หลังฟื้นจากสลบ มกรเย่อหยิ่งยโสก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา ไม่กิน ไม่นอน เอาแต่ขดตัวอยู่ใต้โต๊ะกินข้าวของชาวบ้าน เห็นได้ชัดว่าเขาทนรับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมากนี้ไม่ได้ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับความจริงได้ เขาเป็นถึงใต้เท้ามกรแดนสวรรค์ สัตว์เทพเพลิงถึงกับต้องมากลายเป็นสัตว์ภูตของนังหนูมนุษย์ธรรมดา แม้ชาติก่อนนางเป็นถึงเทพสงครามร้ายกาจ แต่ชาตินี้นางแค่มนุษย์ธรรมดา…นับประสาอะไรกับนางทำความผิดถูกลงโทษให้ลงมารับทุกข์แห่งการเวียนว่าย วันหน้ากลับคืนแดนสวรรค์แล้วก็ไม่อาจเป็นแม่ทัพอีก ย่อมต้องถูกตามเฝ้าจับตา ไม่มีอนาคตอันใดจะให้กล่าว ตนเองมาติดตามนางก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าชีวิตนี้ไร้อนาคต ชีวิตเขาก็ย่อมถูกทำลายลงด้วยสองมือนางแล้ว
เขาคิดไปคิดมา ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจมาก ส่วนปีกที่ถูกเผานั้นก็ยิ่งปวดจนสุดแสนทานทน ปวดมาก อยากจะร้องไห้
ชามกระเบื้องหนึ่งพลันถูกส่งมาเบื้องหน้าเขา ในนั้นมีอาหารส่งกลิ่นหอมฉุยเต็มชาม เสวียนจีนั่งยองอยู่ข้างโต๊ะเลิกผ้าคลุมโต๊ะขึ้น สองตากลมโตจ้องมองเขากล่าวว่า “นี่ กินข้าวสิ วันนี้ต้องเร่งเดินทางนะ”
มกรผินหน้าหนีอย่างรังเกียจ เสียงแหบพร่าว่า “ข้าไม่ได้ชื่อนี่”
“อ้อ เช่นนั้น มกร กินข้าวสิ ความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าฝืนทนรับเจ้าเป็นสัตว์ภูตแล้ว อย่ามาเล่นตัวอีก ไม้กลายเป็นเรือแล้ว เจ้าและข้าล้วนไม่อาจกลับตัวแล้ว”
นางกล่าวได้ดูน่าสงสารเห็นใจ ราวกับอึดอัดยิ่งกว่าที่ต้องมารับเขาเป็นสัตว์ภูต เขาจึงไม่พอใจมาก
มกรรู้สึกเพียงแค่โมโหมาก น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ผู้ใดฝืนทน?! ข้าติดตามเจ้าสิเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิต!”
“อ้อ เช่นนั้น เจ้าก็ไปตายเสีย” นางวางชามข้าวบนพื้น สะบัดหน้าไปทันที
“เจ้าสิไปตาย! นังหญิงหน้าเหม็น!” เขาโมโหจนยื่นศีรษะออกจากใต้โต๊ะตามมาด่า ผู้ใดจะรู้ว่านางยังไม่ได้ไปไกล ยองนั่งอยู่ข้างโต๊ะ พอเขายื่นหน้าออกมาก็เผชิญหน้านางพอดี ทั้งสองถลึงตาใส่กัน ต่างมองอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมกัน
เสวียนจียกนิ้วจิ้มจมูกเขาเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ราวกับเสียงสุนัขเห่า”
เขาโมโหแทบจะกำหมัดชกนาง สัตว์ภูตออกแรงกลายเป็นแค่เหมือนค้อนทุบเบาๆ ช่างราวกับช่วยนางทุบไหล่ให้นาง! เสวียนจีสบายคอโยกไปมา “โอย ตรงนี้…เข้ามาทางซ้ายหน่อย อืม ล่างอีกหน่อย…ฝีมือเจ้าไม่เลวนี่ เดี๋ยวไปช่วยทุบให้ซือเฟิ่งหน่อย”
อา อา อา อา อา อา! เหตุใดเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปได้!? ศักดิ์ศรีเขาถูกทำลายลงอีกครั้ง หมุนกลับเข้าใต้โต๊ะ เตะชามข้าวออกมา ไม่สนว่าเสวียนจีจะแหย่อย่างไร เขาล้วนไม่สนใจแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองท่าทางราวเด็กน้อยของเสวียนจีแกล้งมกรไม่เลิก อดถอนใจส่งเสียงหัวเราะดังไม่ได้ “เจ้าอย่าเอาแต่รังแกเขา ต้องอยู่ร่วมกับมกรดีๆ สร้างความผูกพัน”
“ความผูกพัน?” พอเสวียนจีคิดว่าต้องมาร่วมมือเป็นพวกเดียวกับฆาตกรนี่แล้ว ตนเองลูบหัวเขา เขาเหมือนเสี่ยวอิ๋นฮวาที่เชื่อฟังยอมทำตามคำสั่ง…ภาพนี้ทำเอานางเหงื่อแตกพลั่ก รีบส่ายหน้า “ไม่เอา อย่างไรเขาก็ไม่คิดเป็นสัตว์ภูตของข้า ข้าเองก็ไม่อยากได้เขา กลับไปค่อยหาที่ข้าชอบดีกว่า”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “เจ้าทำพันธะสัญญาแล้ว ไม่มีทางถอยแล้ว”
“ชีวิตข้าต้องผูกกับเจ้าหมอนี่หรือ?!” เสวียนจีจตกใจมาก พลันรู้สึกอนาคตมืดมิด
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ เขยิบเข้าใกล้หูนาง กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าดูเขาไม่กิน ไม่ดื่ม เอาแต่ขดตัวใต้โต๊ะเช่นนี้ เหมือนกับลูกสุนัขที่ถูกคนจับมาไหม เจ้าก็ถือเสียว่าฝึกเขาให้เหมือนลูกสุนัขสิ ยากจะอยู่ร่วมกันจริงหรือ”
นี่เป็นเคล็ดลับเฉพาะของอวี่ซือเฟิ่ง แววตาเสวียนจีส่องประกายวาวดังคาด ก้มตัวลงเลิกผ้าคลุมโต๊ะขึ้น มกรในยามนั้นแยกเขี้ยวใส่นางท่าทางดุร้าย เหมือนกับลูกสุนัขที่ถูกจับมาใหม่จริงๆ ทั้งเอาแต่ใจและไม่ยินยอม นางยืดตัวขึ้นหันกลับมา สองตาทอประกายมองอวี่ซือเฟิ่ง ความอึดอัดเมื่อครู่หายสิ้นไปทันที
เขาได้ใจยิ้มกล่าวว่า “เขาจะร้ายกาจอย่างไรก็แค่สัตว์ตัวหนึ่ง ไม่อาจใช้วิธีการที่ใช้กับคนมารับมือ”
เสวียนจีพยักหน้าหงึก นางว่าแล้ว ซือเฟิ่งรู้อะไรมากมาย ฟังเขาย่อมไม่ผิด นางรีบตักข้าวคีบกับข้าว กะใช้อาหารเลิศรสหลอกล่อ
มกรที่ขดอยู่ใต้โต๊ะไม่พอใจ กล่าวว่า “ไอ้หนูหน้าเหม็นมีคุณสมบัติอะไรมาว่าข้า! เจ้าก็ไม่ใช่สัตว์หรือ”
อวี่ซือเฟิ่งเลิกผ้าคลุมโต๊ะขึ้นก้มลงมองเขาเงียบๆ มกรถูกหลู่ศักดิ์ศรี แทบอยากจะปลิดชีพตนให้จบสิ้น กล่าวอย่างดุร้ายว่า “เจ้าก็ไม่ใช่คน ความสามารถกล่าววาจาพลิกลิ้นของเจ้านั้นหลอกได้แต่นังหญิงหน้าเหม็น หลอกข้าไม่ได้หรอก! กลับไปจะรายงานเบื้องบนให้ถลกหนังเจ้าทิ้ง!”
อวี่ซือเฟิ่งมองเขาเยียบเย็น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าไปรายงานสิ ข้าไม่ได้รั้งไว้นี่”
มกรโมโหกล่าวว่า “เจ้าเห็นข้าขี้ฟ้องหรือ?! ข้าไม่รายงาน!”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบางกล่าวว่า “เป็นคนก็มีข้อดี เจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ข้าฟังเจ้าร้องเพลงก็ว่าใจกว้างอยู่ คิดไม่ถึงเป็นคนใจคอคับแคบอยู่ด้วยยาก”
“เจ้าสิใจคอคับแคบอยู่ด้วยยาก!” มกรโมโหอีกแล้ว “ข้าไม่พอใจจะคุยกับเจ้า! เจ้าจิตใจชั่วร้าย!”
เขายังจำได้ว่าเป็นอวี่ซือเฟิ่งที่สอนเสวียนจีจับเขาเป็นสัตว์ภูต ความแค้นนี้ใหญ่หลวง เขาจะจดจำไปชั่วชีวิต! ครั้งหน้าจะต้องหาโอกาสเผาให้มอดไปเลย
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “เจ้าน่าจะไม่โง่ ในเมื่อทำพันธะสัญญา ไยต้องมีเรื่องกัน นางเป็นนายเจ้าก็ไม่ได้หลู่เจ้านี่ หลายพันปีผ่านมา เจ้าก็ไม่มีอนาคตอะไรนี่ ยังคิดมีวันหน้าอะไรอีก ข้าว่านะ คนข้างบนไม่ได้เห็นเจ้าในสายตา? เจ้ามาก่อเรื่องวุ่นวายในโลกมนุษย์ ก็ไม่เห็นมีคนมาตาม เห็นชัดว่าพวกเขาไม่สนใจเจ้า”
มกรถูกเขาพูดแทงใจ ไม่ยอมรับการสั่งสอนจากเจ้าหนูนี่ จึงหลับตาลงแกล้งตาย
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “ครั้งนี้เจ้าข้ามแดนลงมา น่าจะมีเรื่องอื่นทำกระมัง คืออะไร”
มกรตกใจ เบิกตาจ้องมอง ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร!”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย “เจ้าบอกเอง ยืมเส้นทางมนุษย์เดินทางย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นสัตว์เทพ ก็ควรมีความสามารถเก็บความสามารถตนเอง ตั้งใจก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ เห็นชัดว่ากำลังเอาแต่ใจ ให้ข้าเดานะ เจ้ามาทางตะวันตก กะไปเขาปู้โจวซาน?”
มกรอย่างตกใจกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าผีน้อยนี่…หรืออ่านใจได้…”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้าเหมือนโดนใส่ความ “อ่านใจย่อมไม่เป็น แต่มารปีศาจที่มาแดนมนุษย์เคลื่อนไหวผิดปกติ วางแผนทำลายโซ่หมุดทะเล แดนสวรรค์ย่อมไม่นั่งดูเฉยกระมัง ส่งเจ้ามาตรวจดู? ไปแดนปรภพดูมารปีศาจพวกนั้น?”
มกรกัดฟันหยุดปากไว้ ตัดสินใจไม่สนใจว่าเขาถามอะไร ตนเองล้วนไม่พูดอันใดอีก เขาไม่ชอบคนฉลาดเช่นนี้ที่สุด เทียบเท่ากับตงฟางไป๋ตี้แล้ว เจ้ายังไม่ทันอ้าปาก เขาก็กล่าวสิ่งที่เจ้าคิดในใจออกมาหมดแล้ว ช่างน่าขนลุกแท้
อวี่ซือเฟิ่งมองเขาไม่กล่าวอันใดก็ไม่คิดบีบคั้นเขาอีก หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ฟ้าไม่อาจคาดเดา หลักการไม่อาจวางแผน ชะตาล่วงรู้ เกิดเหตุเมื่อใด นี่เจ้าร้องเอง หรือว่าได้แค่ร้อง ไม่เข้าใจว่าหมายความอย่างไร ในเมื่อเจ้ากลายเป็นสัตว์ภูตนางก็ย่อมมีเหตุ ไยไม่ทำใจยอมรับเสีย”
“ผายลม ผายลม! สุนัขผายลมเน่า! เน่าจนไม่อาจดม!” มกรพ่นด่า อุดหูแน่น
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มปล่อยผ้าคลุมโต๊ะลง นั่งตัวตรง เสวียนจีเพิ่งจะตักอาหารเสร็จ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้าคุยอะไรกับเขา”
“ไม่มีอะไร…อืม ก็แค่เรื่องสัตว์เลี้ยงน่ะ หากต้องเป็นสัตว์ภูตอะไรพวกนั้น” เขาหัวเราะเบาๆ เคาะโต๊ะลุกขึ้นกล่าวว่า “นี่ เขากินเสร็จแล้วก็จะออกเดินทางแล้ว ข้าไปเก็บของก่อน”
เสวียนจีมุดไปใต้โต๊ะมองมกรถลึงตาใส่ตนเอง นางพยายามฝืนยิ้มเมตตา กล่าวเบาๆ ว่า “กินข้าวสิ มกรต้องเป็นเด็กดี”
“เด็กดีบ้าบออะไรของเจ้า!” เขาโมโหอีกแล้ว สะบัดอุ้งมือจะปัดชามข้าวทิ้ง เสวียนจีรีบยกหนี กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าวก็ต้องกินนะ แม้เจ้าจะโมโหอีกอย่างไร ความจริงก็ไม่อาจย้อนคืน ข้ายอมรับได้หมดแล้ว เจ้ายังมีอะไรปล่อยวางไม่ได้อีก”
ปล่อยวางท่าทางผิดหวังของเจ้าที่ได้มกรเป็นสัตว์ภูตแล้วกลับเหมือนต้องทำใจยอมรับความสงสารนั่นอย่างไรเล่า! เขารู้สึกเพียงแค่ในหัวมีเสียงก้องดังไม่หยุด สับสนวุ่นวายไปหมด ได้แต่กอดเข่าขดตัวนิ่ง ปฏิเสธที่จะเสวนากับนาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงสวบสาบข้างๆ เขาแอบเหลือบตามอง เห็นนางควักยาสมานแผลกับผ้าแพรออกจากแขนเสื้อ ใช้ปิ่นปักผมป้ายยาออกมานิดหน่อยยื่นไปข้างใบหน้าเขา
“เจ้าทำอะไร!” เขาขนลุกตั้งชันระวังตัวทันที รีบหลบนาง นางลงมือไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อย คว้าผมเขาไว้ลากเข้ามา เจ็บจนเขาร้องดัง “ปล่อยนะ! เจ็บนะ!”
หน้าเย็นวาบ ยาบนปิ่นปักผมป้ายลงบนบาดแผล นี่เป็นรอยแผลจากระบี่ที่นางทำพันธะสัญญาในครั้งแรก มกรตัวแข็งทื่อ กล่าวติดกันว่า “เจ้า เจ้า เจ้า อย่าคิดว่าแค่ใจดีเล็กๆ น้อยๆ ข้า ข้า ข้า ข้าก็จะยอมให้เจ้า! ข้าเป็นสัตว์เทพ! ดูแคลนเจ้า เจ้า เจ้ามนุษย์ธรรมดา นังหนูน้อยยย!” เขาเริ่มติดอ่างอย่างเก้อเขิน
เสวียนจีใช้ผ้าแพรพันแผลไว้ มัดแน่น ก่อนยิ้มกล่าวว่า “นี่คือยาสมานแผลของสำนักเส้าหยางเรา ประสิทธิภาพดีมาก เจ้าดู เมื่อวานมือข้าโดนลวก ทายานี่ วันนี้ก็ขยับได้แล้ว”
สองมือนางพันผ้าไว้แน่น เห็นชัดว่าเมื่อวานเป็นรอยแผลที่เกิดจากมือจับกระบี่ร้อนลวกเอา ใบหน้านางก็เหมือนมีรอยบอบช้ำไม่น้อย สองคิ้วถูกเผา ผมเผ้าก็ถูกเผาไหม้ไปครึ่ง ตัดออกไปกำใหญ่ๆ แล้ว กล่าวตามจริง เช่นนี้ดูแลน่าขันมาก มกรกลั้นหัวเราะ พยายามไม่เผยรอยยิ้มออกมา เพียงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ “เอาใจข้าก็ไร้ประโยชน์”
เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ผู้ใดอยากเอาใจเจ้า! เพียงแต่พวกเราปั้นปึ่งใส่กันเช่นนี้ก็ไม่ใช่ทางที่ดี วันหน้าล้วนต้องอยู่กันไปตลอดชีวิต ดีที่ชีวิตข้าสั้น ร้อยปีเท่านั้นก็ผ่านไป วันหน้าเจ้าก็เป็นอิสระแล้วไม่ใช่หรือ”
มกรถลึงตาใส่ กล่าวว่า “เจ้าไม่รู้จริงหรือแกล้งโง่ เจ้าไม่รู้ว่าตนเองลงมาฝึกฝนตนบนโลกมนุษย์หรือ?! พอรับเคราะห์ครบแล้วก็จะได้กลับคืนสวรรค์! มีหน้าว่าอีกร้อยปี…ข้าถูกเจ้าทำตายทั้งเป็นแล้ว เจ้ารู้ไหม?!”
เขาคำรามดังอย่างโมโห เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะวางชามลงบนพื้น ตนเองหลุดหัวเราะดังออกมา ลงนั่งขัดสมาธิที่พื้น ถอนใจกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าชาติก่อนข้าไม่ธรรมดามาก แต่ก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ทุกสิ่งก็ล้วนสำคัญที่สุดไม่ใช่หรือ เวลาร้อยปีก็ไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปอย่างไร้ค่า ทำให้ตอนนี้มีความสุข เรื่องวันหน้าค่อยพูดกันวันหน้า”
มกรแค่นเสียงฮึ ยังคงไม่ยอม “ถือสิทธิ์อะไรมาเอาชีวิตข้าทั้งชาติไปเฉยๆ”
เสวียนจีตบบ่าเขากล่าวว่า “อย่าเสียใจไปเลย วันหน้าต้องมีทางแก้พันธะสัญญาไม่ใช่หรือ แม้ว่าไม่มีก็ค่อยๆ หาไป อย่างไรต้องหาพบ เจ้าเป็นสัตว์ภูตข้า จริงๆ แล้วก็ดีนะ ทุกคนกินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน คุยกัน สนุกครึกครื้นจะตาย สหายสนิทข้าล้วนไม่อยู่แล้ว นานแล้วที่ข้าไม่ได้มีความสุขกับความครึกครื้นเช่นนี้”
มกรค่อยๆ คลายความระแวดระวังลง อาศัยจังหวะนางไม่ทันสังเกต คว้าเอาปีกไก่ชิ้นหนึ่งในชามมากัดพลางถาม “อะไรเรียกว่าไม่อยู่แล้ว ตายแล้วหรือ คนล้วนต้องตาย ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น มีอะไรคิดไม่ตก”
เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “วาจากล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่พวกเราเป็นคน ชีวิตหนึ่งของพวกเราก็แค่ร้อยปีสั้นๆ ดังนั้นเป็นตายพบจากก็ล้วนเรียกว่านิรันดร์ แม้ชาติหน้าได้พบกันอีก แต่ก็เป็นอีกความทรงจำหนึ่ง ไม่เหมือนกัน ข้าชอบพวกเขา ดังนั้นข้าไม่คิดจากพวกเขาไป”
มกรตัดสินใจยกชามข้าวขึ้นกินเอาๆ ข้าวอัดเต็มปาก พูดจาอู้อี้ “อืม นี่ไม่ยาก สถานะเจ้าพิเศษ จะไปแดนปรภพก็ง่ายดังพลิกฝ่ามือ คิดถึงพวกเขา ไปแดนนรกค้นหาจิตญาณพวกเขาก็ได้นี่ ขอเพียงยังไม่ได้ดื่มน้ำลืมภพชาติ ความทรงจำโลกก่อนยังอยู่ อืม หากเจ้าคิดไปแดนปรภพ พวกเราก็ไปด้วยกันได้พอดี ข้าก็จะไปแดนปรภพ”
เสวียนจีส่ายหน้า “พวกเขายังไม่ตาย แต่เพราะ…สาเหตุต่างๆ นานา ยากจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ข้าต้องการหาสัตว์ภูตก็เพราะคิดช่วยพวกเขา หากข้ามีพลังมากยิ่งขึ้น ก็จะไม่แพ้ให้กับมารปีศาจพวกนั้น”
“มารปีศาจ?” มกรสนใจถามว่า “ทำลายโซ่หมุดทะเล?”
เสวียนจีตกใจระคนดีใจกล่าวว่า “เจ้าก็รู้นี่! อย่างนั้นก็ยิ่งดี! พวกเราไปไล่ล่าพวกคนเลวนั่นด้วยกัน ดีไหม”
มกรกลืนเอากลืนเอา กินข้าวจนเกลี้ยง ก่อนจะยัดชามเปล่าใส่มือนาง กล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “ไม่ดี ข้าไม่ลดตัวไปยุ่งกับเรื่องมนุษย์ธรรมดาและมารปีศาจหรอก”
ลูกสุนัขอะไร ซือเฟิ่งหลอกนาง! เขาเป็นคนไม่ดีจริงๆ! เสวียนจีถลึงตาใส่เขา
มกรพลันกล่าวว่า “แต่หากเจ้ามีอาหารดีๆ อย่างนี้ให้ข้ากินทุกวัน ข้าก็อาจพิจารณา ช่วยเจ้าหน่อยก็พอได้”
เสวียนจีดีใจมาก กอดเขาไว้ ตะโกนดังขึ้นว่า “ตกลง! วันหน้ามีกิน ข้าแบ่งเจ้าครึ่งหนึ่ง!”
“ชิชะ นังหนู” มกรค้อนใส่นางอย่างรังเกียจ ไม่กล่าวอันใดอีก