นอกจากเจี่ยงฮองเฮาที่ฐานะสูงศักดิ์จึงรอรับโทษอยู่ที่ตำหนักซือฝ่าชั่วคราวแล้ว ผู้ใกล้ชิดคนอื่นๆ ล้วนถูกใส่โซ่เหล็กจับเข้าคุกกันทั้งหมด
ไท่จื่อใช้ความโกรธเกรี้ยวนี้ ไม่ให้โอกาสเจี่ยงฮองเฮาได้มีเวลาหายใจ จึงกราบทูลต่อฮ่องเต้เรื่องที่เจี่ยงฮองเฮาจิตใจชั่วร้ายโหดเหี้ยม หลังพระสนมหยวนคลอดได้ถูกพระนางใช้ฮวงจุ้ยทำร้ายและฝังศพอยู่ที่สุสานหลวงเพื่อแย่งลูกของนางมา
หนิงซีฮ่องเต้ให้คนไปเปิดโลงศพของพระสนมดู ในโลงนั้นมีกระดูกสีขาวโพลน ตัวคว่ำลงเบื้องล่าง ศีรษะหันขึ้นฟ้า ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ในปากอมขุาวสารไว้ ท่าทางขวัญผวาจนคนที่ไปดูอกสั่นขวัญแขวนไปหมด
เวลาได้ล่วงเลยมานานหลายปี จึงมิอาจตรวจสอบรายละเอียดการตายของพระสนมหยวนได้ว่าในปีนั้นเจี่ยงฮองเฮาทำร้ายนางได้อย่างไร แต่ดูจากวิธีที่ทำกับศพของพระสนมหยวนเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำคนที่มาเปิดโลงทราบได้ว่าต้องเป็นวิธีที่โหดเหี้ยมไร้ความเป็นมนุษย์และน่าเวทนาจนมิอาจทนดูได้เป็นแน่
มิเช่นนั้นแล้วเจี่ยงฮองเฮาคงมิต้องสะกดพระสนมหยวนเอาไว้ เพราะกลัวว่าวิญญาณพระสนมจะกลับมาหรืออาจกลับมาเกิดกับนางเพื่อล้างแค้น!
เมื่อนางกำนัลกลับมาจากหลุมศพพระสนมก็กราบทูลแก่ฮ่องเต้อย่างละเอียด
หนิงซีฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจอย่างรุนแรง ไม่ได้สติอยู่เนิ่นนาน
เหล่านางกำนัลก็จดจำได้เช่นเดียวกับฮ่องเต้มาโดยตลอดว่าฮองเฮาผู้นี้อ่อนโยนงามสง่าหาใดเปรียบ ไม่ว่าสิ่งใดล้วนไม่ปรารถนา ราวกับเป็นผู้บำเพ็ญพรตอย่างไรอย่างนั้น จะคิดไปถึงเรื่องที่นางทำร้ายนางสนมและพระโอรสได้อย่างไร นางไม่เคยพลาดเลยสักครั้งเช่นนี้
บัญชีเก่าหลายปีของฮองเฮาล้วนถูกรื้อฟื้นขึ้นมา ผู้คนจึงได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฮองเฮาผู้นี้
เหล่านางกำนัลได้ข่าวมาอีกว่า ฝ่าบาททรงออกราชโองการมาแล้ว สองวันนับจากนี้จะส่งตัวฮองเฮาให้แก่สำนักพระราชวัง และจะทรงเข้าร่วมการตัดสินพิจารณาโทษกับเจ้าหน้าที่ของศาลสูงด้วย
ต่อให้เรื่องที่แอบลักลอบเอายาพิษเข้าวังเพื่อปลงพระชนม์ฉินอ๋องจะไม่มีหลักฐานมาเอาผิดได้ แค่อาศัยเรื่องระเบิดหอละครครั้งนี้อย่างเดียวก็เกรงว่าเจี่ยงฮองเฮาจะรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ยากแล้ว
วันนั้นที่ฝ่าบาทจะทรงพระราชทานการสมรสให้แก่ฉินอ๋อง เนื่องจากในงานเลี้ยงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้จึงได้ระงับเอาไว้ก่อน
ในคืนงานเลี้ยงคืนนั้น ก่อนที่พระชายาพานจะออกจากวังไป ได้ปลอบใจอวิ๋นหว่านชิ่นว่าเรื่องของสกุลหานส่วนใหญ่ล้วนเป็นฮองเฮาที่เสนอขึ้นมา ยามนี้แผนร้ายของฮองเฮาแดงออกมาแล้ว ทำเอาฮ่องเต้กริ้วหนัก เกรงว่าคงจะไม่สนเรื่องอื่นใดแล้ว จึงบอกให้นางวางใจแล้วตบมือนางเบาๆ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “แต่น่าเสียดาย เดิมทีวันนี้ไทเฮาทรงอภัยโทษให้แก่เจ้าแล้ว แต่เรื่องครานี้ของฮองเฮาใหญ่มาก หมู่นี้ไทเฮาคงไม่มีเวลามาสนใจ คงต้องลำบากเจ้าอยู่ที่อารามต่ออีกหน่อยเสียแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะนานหรอก อย่าร้อนใจไป”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมิได้ร้อนใจอันใด เรื่องของเจี่ยงฮองเฮามีจุดจบแล้ว อยู่อารามฉางชิงต่ออีกหน่อยก็ไม่เป็นไร
สิ่งเดียวที่ไม่สุขใจก็คือโทษทัณฑ์ที่ปล่อยให้ฮองเฮาทำร้ายฉินอ๋องมาสิบกว่าปี ความอยุติธรรมในปีนั้นที่ฉินอ๋องถูกทำร้ายต้องได้ป่าวประกาศแก่ไพร่ฟ้าประชาชน
ได้ยินว่าเจี่ยงฮองเฮาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันยอมรับสารภาพเรื่องหอละครว่านฉ่ายอย่างจนใจ แต่เรื่องวางยาฉินอ๋อง หลักฐานได้มลายหายไปแล้ว เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับออกมา
อย่างไรเสีย ทำร้ายองค์ชายเพียงพระองค์เดียวกับทำร้ายองค์ชายสองพระองค์ก็มีความแตกต่าง สามารถลดโทษทัณฑ์ลงไปเรื่องหนึ่งได้ย่อมดีอยู่แล้ว
ก่อนเจี่ยงฮองเฮาจะไปสำนักพระราชวังหนึ่งวัน อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังร่ำเรียนอยู่ที่โถงใหญ่กับเหล่าแม่ชี
ก็มีคนมาที่อารามฉางชิง
ขันทีที่มาหาให้แม่ชีที่ดูแลสำนักเรียกอวิ่นหว่านชิ่นออกมา แล้วกล่าวว่า “ไท่จื่อมีรับสั่งให้พระชายาฉินอ๋องเข้าเฝ้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นหนังตากระตุก กล่าวอย่างแฝงความนัยว่า “เรื่องเลวๆ ที่ควรจะทำก็ทำเสร็จแล้ว ไท่จื่อยังมีอันใดอยากจะสั่งอีก ไปหาคนอื่นแทนเถิด”
ขันทียิ้มกล่าว “พระชายาฉินอ๋องช่างกล่าวได้…หรือเรื่องที่ไท่จื่อเรียกท่านไปพบจะมีแต่เรื่องใช้งานหรือ ยังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นอยู่ ท่านตามข้าน้อยมาเถิด!”
ณ สวนดอกไม้ของเรือนหลังตงกง
ดอกเหมยในสวน เกสรงดงามสดใส ยื่นกิ่งชูก้านด้วยความภาคภูมิใจ
ตรุษจีนได้ผ่านพ้นไป อากาศก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้น บรรดานางกำนัลที่เดินอยู่ตรงระเบียงเอย บนบันไดเอยล้วนสวมใส่อาภรณ์ที่บางลงมาไม่น้อย ลมที่พัดโชยกระทบใบหน้าก็อบอุ่นขึ้นแล้ว
ไท่จื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมาแล้วก็หยักยิ้มกว้าง “ชิ่นเอ๋อร์ มานี่สิ”
อวิ๋นหว่านชิ่นที่ยืนอยู่ด้านนอกไปสองสามก้าวกลับไม่เดินไปหา “ไท่จื่อเรียกหม่อมฉันมามีเรื่องอันใดหรือ”
ไท่จื่อเห็นนางรักษาระยะห่างก็พลันหงอยลง พระพักตร์เจือความผิดหวังอยู่เล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ยังมีเหตุผลให้สนิทชิดใกล้นาง แต่พอเรื่องของฮองเฮาผ่านไป ก็หาโอกาสได้ยากแล้ว พระองค์มองนางเงียบๆ “หากไม่มีเรื่องข้าก็มิอาจเรียกชิ่นเอ๋อร์มาหาหรือ”
“หูตาในวังมีมากเหลือ พระองค์ก็ห่วงเรื่องชื่อเสียงเสียหน่อยเถิด”
ไท่จื่อคิ้วกระตุก แต่กลับไม่แสดงอารมณ์ใด เด็ดเหมยมากิ่งหนึ่ง ถูเล่นไปมาในฝ่ามือใหญ่อย่างเกียจคร้าน “มาสิ”
เพิ่งจะตรัสจบ มุมกำแพงป่าเหมยชมพูนั้น สตรีงดงามสวมอาภรณ์ของวังหลวงนางหนึ่งอุ้มห่อผ้าอ้อมอ่อนนุ่มสีทองเดินเข้ามาเคารพไท่จื่อคราหนึ่ง “ฝ่าบาทเพคะ” แล้วหันไปทางอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยสีหน้าซาบซึ้งจากใจ “คำนับพระชายาฉินอ๋องเพคะ”
เป็นหลานเจาซวิ่น
สายตาอวิ๋นหว่านชิ่นตกลงบนห่อผ้าในอ้อมอกหลานเจาซวิ่นแล้วรับคำนับ “เจาซวิ่น”
สีหน้าของนางที่มองพระนัดดาน้อยล้วนอยู่ในสายตาของไท่จื่อ แล้วทรงมองหลานเจาซวิ่นคราหนึ่ง
หลานเจาซวิ่นพลันเข้าใจจึงขยับเอียงห่อผ้าอ้อมไปด้านหน้าเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าขาวๆ ดวงน้อยๆ ของเซี่ยวเอ๋อร์เสี้ยวหนึ่ง
ทารกน้อยกำลังดูดนิ้ว จุ๊บๆ ดวงตาสีดำสนิทลืมมองอยู่ ปราศจากท่าทางป่วยไข้อย่างคืนนั้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้าลงไปหาอย่างอดไม่ได้ แล้วเอ่ยถามขึ้น “หายป่วยแล้วหรือ”
“คืนนั้นกลับตำหนักบูรพามา ไท่จื่อก็เชิญหมอหลวงสองสามท่านมาดูอาการ รักษาด้วยยาชั้นดีจากสำนักหมอหลวงไม่กี่วัน ยามนี้ก็นับว่าหายดีแล้ว หมอหลวงบอกว่าอุ้มออกมาเดินเล่นรับลมชมอากาศด้านนอกได้อย่างพอเหมาะพอดี” หลานเจาซวิ่นยิ้มกล่าว
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไท่จื่อคราหนึ่งอย่างอดมิได้ ยามนี้พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระนัดดาน้อยดั่งบิดาเปี่ยมเมตตา คราแรกกลับตั้งใจปล่อยให้เจี่ยงอวี๋เอาพระนัดดาน้อยไปทำตามเวรตามกรรม
หากเซี่ยวเอ๋อร์เอาชีวิตไม่รอดขึ้นมาจริงๆ พระองค์ก็จะกลายเป็นคนที่ฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
บุรุษเสื้อคลุมม่วงอาภรณ์ขาวตรงหน้านางนี้ ท่าทางสบายอกสบายใจ รูปงามดั่งเทพเซียน แต่ในพริบตานั้นอวิ๋นหว่านชิ่นมองดูกลับรู้สึกแปลกตาไม่คุ้นเคยอยู่เล็กน้อย
หลานเจาซวิ่นยิ้มเอ่ย “พระชายาฉินอ๋องอยากอุ้มเซี่ยวเอ๋อร์หรือไม่ ดูสิ เซี่ยวเอ๋อร์เอาแต่จ้องมองพระชายา คงจะรู้กระมังว่าพระชายาเป็นผู้มีพระคุณ”
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงอารมณ์ความคิดกลับมา ย้ายสายตาไปยังห่อผ้าอ้อมอีกครั้ง สบเข้ากับใบหน้าของเซี่ยวเอ๋อร์พอดี จึงอุ้มเขามาไว้ในอก ดึงนิ้วของทารกน้อยออกจากปาก ท่าทางเลี้ยงง่ายเชื่อฟัง ไม่กลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย
“ยามปกตินอกจากแม่นมและหม่อมฉันแล้ว เซี่ยวเอ๋อร์ไม่เคยยอมให้คนอื่นอุ้ม พออุ้มก็จะร้อง แต่พอพระชายาอุ้มเด็กคนนี้กลับไม่ร้องสักแอะ” หลานเจาซวิ่นเอ่ย
ช่วยชีวิตเด็กคนนี้ไว้ เหมือนว่าจะมีความรู้สึกพิเศษกับเขา อวิ๋นหว่านชิ่นสัมผัสเบาๆ บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำนมของทารกน้อย เซี่ยวเอ๋อร์หัวเราะร่าออกมาอย่างไว้หน้านาง
หลานเจาซวิ่นเห็นดังนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “ดูแล้วมิได้มีแต่เซี่ยวเอ๋อร์ที่ติดพระชายา พระชายาก็คงจะชอบเซี่ยวเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ปฏิเสธ ขณะกำลังหยอกล้อเซี่ยวเอ๋อร์อยู่นั้น หลานเจาซวิ่นที่มองดูอยู่ข้างๆ กลับได้ยินเสียงไท่จื่อหัวเราะเบาๆ “พระชายาฉินอ๋องกับเซี่ยวเอ๋อร์มีบุญวาสนาต่อกันเช่นนี้ ซ้ำพระชายายังเคยช่วยชีวิตเซี่ยวเอ๋อร์ไว้ วันนี้ก็ผูกสัมพันธ์ฉันท์ญาติกันเสียสิ”
ผูกสัมพันธ์ฉันท์ญาติ? อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นมา
หลานเจาซวิ่นรีบดึงแขนเสื้อนางไว้ กล่าวอย่างจริงใจว่า “ชีวิตของเซี่ยวเอ๋อร์เป็นพระชายาที่ช่วยเอาไว้ ไม่ทราบว่าควรจะตอบแทนเช่นไรดี คงทำได้เพียงยกเด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรมของท่าน กตัญญูและคอยปรนนิบัติดูแลท่าน เซี่ยวเอ๋อร์มีแม่เพิ่มอีกคน ก็เหมือนเพิ่มความโชคดีให้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพระชายาฉินอ๋องเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างหาได้ยากยิ่ง ขอพระชายาโปรดรับเซี่ยวเอ๋อร์ไว้เป็นลูกบุญธรรมด้วยเถิดเพคะ!”