ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 6 สัตว์ภูต (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีเห็นเขาถูกไฟคลอกกับตา ได้แต่ตกใจจนหัวใจแหลกสลาย ไม่สนใจเปลวเพลิงร้อนแรงอีก ปรี่เข้าไปช่วยคน แค่พริบตา ผม ขนคิ้วและเสื้อผ้านางล้วนถูกเผาไหม้ไปหมด เสียงเผาไหม้ดังทั่วร่างราวกับกำลังแยกออก เจ็บปวดอย่างที่สุด 

 

 

“ซือเฟิ่ง!” นางร้องตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง ยื่นมือไปคว้า คว้าไว้ได้เพียงของแข็งๆ หนึ่ง ถูกไฟหลอมละลายไปครึ่ง พอแตะโดนผิวฝ่ามือนางก็ลวกแผ่นหนังไปหมด นางไม่สนใจความเจ็บปวด ใช้แรงกระชากมา เป็นกระบี่เขาที่พกไว้ที่เอว ฝักกระบี่กับตัวกระบี่หลอมรวมกันไปแล้ว 

 

 

นางอึ้งอยู่กับที่ไม่ขยับ มกรนั่นเยาะ “หึ” ขึ้นเสียงหนึ่ง หัวเราะกล่าวว่า “หลอมเช่นนี้ก็ตายแล้วสินะ” 

 

 

เสวียนจีค่อยๆ หันกลับมาถลึงตาใส่เขา เขาถูกจ้องจนขนลุกชัน กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “จะทำไม” 

 

 

นางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าแค่แปลกใจ เทพสวรรค์อวดเบ่งเอาแต่ใจเช่นเจ้าอย่างนี้หรือ คิดฆ่าคนก็ฆ่า คิดเผาที่ไหนก็เผาที่นั่น” 

 

 

มกรยักไหล่กล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “ข้าไม่สน อย่างไรวันหน้าค่อยชดเชยวาสนาคืนให้พวกเขา เทพสวรรค์ลงมาโลกมนุษย์ มนุษย์ธรรมดาควรดีใจถึงจะถูกต้อง” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อะไรคือชดเชยวาสนา มีค่าเท่าหนึ่งชีวิตหรือ” 

 

 

มกรเห็นสีหน้านางเอาเรื่อง เขาเองเป็นคนขี้โมโหขี้รำคาญอยู่แล้ว จึงตวาดดังขึ้นว่า “เจ้าสู้ไม่สู้?! ข้าจะพ่นไฟแล้วนะ!” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าตอบข้า” 

 

 

หากนางร้องไห้ออกมาหรือเข้ามาสู้ตาย บางทีมกรอาจไม่กลัว แต่พอเห็นว่าในยามนี้สีหน้านางนิ่งสงบ น้ำเสียงเย็นเยียบ เขาพลันขนลุกชัน ได้แต่ตอบว่า “ชาติหน้าตอนไปเกิดก็ให้พวกเขาไปเกิดในตระกูลร่ำรวยเงินทอง พื้นที่ที่ข้ายืมผ่านทางล้วนมีผลผลิตสมบูรณ์สามปี ยังไม่นับว่าชดเชยวาสนาหรือ” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “เช่นนั้นคนเหล่านั้นที่เจ้าสังหาร ครอบครัวพวกเขาจะทำอย่างไร มองพวกเขาตายไปเช่นนี้? เสียใจไปชั่วชีวิต?” 

 

 

“ครอบครัว?” มกรเห็นชัดว่าไม่คุ้นเคยกับคำนี้ยิ่ง คิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าหมายถึงอะไร จึงยิ้มกล่าวว่า “คนตายไม่อาจฟื้นคืน นับประสาอันใดกับสุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย ตายช้าตายเร็วไม่เหมือนกันหรือ ไยต้องเอาเรื่องเล็กน้อยมาหาเรื่องข้าด้วย นี่ เจ้าจะสู้ไม่สู้” 

 

 

อยู่ๆ นางก็กล่าวน้ำเสียงดุดัน “ไม่ถูกต้อง! ไม่เหมือน! ขอเพียงมีชีวิตอยู่ก็ย่อมมีความหวัง ยังมีความสุขหัวเราะร่วมกันไปอีกยาวนาน! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าแย่งชิงสิทธิ์นี้ไป! ผู้ใดให้สิทธิ์นี้แก่เจ้า!” 

 

 

มกรตะลึงงัน เห็นนางคิดชักกระบี่อวี่ซือเฟิ่งในมือขึ้นมา ฝักกับตัวกระบี่หลอมรวมกันไปแล้ว คิดว่าคงชักไม่ออก เขาเยาะกล่าวว่า “พูดตั้งนาน จะสู้ไหม! ตอบรับแต่แรกไม่ดีกว่าหรือ นี่ไม่ใช่กระบี่ติ้งคุน ข้าจะดูสิว่าเจ้ามีความสามารถปล่อยอัคคีสมาธิจิตอะไรออกมา” 

 

 

นางเหมือนไม่ได้ยิน พลิกข้อมือลูบคลึงกระบี่ แสงเพลิงรอบๆ ปะทุลุกโชนขึ้น ปลายกระบี่มีเปลวไฟลูกหนึ่ง สีสันร้อนแรงโชติช่วง นิ้วมือนางค่อยๆ ลูบผ่านตัวกระบี่วาววับ ทุกตารางนิ้วที่นางลูบผ่าน พริบตาก็มีเปลวไฟสว่างวาบ สุดท้ายลูกไฟโชติช่วงที่ปลายกระบี่ก็ค่อยๆ หายไป กลายเป็นไฟสีส้มจางๆ 

 

 

ที่เรียกว่าติ้งคุน ก็คือสยบฟ้าดิน ฟ้าดินอยู่ที่ใจ ติ้งคุนอยู่ในมือหรือไม่ ต่างอันใด 

 

 

“เข้ามาสิ” นางกล่าวเบาๆ “ข้าจะดูว่าเจ้ามีความสามารถอะไร” 

 

 

มกรนั่นกำลังจะปล่อยทะเลเพลิงล้อมนางไว้ พลันเห็นแสงไฟรอบๆ เพลิงลุกโหมสูงราวร้อยจั้ง ม้วนตัวส่ายไปมา ตามมาด้วยลูกไฟสีทองพุ่งมาอย่างรวดเร็ว เสียงดังวาบม้วนตัวกลางอากาศ พริบตาก็สูงขึ้นไปไกลมาก ในระยะสายตาได้แต่มองเห็นเป็นเพียงแสงไฟสีทองส่องระยิบ 

 

 

เขา “อึก” ขึ้นเสียงหนึ่ง แก้มพลันเจ็บปลาบเหมือนถูกไฟลามเลีย เขาตกใจรีบกระโดดหลบ มองกระบี่เสวียนจีมาอยู่ตรงหน้า ปลายกระบี่มีเปลวเพลิง ถึงกับใช้เพลิงของมกรเปลี่ยนเป็นอัคคีสมาธิจิต 

 

 

ในยามนั้นเขาตั้งสติได้ สองตาส่องประกายร้องว่า “เจ้าสามารถเช่นนี้! ข้าชอบ!” พริบตาไฟรอบๆ ก็รวมตัวกันยกตัวเขาขึ้นสูง และค่อยๆ รวมกันมากขึ้น ร่างเขาถูกเพลิงล้อมเป็นชั้นๆ มองไม่เห็นอีก เปลวไฟลูกใหญ่นั่นพลันส่งเสียงดัง สยายปีกเพลิงออกกระพือ ก็คือร่างเดิมของมกร 

 

 

ปีกเพลิงปกคลุมทั่วฟ้าค่อยๆ กระพือลูกไฟร่วงลงจากฟ้าราวสายฝนหนาแน่นตกลงพื้น พริบตาก็ปกคลุมทั่วราวกับมีชีวิต ลุกลามมาทางที่เสวียนจีอยู่ รอบกายนางมีวงเพลิงสูงสองวงล้อม ยากเคลื่อนไหว 

 

 

มกรหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “เจ้าชอบไฟ ข้าก็ให้เจ้ามากอีกหน่อย! กลัวแต่เจ้ากินไม่ไหว!” 

 

 

เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เกรงแต่ว่าเจ้าให้ไม่ไหว!” 

 

 

กระบี่ในมือนางวาดรัศมีอัคคีสมาธิจิต ฟันลูกเพลิงนั่นขาดเป็นสองท่อน นางลงมือวาดรัศมีใส่ลูกเพลิงนั่นราวสายฟ้า กล่าวเบาๆ ว่า “เผา! หลอม!” ลูกไฟนั่นในยามนั้นก็หลอมรวมใหม่อีกครั้ง บนล่างกระทบกันจนเปลวไฟซ่านกระเซ็นสี่ทิศกลายเป็นอัคคีสมาธิจิตสีส้ม กระบี่ในมือราวกับมังกรหยอกหงส์เริงระบำโดดขึ้นลง ตัดลูกไฟต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เรียงตัวเป็นเส้นตรง ข้อมือนางสะบัดออกไป ในยามนั้นแสงเพลิงเหล่านั้นหลอมเป็นมังกรเพลิงสายหนึ่ง สยายกรงเล็บทะยานขึ้น 

 

 

ปีกเพลิงมกรสยายออก พลันกลายร่างมนุษย์ไหลลื่นลงจากท้องฟ้าพร้อมลูกไฟ หลบมังกรเพลิง แสยะยิ้มกล่าวว่า “ก็ไม่เห็นเป็นไร!” ด้านหลังเขายังมีปีกเพลิงอีกคู่ที่มีแสงเพลิงโชติช่วง พลันยืดตัวยาวลงจากฟ้าวาดเลียบขนานไปกับพื้น พริบตาก็กลายเป็นเถ้าดำไปทั้งแถบ เปลวไฟที่มกรเรียกมา กับเปลวไฟบนร่างเขานั้นต่างกัน โดยเฉพาะสองปีกเพลิงนั่นก็ยิ่งเป็นสุดยอดแห่งเพลิง 

 

 

เขามายังโลกมนุษย์ครั้งนี้เดิมเพราะน้อยอกน้อยใจ มกรอารมณ์ร้อน ชอบออกอาการน้อยใจ แดนสวรรค์ล้วนรู้ หากเพราะราชันสวรรค์เอ็นดูเขา ดังนั้นทุกคนจึงคร้านจะสนใจเขา เขาผ่านทางมาบนโลกมนุษย์ก็ย่อมจงใจก่อเรื่องเพื่อให้คนด้านบนได้เห็น ปรากฏยังไม่มีคนสนใจเขา อดรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่ามาถึงที่นี่ถึงกับมาเจออดีตเทพสงคราม เขาจะไม่หาอะไรเล่นสักหน่อยได้หรือ 

 

 

ใช่ว่าเขาคิดสังหารนางจริง แต่พอลงมือแล้วก็ไม่มีทางให้ถอยแม้แต่น้อย เดิมเทพเซียนก็ไม่อนุญาตให้สังหารสรรพชีวิตตามอำเภอใจอยู่แล้ว แต่กฎนี้ในสายตาเขาก็แค่สุนัขผายลม มนุษย์ธรรมดาเวียนว่ายก็เหมือนชีวิตเซียนไม่มีวันจนสิ้น มนุษย์ธรรมดาชีวิตหนึ่งในสายตาเขาก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ จัดการตัดตอนให้จบสิ้นตามอำเภอใจไปเวียนว่ายใหม่ ในสายตาเขาดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด นับประสาอันใดกับมีเขาคอยอำนวยวาสนาชดเชย การไปเวียนว่ายตายเกิดของคนเหล่านั้นก็เหมือนโชคดีหลังประสบโชคร้ายก็เท่านั้น 

 

 

เขาไม่อาจเข้าใจความโกรธของเสวียนจี และก็คร้านจะเข้าใจ 

 

 

ลมร้อนม้วนหอบมา รูขุมขนนางลุกชัน หากสีหน้าเย็นเยียบ เขาพลันคิดล้อเล่น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าโมโหเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจ หากคิดให้ข้าเข้าใจ ไยไม่ใช้พลังเทพสงครามเจ้ามาสยบข้า” 

 

 

ขณะที่พูด ปีกเพลิงเขาก็มาถึงข้างกายนางแล้ว สูงราวสิบกว่าจั้ง พื้นที่ด้านล่างถูกปีกเพลิงเขาเผาจนแยกออกเป็นร่องกว้างส่งเสียงเปลวไฟแผดเผาดังเปรี๊ยะไม่หยุด ปีกเพลิงขนาดใหญ่ล้อมนางไว้ตรงกลาง ปีกเพลิงนี่เป็นสุดยอดอาวุธไฟของมกร บรรดาเทพล้วนหวาดกลัวสามส่วน เขาไม่เชื่อว่านางจะรับมือได้ 

 

 

ดังคาด เป็นนานสองปีไร้การเคลื่อนไหว คิดว่าเด็กหญิงในนั้นคงถูกเผาไหม้ไปแล้ว มกรหัวเราะดังลั่น สยายปีกเพลิงออกท่าทางได้ใจ “เทพสงครามก็แค่นี้หรือ!” 

 

 

พลันได้ยินนางกล่าวเสียงแผ่วเบาจากด้านล่าง “เผา! หลอม!” แสงกระบี่วาบใส่สองปีกเขา มกรตกใจสะดุ้ง รู้สึกถึงความเจ็บปลาบบนปีกทั้งสองอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตามมาด้วยลำแสงจากกระบี่นาง ปีกเพลิงตนตั้งแต่หัวยันท้ายค่อยๆ กลายเป็นไฟสีส้มสด 

 

 

เขาคำรามดัง เห็นปีกเพลิงตนถูกนางหลอมด้วยอัคคีสมาธิจิตอยู่ตรงหน้า เปลวไฟใต้ร่างก็เริ่มมอด ก่อนจะร่วงลงพื้นกลิ้งหลุนๆ ส่ายไปมาราวกับกระด้งฝัดข้าว ส่งเสียงร้องดังราวสุกรถูกเชือด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ 

 

 

“นังเด็กสมควรตาย! นังเด็กหน้าเหม็น! สักวันหนึ่งข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า!” เขาร้องเจ็บปวดพลางตะโกนด่าทอ สองปีกเพลิงถูกอัคคีสมาธิจิตนางกดทับไว้ ไฟถึงกับเผาไฟด้วยกันได้ เป็นสิ่งที่แต่ไรมาเขาคิดไม่ถึง เขาไม่อาจเก็บปีกเพลิงกลับคืน ได้แต่เจ็บปวดจนสีหน้าซีดเผือด แทบอยากจะใช้กระบี่ปลิดชีพตนเองเพื่อไปให้พ้นจากความเจ็บปวดนี้ 

 

 

เสวียนจีถือกระบี่เดินเข้ามาไม่พูดพร่ำทำเพลงกับเขา ยกกระบี่อวี่ซือเฟิ่งขึ้น กระบี่เต็มไปด้วยอัคคีสมาธิจิตพอที่จะเผาทุกสิ่งให้ราบคาบ นางตวัดกระบี่กำลังจะตัดศีรษะเขา พลันได้ยินเสียงคนร้องดังขึ้นด้านหลังนางว่า “อย่าตัดหัว! สะกิดแผลเดียวก็พอ!” 

 

 

ทั้งสองอึ้งไป หันกลับไปมอง เป็นเงาร่างดำของอวี่ซือเฟิ่ง กางเกงถูกเผารุ่งริ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ท่าทางอเนจอนาถ มือปิดบังส่วนสำคัญตรงกลางเอาไว้ 

 

 

“เจ้า…” เสวียนจีตัวแข็งทื่อ ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นเขา 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจกล่าวว่า “เร็ว ใช้กระบี่สะกิดเขาให้เป็นแผล!” 

 

 

ยามนี้ในหัวสมองเสวียนจีวุ่นวายไปหมด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ได้แต่ทำตามอย่างงุนงง สะกิดใบหน้ามกรเป็นแผลหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “แล้วก็สะกิดร่างตัวเองแผลหนึ่ง! เอาเลือด…หยดใส่บาดแผลเขา!” 

 

 

เสวียนจียังทำตามอย่างงงงวย ไม่ลังเลที่จะใช้กระบี่สะกิด ก่อนคว้าคอมกรขึ้นมาหยดเลือดลงไป มกรนั่นย่อมรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ได้แต่กลัวจนขนหัวตั้ง ร้องดังขึ้นว่า “ไม่เอาเช่นนี้! พวกเจ้าลบหลู่สัตว์เทพเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!” 

 

 

แม้ว่าเสวียนจีไม่รู้เช่นนี้ทำเพื่ออะไร แต่อวี่ซือเฟิ่งยังไม่ตาย เขาบอกให้นางทำเช่นนี้ อย่าว่าแต่ปาดเป็นแผลหลายแผลเลย แม้ฟันแขนขานางขาด นางก็ยอม 

 

 

เลือดนางหยดลงบนบาดแผลที่หน้าเขากลับไม่ไหลออก หากค่อยๆ ซึมลงไป อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เรียกชื่อเขา พันธะสัญญาเสร็จสิ้น!” 

 

 

นางกล่าวเบาๆ ว่า “มกร” 

 

 

ในใจมกรย่อมไม่ยินยอมอย่างเด็ดขาด แต่เลือดไหลเข้าสู่ร่างกายแล้ว เขาไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย ความเป็นสัตว์เทพบีบให้เขาต้องยอมก้มหัวโขกศีรษะ เสียงนอบน้อมกล่าวว่า “มกรคารวะเจ้านาย จากนี้ไม่จากไปไหน คุ้มครองนายไปชั่วชีวิต” 

 

 

“อา?” เสวียนจีแปลกใจ หันกลับไปมองอวี่ซือเฟิ่ง เขาหาอะไรอยู่นาน จนหาเศษเสื้อผ้าที่ถูกเผาไหม้ได้ชิ้นหนึ่งมาปิดบังส่วนสำคัญเอาไว้ ก่อนเดินเข้ามากล่าวว่า “ตอนนี้เขากลายเป็นสัตว์ภูตเจ้าแล้ว เสวียนจี” 

 

 

สัตว์ภูต?! นางตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน ร้อนใจกล่าวว่า “ข้าไม่อยากได้เขาเป็นสัตว์ภูต! เขา…เขาฆ่าเจ้า…ไม่ใช่สิ! ซือเฟิ่ง เจ้ายังไม่ตาย…” 

 

 

ในสมองนางสับสนไปหมด อดแผดเสียงร้องไห้ดังลั่นออกมาไม่ได้ พุ่งเข้าสู่อ้อมกอด ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้ายังไม่ตาย! เจ้ายังไม่ตาย! ข้าคิดว่าเจ้าตายแล้ว! ข้าจะฆ่าเขาก่อนค่อยฆ่าตัวตายตามเจ้า!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งปลอบนางอย่างอ่อนโยน กว่าจะทำให้อารมณ์นางสงบลงได้ จึงได้กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้า…หลบไว เพียงแต่เสื้อผ้าโดนเผา ตัวไม่เป็นไร แต่ร่างกายเช่นนี้ไม่น่ามอง ดังนั้นจึงหาทางจัดการอยู่นานไปหน่อยค่อยออกมา” 

 

 

เสวียนจีสูดจมูกเต็มแรง พึมพำกล่าวว่า “เกี่ยวไรกัน ข้าไม่สนสักนิด แม้ร่างเปลือยข้าก็ไม่สน…เมื่อครู่ข้าเกือบเสียสติแล้ว” 

 

 

เจ้าไม่สนใจ ข้าสนใจมาก…ในใจอวี่ซือเฟิ่งคิดพลางหัวเราะเฝื่อนๆ ตบไหล่นางเบาๆ หันกลับไปมองมกรหน้าตาบึ้งตึง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าไม่ได้อยากได้สัตว์ภูตหรือ ตอนนี้จับสัตว์เทพอย่างมกรได้ควรจะดีใจสิ นี่เป็นโอกาสหายากในรอบพันปีเลยนะ” 

 

 

เสวียนจีถลึงตาใส่มกร โมโหกล่าวว่า “ข้าไม่อยากได้เขาเป็นสัตว์ภูต!” 

 

 

กว่ามกรจะรอให้อัคคีสมาธิจิตบนปีกสลายพลังลงได้ก็นานอยู่ ยังคงบาดเจ็บ พอได้ยินนางรังเกียจตนเองเช่นนี้ก็รีบออกอาการเย่อหยิ่งตามวิสัยสัตว์เทพ กล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “ข้าก็ไม่อยากรับใช้หญิงหน้าเหม็นเช่นเจ้า! เจ้าคิดว่าข้าอยากหรือ?! เจ้าทำพันธะสัญญานี้เอง!” 

 

 

เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เอาคืนๆ! ข้าไม่เอาเจ้า!” 

 

 

มกรโมโหจนแทบจะเป็นลม กล่าวอย่างโมโหโทโส “เจ้าเห็นพันธะสัญญาเป็นของเด็กเล่นหรือ?! ทำก็ทำแล้ว! ข้าเป็นสัตว์เทพ องอาจมาชั่วชีวิต! ถูกทำลายลงด้วยมือเจ้า! ข้าแทบอยากจะฆ่าเจ้าทิ้งตอนนี้เลย!” 

 

 

เสวียนจีพลันนึกอะไรได้ขึ้นมา ร้องดังขึ้นว่า “ข้าฆ่าเขา! พันธะสัญญาก็จบใช่ไหม” 

 

 

มกรอึ้งไป ตกใจถลึงตาใส่นาง รู้ว่านางพูดจริงทำจริง อดขดตัวลงกับพื้นไม่ได้ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ ดึงนางไว้พลางตำหนิเบาๆ “อย่าเอาแต่ใจ มีมกรเป็นสัตว์ภูต หลายคนคิดอยากได้มากที่สุด เจ้าไม่ใช่อยากช่วยหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงหรือ ไยต้องคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ด้วย” 

 

 

เสวียนจีได้ยินชื่อจงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงก็สะดุ้ง ในยามนั้นไร้วาจาจะกล่าวเป็นนาน ก่อนจะถลึงสายตารังเกียจใส่มกรที่ขดตัวอยู่บนพื้น กล่าวว่า “อย่างนั้น…ข้าก็จะทนรับเจ้าไว้ หากเจ้าสังหารคนมั่วซั่วอีก ข้าก็จะสังหารเจ้าทิ้งแน่!” 

 

 

“ถุย! นังหญิงหน้าเหม็น! เจ้าฝันไปเถอะ!” มกรสบถด่า พลันเป็นลมสลบไป ที่แท้ปีกเขาบาดเจ็บมาก เขาคิดแต่หาคู่ประลอง จึงได้แอบลอบลงมาเล่นบนโลกมนุษย์ ปรากฏว่าไปๆ มาๆ กลายมาเป็นสัตว์ภูตของนาง ความคับแค้นน่าอับอายนี้จะทำใจยอมรับได้อย่างไร 

 

 

เขาสลบไป ปีกเพลิงย่อมเก็บคืนกลับ อวี่ซือเฟิ่งอุ้มเขาขึ้นจากพื้น หมวกสานบนศีรษะเขาก็ร่วงลงพื้น ผมยาวสีเงินยวงส่องประกายทิ้งตัว เนื่องจากสลบไปแล้ว จึงดูไม่ได้ร้ายกาจเหมือนเมื่อครู่ ดูแล้วก็เป็นชายหนุ่มอายุน้อยที่หน้าตาดี 

 

 

“เสวียนจี ต้องอยู่ร่วมกับสัตว์ภูตดีๆ อย่าทะเลาะกัน” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถอดเสื้อผ้าบนร่างมกรออกมาสวม จากนั้นแบกเขาขึ้นมาราวกับแบกกระสอบข้าว จูงมือเสวียนจีเดินออกไปจากพื้นที่นรกร้อนแรงน่ากลัวนี้ 

 

 

ภาพเหตุการณ์เป็นตายร้อนแรงดังไฟแผดเผา สุดท้ายถึงกับกลายเป็นจับมกรมาเป็นสัตว์ภูตได้ การค้านี้นับว่าไม่ขาดทุน 

 

 

ขณะอวี่ซือเฟิ่งรู้สึกพึงพอใจอยู่นั้น พลันได้ยินเสวียนจีตกใจกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง! เจ้าเคยบอกว่าต้องหั่นศีรษะจึงจะได้สัตว์ภูตมา! ข้า…หรือว่าข้าต้องหั่นศีรษะครั้งหนึ่ง” 

 

 

หั่นศีรษะ…? เขาอึ้งไป พลันหัวเราะดังลั่น ไม่ว่าเสวียนจีถามอย่างไร เขาก็เอาแต่ยิ้ม ไม่ยอมตอบ