินอ๋องโดนพิษ บนตัวแม่นมผู้นั้นก็เป็นพิษไร้สีไร้กลิ่นประเภทเดียวกันกับที่เจ้าให้เจี่ยงผิงเอาเข้าวังมา”

เจี่ยงฮองเฮาค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น “ยาพิษบนตัวแม่นมกับที่เจี่ยงผิงให้หม่อมฉันเป็นคนละชนิดกันหรือไม่ ผ่านมานานหลายปีเพียงนี้แล้วก็คงตรวจสอบไม่ได้ จึงไม่มีหลักฐานมาหักล้างกันได้ เอาอะไรมาบอกว่าต้องเป็นหม่อมฉันที่ทำ หม่อมฉันขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายว่าหม่อมฉันให้เจี่ยงผิงเอายาพิษต้องห้ามเข้าวังมา แต่เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าหม่อมฉันจะวางยาฉินอ๋อง พิษที่ตัวแม่นมก็ไม่ใช่หม่อมฉันเป็นคนให้ หม่อมฉันมิใช่ฆาตรกร ความผิดหนักสุดของหม่อมฉันก็คือลักลอบนำยาพิษที่เป็นของต้องห้ามเข้าวังมา โทษนี้ขอไทเฮาและฮ่องเต้โปรดลงโทษ หม่อมฉันจะไม่คัดค้านแก้ต่าง”

เจี่ยงอวี๋โมโหจนหน้าแดงลามไปถึงคอ มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะโต้แย้งอยู่อีก!

เจี่ยงฮองเฮาเหลือบมองหลานสาวคราหนึ่งด้วยความเมตตาสงสาร “ดังนั้น คำว่า ‘ใช้พิษทำร้ายคนมามากมาย’ ของพระสนมรองล้วนไม่สมเหตุสมผล ยามนี้ยังตั้งใจเอาเรื่องวางยาไท่จื่อมาเกี่ยวโยงกับหม่อมฉัน! แค่ความวิตกคิดมากของหลานเจาซวิ่นสตรีสติไม่ดีนางนี้ รวมถึงสารหนูห่อหนึ่งก็จะชี้ชัดว่าหม่อมฉันมีใจคิดทำร้ายไท่จื่อหรือ แล้วตอนนี้ไท่จื่อเป็นเช่นไรเล่า”

เจี่ยงอวี๋กำหมัดแน่น

แต่ได้ยินเสียงดังขึ้นจากนอกตำหนัก “เรื่องฉินอ๋องถูกวางยาพิษยากนักที่จะหาหลักฐานมาเอาผิดฮองเฮาได้จริงๆ แต่เรื่องที่ไท่จื่อถูกทำร้ายนั้น กลับอยู่ใกล้ตรงหน้านี่เอง”

เงาร่างอาภรณ์สีมรกตเดินเข้าตำหนักมา หยุดฝีเท้าลงอยู่ตรงกลาง คำนับต่อเหล่าผู้สูงศักดิ์ที่อยู่บนบันไดหิน

ซย่าโหวซื่อถิงหยัดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เยี่ยนอ๋องกระซิบอยู่ข้างๆ ว่า “พี่สาม…” กลับถูกสายตาเขาปรามไว้

เจี่ยงฮองเฮาหัวเราะออกมา “พระชายาฉินอ๋องออกไปตั้งนาน ที่แท้ก็มิได้ไปหยิบสุราให้พระชายาจิ่งหยาง แต่กลับไปคิดหาวิธีทำร้ายข้ากับพวกใจคดอยู่นี่เอง”

พระพักตร์ไท่จื่อปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบดั่งราตรีเหน็บหนาวในฤดูสารท หยัดกายลุกขึ้น สุรเสียงฟังดูแล้วอ่อนโยนดังเก่าก่อน แต่ละคำที่กล่าวออกมาทำเอาเจี่ยงฮองเฮาหวาดกลัวสุดขีด “เสด็จแม่อย่าได้โทษพระชายาฉินอ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ที่นางเพิ่งกลับเข้ามาเอาป่านนี้ เป็นเพราะข้าให้นางพาองครักษ์ของตงกงไปเฝ้าทางเข้าออกทุกด้านที่ตำหนักเฟิงจ๋าเพื่อมิให้เสด็จแม่แอบส่งคนกลับไปทำลายหลักฐาน อ้อใช่ ขอบคุณพระชายาฉินอ๋องเป็นอย่างมากที่เสนอตัวทำเอง ลำบากพระชายาแล้ว เชิญกลับไปนั่งพักก่อนเถิด”

อวิ๋นหว่านชิ่นค้อมหัวเล็กน้อย พอเสื้อคลุมโบกสะบัดกลับไปนั่งลงข้างพระชายาจิ่งหยาง

เจี่ยงฮองเฮาจ้องไท่จื่อเขม็ง

“จุนเอ๋อร์ หลักฐานอันใดกัน!” หนิงซีฮ่องเต้ระงับความโกรธกริ้ว ไม่ว่าพระองค์จะอ่อนข้อให้สกุลเจี่ยงผู้นี้เท่าใด แต่จะอภัยให้นางมาแอบทำร้ายลูกหลานของพระองค์ได้อย่างไร โดยเฉพาะเบื้องล่างนี้ บรรดาเชื้อพระวงศ์ต่างกำลังมองดูอยู่ด้วยสายตาเฉียบคม หากไม่จัดการให้ชัดเจนต่อหน้าธารกำนัลล่ะก็ วันนี้คงมิใช่งานเลี้ยงครอบครัวแล้ว แต่จะเป็นความอัปยศของครอบครัวแทน

ไท่จื่อมองเจี่ยงฮองเฮาคราหนึ่ง สีหน้าแฝงความเสียดาย “เรื่องที่หอละครว่านฉ่าย วัตถุระเบิดคือดินปืน ครานั้นเจี่ยงยิ่นพักอยู่ที่วัง ณ ตำหนักเหยาหวาพอดี ลูกตรวจเจอดินปืนในห้องหลอมยาของเขา จึงนึกสงสัยขึ้นมา ต่อมาพระชายาฉินอ๋องไปตำหนักเฟิงจ๋า เจอดินปืนที่ถูกห่อไว้อย่างแน่นหนาภายในห้องบรรทมของฮองเฮาโดยบังเอิญ…”

ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างตกใจ ไท่จื่อกล่าวสรุปว่า “…เรื่องที่หอละครนั่นคือเสด็จแม่ต้องการทำให้ลูกตาย”

หนิงซีฮ่องเต้กลืนน้ำลาย “เหยาฝูโซ่ว เจ้าไปตำหนักเฟิงจ๋า เอาดินปืนที่เหลือมา เราจะตรวจสอบเอง!” พระองค์ไม่อยากส่งตัวเจี่ยงฮองเฮาไปให้กับสำนักพระราชวังเช่นนี้ ในเมื่อเป็นฮองเฮาของพระองค์ พระองค์ก็จะตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยองค์เอง

จนถึงตอนนี้พระองค์ก็ยังคงไม่กล้าที่จะเชื่อทั้งหมดอยู่ดี

เจี่ยงฮองเฮาร่างกายอ่อนยวบราวกับต้นอ้อในฤดูสารท พระพักตร์ที่สงบนิ่งมาโดยตลอดเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย

ครึ่งชั่วยามต่อมา เหยาฝูโซ่วก็กลับมาจากตำหนักเฟิงจ๋า ในมือถือกล่องเครื่องประดับสีชาดที่ทำด้วยไม้ถวายแก่ฮ่องเต้

ดูๆ แล้วเป็นแค่กล่องใส่เครื่องประดับผมที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องบรรทม

หนิงซีฮ่องเต้นึกไม่ถึงว่านางจะกล้าเก็บหลักฐานสำคัญเช่นนี้ไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง พระองค์สูดหายใจหนัก พอเปิดออกดูก็พลันตกใจ เพราะในกล่องว่างเปล่า ได้ยินเสียงเตือนด้วยไมตรีของพระชายาฉินอ๋องที่นั่งอยู่ดังขึ้น “ฝ่าบาททรงลองสังเกตุผนังด้านในกล่องดูเพคะ”

หนิงซีฮ่องเต้ลูบคลำผนังกล่องจนถึงจุดหนึ่ง สัมผัสที่ปลายพระหัตถ์แปลกไป งอนิ้วดึงอยู่ครู่หนึ่ง ผนังด้านในกล่องก็ขยับคลายออก หยิบมาดูใต้แสงเทียนจึงเห็นได้อย่างลางๆ ขอบผนังทั้งสี่ด้านในของกล่องมีช่องว่างอยู่

พระองค์ตกตะลึง ลูบไปตามช่องดึงส่วนด้านในออกมา ด้านนอกเป็นเพียงชั้นบางๆ เท่านั้น!

ที่แท้ผนังด้านในทั้งสี่ด้านล้วนถูกเจาะให้ว่าง

ความหนาที่แท้จริงของกล่องไม้สีชาดนี้ ด้านในกว้างหนึ่งนิ้วกว่าๆ เป็นปริมาตรที่ไม่น้อย ใส่ดินปืนเพิ่มเข้าไป สุดท้ายจึงค่อยปิดด้วยเปลือกไม้สีชาดบางๆ ชั้นหนึ่ง ดูเหมือนกล่องเครื่องประดับว่างเปล่าธรรมดาๆ กล่องหนึ่ง

หนิงซีฮ่องเต้พลันมือสั่น เม็ดสีดำที่ถูกอัดแน่นจนไร้ช่องว่างค่อยๆ ไหลออกมาจากผนังกล่องที่ถูกทำลาย ทันทีที่กล่องตกถึงพื้น พรมสีแดงในตำหนักก็สูงขึ้นมาครึ่งชุ่น!

“ปะ…เป็นดินปืนระเบิด!” มีคนที่คุ้นเคยกับการทหารตะโกนขึ้น!

หลังจากเสียงอื้ออึงดังขึ้น ก็คือความเงียบกริบดั่งป่าช้า

“พาตัวเจี่ยงฮองเฮาไปตำหนักซือฝาก่อน” หนิงซีฮ่องเต้ที่กำลังระงับอารมณ์อย่างสุดกำลัง กลับให้เหล่าพระญาติในตำหนักได้รู้สึกถึงความโกรธกริ้วของพระองค์

เจี่ยงฮองเฮาลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ สีหน้าไร้ความหวาดกลัวใดๆ ทั้งยังไร้ซึ่งความเคืองขุ่น หลงเหลือเพียงความว่างเปล่าที่ไม่มีชื่อเรียก หน้าตาและเกียรติยศยามเข้าตำหนักมาที่พึ่งจะถูกฮ่องเต้ถือหางเมื่อครู่ พลันมลายหายไปในพริบตา

และสิ่งที่ทำให้นางเย็นยะเยือกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็คือสายตาที่พระองค์กำลังมองนางอยู่ ณ ขณะนี้!

เมื่อก่อนอย่างน้อยยังเคารพ อ่อนข้อ อนุโลม อ่อนโยน มายามนี้มีเพียงสายตาที่ไม่คุ้นเคยและรังเกียจสะอิดสะเอียน!

นางถูกนางกำนัลพยุงบีบบังคับให้ออกจากตำหนักเจียสี่ด้วยร่างกายอันโงนเงน

เหยาฝูโซ่วรีบประกาศ “งานเลี้ยงวันนี้จบลง ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านแยกย้ายกันไปพักผ่อน!”

งานเลี้ยงฉลองปีใหม่อันสงบสุขภายในราชวงศ์ได้จบลงอย่างตกตะลึงพรึงเพริดท่ามกลางเสียงประกาศนี้

เจี่ยงฮองเฮาเข้าตำหนักซือฝาได้ห้าวัน ภายในวังเงียบกริบ แต่กลับมีคนแอบทอดถอนใจอย่างเงียบๆ

หลักฐานชัดเจน หมดทางจะปฏิเสธได้ คนสนิทข้างกายของฮองเฮาก็สารภาพออกมาในวันที่สามว่า ครานั้นเหวยกั๋วจิ้วกลับมาเมืองหลวงอย่างหาได้ยาก และได้พักอยู่ในวัง ไปพบฮองเฮาหนึ่งครั้ง พบดินปืนที่ยังไม่ได้ใช้ในห้องหลอมยาพอดี จึงสั่งให้เขาทำความสะอาดเตาหลอมแล้วขโมยมาเป็นจำนวนมาก

เก็บส่วนหนึ่งใช้ทำลายหอละคร เพราะไม่สำเร็จ ส่วนที่เหลือตัดใจทิ้งไม่ลงจึงเก็บเอาไว้ เผื่อได้ใช้ในภายภาคหน้า

‘เผื่อได้ใช้ในภายภาคหน้า’ ประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป ความโกรธกริ้วของหนิงซีฮ่องเต้ก็ยิ่งทบเท่าทวีคูณ นางเสพติดการสังหารโอรสแล้วกระมัง!