ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 8 สัตว์ภูต (6)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีกลับถึงห้องพักอย่างพอใจ อวี่ซือเฟิ่งเก็บของเสร็จนานแล้ว นั่งดื่มชาอยู่ริมหน้าต่าง นางหัวเราะร่าดีใจเดินเข้ามา “ซือเฟิ่ง เจ้าฟังข้า! มกรบอกว่าเขายอมช่วยข้าแล้ว! วิธีที่เจ้าสอนข้าได้ผลจริงด้วย!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะคิกในลำคอ ยิ้มเจ้าเล่ห์กล่าวว่า “สัตว์ก็คือสัตว์ ไม่อาจใช้วิธีแบบมนุษย์จัดการ” 

 

 

เขาเห็นศีรษะเสวียนจีมุดลงไปใต้โต๊ะเมื่อครู่เปื้อนไปหมด อดกล่าวไม่ได้ “เช็ดหน้าเช็ดตาก่อน ไว้รอให้พี่มือปราบสี่คนมาจัดการให้เรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางได้” 

 

 

นางทำตามเขาว่า เข้าไปล้างหน้า คว้ากระจกทองแดงมาส่อง มองดูใบหน้าที่ดูแทบไม่ได้ สองคิ้วถูกเผาจนดูไม่ได้ คิ้วทางซ้ายไม่มีแล้ว ทางขวายังเหลืออีกครึ่ง น่าเกลียดมาก ในยามนั้นจึงหน้าเบ้ท่าทางอยากจะร้องไห้กล่าวว่า “น่าเกลียดมาก…ขนคิ้วยังงอกออกมาได้ไหม” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งชะโงกหน้ามาดู อยากจะหัวเราะ แต่เห็นแววตาน่าสงสารของนางแล้วก็ได้แต่กลั้นหัวเราะไว้ ลูบศีรษะนางกล่าวว่า “ไม่รีบร้อน ข้าวาดให้เจ้า” 

 

 

ดวงตาเสวียนจีในยามนั้นส่องประกายวิบวับดีใจ เอ่ย “ซือเฟิ่งวาดคิ้วเป็นด้วย ข้ายังไม่เป็นเลย!” 

 

 

เขารับคำอย่างไม่เต็มปากนักเสียงหนึ่ง คิดถึงตอนเด็กๆ ที่หลิ่วอี้ฮวนคุยเรื่องผู้หญิงกับเขาทุกวัน อย่าว่าแต่คิ้ว แม้แต่เกล้ามวยผม ปิ่นปักผม เสื้อผ้า อะไรพวกนี้ ก็ล้วนคุยกันออกรส ต่อมาเห็นซือเฟิ่งฟังไม่เข้าใจ เขาจึงได้ควานหาพู่กันดำมาวาดให้เขาดู หนุ่มน้อยแสนดีใสสะอาดเช่นเขาอยู่ๆ ต้องมาถูกหลิ่วอี้ฮวนจับมาเป็นของเล่นแก้เบื่ออย่างไม่รู้ตัว 

 

 

เขามองใบหน้าเสวียนจีเต็มไปด้วยท่าทีรอคอยก็หัวเราะเบาๆ หยิบน้ำมาแช่เปลือกหอยดำ ตอนนี้เหมือนต้องขอบคุณพี่หลิ่วที่ก่อนหน้าถ่ายทอดให้ ถึงกับได้นำมาใช้ได้ เขาใช้พู่กันแตะเปลือกหอยดำอย่างระวัง อีกมือเชยคางนางขึ้นมองอย่างละเอียด 

 

 

นางมีใบหน้ารูปเม็ดแตง คิ้วหนาสั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางกว้าง หน้าผากอิ่มเต็ม เป็นหน้าตาแบบคนใจกว้าง เช่นนั้นคิ้วจันทร์เสี้ยวเหมาะที่สุด เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองวาดให้ผู้หญิง รู้สึกอดเกร็งไม่ได้ ข้อมือสั่นเล็กน้อย ปลายพู่กันค่อยๆ วาดผ่านคิ้วโล้นๆ ของนางแผ่วเบา โค้งเป็นวงสวยงาม 

 

 

“จักจี้ ซือเฟิ่ง” เสวียนจีไม่กล้าขยับ ปลายพู่กันวาดบนใบหน้า จักจี้แทบตาย นางอดแยกเขี้ยวยิงฟันไม่ได้ 

 

 

“ชู่ ใกล้เสร็จแล้ว อย่าขยับ” เขาเทียบซ้ายขวาอยู่เป็นนานก่อนจะเติมอีกสองสามที 

 

 

เสวียนจีพลันคิดอะไรออกมาได้ ยิ้มกล่าวว่า “มีครั้งหนึ่งข้าตื่นแต่เช้าตรู่ไปหาท่านพ่อกับท่านแม่ ก็เห็นท่านพ่อช่วยท่านแม่วาดคิ้ว! แต่ไม่ได้ชำนาญเหมือนเจ้า” 

 

 

การวาดคิ้วอันที่จริงถือเป็นความสุขของสามีภรรยาในห้อง เสวียนจีไม่รู้เรื่องพวกนี้จึงกล่าวได้ไร้เดียงสามาก 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหน้าแดง ร้อนใจกล่าวว่า “ข้า…ข้าเพียงแค่…ข้าเพียงแค่ช่วยเท่านั้น ครั้งหน้าเจ้าก็วาดเอง!” พอร้อนใจ มือก็สั่น อยู่ๆ ก็วาดเส้นยาวประหลาดบนใบหน้านางรอยหนึ่ง รีบใช้ผ้าจุ่มน้ำเช็ดออก 

 

 

“เจ้าวาดเป็น ทำไมข้าต้องวาดเอง” เสวียนจีลูบใบหน้าเขาทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ร้อนจัง เจ้ากำลังอายหรือ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งตีใบหน้านางเบาๆ ที่หนึ่ง ก่อนจะวาดคิ้วให้ใหม่ ครั้งนี้สองข้างเท่ากัน คิ้วจันทร์เสี้ยวโค้งงดงามสมบูรณ์ไร้ที่ติ เขามองซ้ายมองขวาอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็พึงใจวางพู่กันลง ยิ้มกล่าวว่า “ดูสิ เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

เสวียนจีหันไปมองกระจกทองแดง ดังคาด วาดได้งดงามไร้ที่ติ แทบไม่ต่างกับคิ้วนางเมื่อก่อน นางดีใจกอดแขนเขาไว้ กล่าวเสียงดังว่า “เจ้าร้ายกาจมาก! เทียบกับที่ท่านพ่อวาดให้ท่านแม่แล้วสวยกว่ามาก! ท่านแม่มักว่าท่านพ่อมือไม้เก้กัง!” 

 

 

“ข้าว่า…อย่าพูดเรื่องนี้อีก…” อวี่ซือเฟิ่งหน้าแดงราวกับจะระเบิดออกมา กำลังจะคุยเรื่องอื่นแทนอยู่นั้นก็พลันได้ยินหน้าประตูมีคนเคาะดังสองที ทั้งสองหันไปมองพร้อมกั้น เห็นหัวมกรเอียงอยู่ข้างประตู ใบหน้ามีรอยยิ้มแฝงเลศนัย หัวเราะคิกกล่าวว่า “จิ๊จ๊ะกันพอหรือยัง มือปราบพวกนั้นรอจนร้อนใจแล้ว หากยังไม่พอ ก็อย่าลืมปิดประตู แตะเนื้อต้องตัวไม่ควรเปิดเผย ไม่เคยได้ยินหรือ” 

 

 

ทั้งสองหน้าแดงผุดลุกขึ้น คว้าห่อผ้าเดินลงไปทันที 

 

 

แม้ว่าเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งจัดการเรื่องไฟประหลาดได้แล้ว แต่ไม่ได้บอกสาเหตุที่มาที่ไปชัดเจน อย่างไรก็ไม่อาจบอกเรื่องมกรกับหัวหน้ามือปราบได้ บอกเขาแค่ว่าเป็นแค่ไฟปะทุแล้วกัน หัวหน้ามือปราบน่าจะยอมเชื่อ สำหรับมกรแล้ว การเปิดเผยตัวตนในโลกมนุษย์คงไม่ใช่เรื่องดีนัก 

 

 

ดูท่าเงินหกร้อยตำลึงคงหายวับไปแล้ว อีกห้าสิบตำลึงก็คงต้องคืนเขาไป 

 

 

พอเสวียนจีคิดถึงว่าจะไม่มีเงินติดตัวแล้ว ใบหน้าก็อดสลดลงไม่ได้ มือปราบคนหนึ่งมองเห็นเขาทั้งสองท่าทางไม่เบิกบานก็รู้ว่าเพราะเงินรางวัล จึงปลอบใจว่า “แม่นางกับคุณชายไม่ต้องห่วง พวกข้ายอมเป็นพยานให้พวกท่าน ว่าพวกท่านเป็นคนดับเพลิงร้อน นับประสาอันใดกับคุณชายท่านนี้…” เขามองไปยังมกรที่นั่งยองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาหวาดกลัว “คุณชายท่านนี้ก็เป็นพยาน คืนนั้นเห็นทั้งสองท่านเก่งกล้าสามารถ หัวหน้ามือปราบเราย่อมไม่บีบคั้นแล้งน้ำใจ แม้เขาไม่เชื่อ พวกเราก็จะรับประกันว่าเงินมัดจำนั่นเป็นของท่านทั้งสอง” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่าน เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว” 

 

 

มือปราบท่านนั้นรู้ความสามารถพวกเขาแล้วก็รู้สึกเลื่อมใสยิ่ง เห็นอวี่ซือเฟิ่งท่าทางสุภาพมีเมตตา ก็อดรู้สึกสนิทสนมไม่ได้ เสวียนจีเข้าไปดึงผมสีเงินของมกร ไม่สนว่าเขาจะโมโหโต้กลับ กระซิบว่า “อย่างไรเจ้าก็เป็นพยานหน่อยสิ เป็นพยานว่าพวกเราเป็นคนดับเพลิงมกร!” 

 

 

มกรหันมาค้อนใส่นาง โมโหตวาดว่า “ไม่! เรื่องน่าเบื่อพวกนี้ไม่ต้องมายุ่งกับข้า!” 

 

 

เสวียนจีขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี ถึงตอนนั้นเงินในถุงนี้คืนเขาไป พวกเราไม่เงินติดตัวสักแดง ซื้อของอร่อยรสเลิศกินไม่ได้แล้ว เจ้าอย่ามาบ่นนะ!” 

 

 

มกรเจ็บหัว ถลึงตาใส่นาง อาหารเลิศรสในโลกมนุษย์นี้ก็เป็นเหตุผลหลักที่เขายอมติดตามเสวียนจี ตอนนี้แม้แต่เหตุผลนี้ก็จะไม่มีแล้ว เขาจะยังติดตามนางอีกทำไม 

 

 

“เจ้าไม่ใช่แม่ทัพเทพสงครามหรือ” เขาเริ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย “เรียกลมเรียกฝนออกมาสิ ราดรดพื้นที่ไฟร้อนแผดเผาผืนนี้ น่าจะง่ายไม่ใช่หรือ” 

 

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเรียกอย่างไร จะว่าไป…เรียกลมเรียกฝนเหมือนว่าเป็นเรื่องเทพฟ้าฝน ข้าจะเป็นได้อย่างไร!” 

 

 

“เจ้าไม่ใช่ท่านแม่ทัพหรือไง เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ไม่เป็น?” 

 

 

“เรื่องเล็กๆ แค่นี้ เจ้ามาเรียกข้าทำ สัตว์เทพที่แท้ก็แค่พวกเสียข้าวสุก?” 

 

 

“ถุย! เจ้าสิเสียข้าวสุก! วันนี้ข้าจะเปิดหูเปิดตาให้เจ้าได้รู้จักความร้ายกาจของมกรสักหน่อย! ถอยไป!” 

 

 

ความโมโหมกรถูกปลุกขึ้น กระโดดหันหลังออกไปทันที พลางกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ประคองหน้าไว้ให้ดีล่ะ จะได้ไม่หน้าแหก!” 

 

 

“เอ๋? คุณชายท่านนี้?” มือปราบท่านนั้นมองมกรวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็หายวับไป อดแปลกใจไม่ได้ 

 

 

“ไม่ต้องสนใจเขา งอนเท่านั้น” เสวียนจีกระแอมไอสองที เดินเข้าไปแสดงท่าทาง ‘ข้าคือเทพเซียนยิ่งใหญ่’ กล่าวว่า “ไฟประหลาดแม้ว่าดับแล้ว แต่ผืนแผ่นดินยังแห้งแล้ง เสียหายไม่น้อย ดังนั้นข้าว่าจะเรียกลมฝนมาชโลมให้ชุ่มชื้น ปีหน้าที่นี่ก็จะมีต้นไม้เติบโต ไม่ถึงกับรกร้างว่างเปล่าอีก” 

 

 

มือปราบผู้นั้นได้ยินว่านางถึงกับมีความสามารถนี้ก็เลื่อมใสจนแทบอยากจะหมอบกราบ กล่าวติดๆ กันว่า “ช่างเมตตากรุณาจริง! ท่านเซียนหญิงจะเสกตอนนี้เลยใช่ไหม ต้องใช้เลือดสุนัขธูปเทียนไหม” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า “เลือดสุนัขธูปเทียนเป็นเรื่องของเวทมนตร์คาถาพื้นบ้าน ข้าไม่ต้องใช้ เรียกได้ดังใจ ธรรมชาติอย่างยิ่ง รอดูก็พอ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งรู้ว่านางไม่มีความสามารถนี้ ตอนนั้นได้แต่แอบสะกิดนางกล่าวเบาๆ ว่า “ผู้ใดเรียกลมฝนได้? ระวังอย่าขี้โม้มากไป” 

 

 

เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้า เป็นมกร เขาว่าพวกเราประคองใบหน้าให้ดี ดูเขาเรียกลมฝน” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเหมือนไม่อยากจะเชื่อ มกรเชี่ยวชาญไฟ เรียกลมเรียกฝนนี่ไม่น่าเกี่ยวกับเขา แม้ว่าแดนสวรรค์จะมีคนช่วย เรียกลมเรียกฝนก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากทำให้ราชันสวรรค์รู้ ทรงกริ้วเรียกมกรกลับไปก็คงไม่ได้การแล้ว 

 

 

กำลังคิดอยู่นั่น พลันเห็นเนินหวงเหนี่ยวมีเมฆดำใหญ่ลอยตัวเป็นก้อน ค่อยๆ สูงขึ้น ปกคลุมทั่วผืนฟ้า รอบๆ พลันมืดครึ้มลง เสียงฟ้าผ่าเป็นระยะ พวกมือปราบมองเห็นความมหัศจรรย์นี้ก็ตื่นเต้นจนแทบลงคุกเข่าโขกศีรษะ แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีก็ตกใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีอานุภาพทำได้จริง 

 

 

ฝนกระหน่ำลงห่าใหญ่ พื้นที่รัศมีร้อยลี้ปกคลุมไปด้วยม่านฝนหนาแน่น ทุกคนเปียกไปหมดทั้งตัว รู้สึกเพียงแค่ความร้อนมลายหายไปสิ้น ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าล้วนสดชื่นเย็นสบาย เสวียนจีกำลังใจดีใจหัวเราะดังอยู่นั้น พลันนึกอะไรออก ยกมือลูบใบหน้า ดังคาด หมึกดำเต็มมือ นางร้องไห้กล่าวว่า “อา คิ้วข้า …” คิ้วที่อวี่ซือเฟิ่งวาดให้นาง พริบตาฝนก็ชะล้างไปหมดสิ้น 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางไม่มีคิ้วแลดูน่าขำ ในที่สุดอดขำพรึดออกมาไม่ได้ กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร รอให้ฝนหยุด ข้าค่อยช่วยวาดให้เจ้าอีก” 

 

 

พายุฝนตกลงมาได้ราวชั่วยามกว่า ก่อนจะค่อยๆ หยุดลง เมฆฝนกระจายตัวออก ค่อยๆ เผยให้เห็นท้องฟ้าแจ่มใส เสวียนจีใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้า แต่จริงๆ แล้วไม่มีประโยชน์ น้ำบนแขนเสื้อยังมากยิ่งกว่าบนใบหน้า มกรเดินส่ายอาดๆ ลงมาจากเนินหวงเหนี่ยว เดินมาถึงตรงหน้าจึงได้ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “อย่างไร ประคองใบหน้าไว้ดีแล้วใช่ไหม” 

 

 

เสวียนจีเห็นเขามีความสามารถมากเช่นนี้ ก็อดเปลี่ยนความคิดไม่ได้ กล่าวน้ำเสียงจริงใจว่า “มกร เจ้าร้ายกาจจริง เจ้าเรียกพายุฝนมาได้อย่างไร” 

 

 

สีหน้าเขาบึ้งตึงกัดฟันกล่าวว่า “ข้า…ความสามารถข้ามากมายเหอะ เรียกลมเรียกฝนไหนเลยจะต้องให้ข้าลงมือเอง…ก็แค่…ไปหาคนมาช่วย…” 

 

 

“เจ้าไปเชิญเทพลมฝนมา” อวี่ซือเฟิ่งตกใจเล็กน้อย 

 

 

มกรผินหน้าไปอย่างนึกรังเกียจ “ผู้ใดจะไปตามพวกเขามา! ล้วนเป็นพวกชอบยกยอนาย! ข้าไปตามพี่น้องเมื่อก่อนมาต่างหาก! ถามมากทำไมเนี่ย!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งความคิดว่องไว นึกได้ทันที ยิ้มกล่าวว่า “เรียกอิงหลงกระมัง” 

 

 

อิงหลงเชี่ยวชาญน้ำ เรียกลมฝนนับว่าเรื่องเล็ก มกรบอกว่าเรียกพี่น้อง ย่อมต้องเป็นรุ่นเดียวกัน เช่นนี้แปดเก้าส่วนย่อมเป็นอิงหลง 

 

 

มกรราวกับเห็นผี ถลึงตาใส่เขา ปากก็พึมพำไม่รู้กล่าวอะไร ผีน้อยนี่เหมือนมีคาถาอ่านใจเลยจริงๆ อะไรก็ปิดบังเขาไม่ได้ ช่างน่าเบื่อจริง เขาหน้าบึ้ง พลันคิดถึงเมื่อครู่ที่ตามอิงหลงมาช่วย ถูกอีกฝ่ายหัวเราะเยาะที่เขาต้องมากลายเป็นสัตว์ภูตของมนุษย์ธรรมดายกใหญ่ก็อดโมโหไม่ได้  

 

 

“แต่ทว่าเจ้าก็นับว่ามีวาสนา นังหนูนั่นเมื่อก่อนเป็นถึงเทพสงคราม! ราชันสวรรค์กับมหาเทพโฮ่วถู่ยังต้องยอมอ่อนให้นาง ทำความผิดมหันต์ เดิมต้องถูกเผาจิตแหลกสลาย ปรากฏนางไม่เป็นอะไรเลย เห็นได้ว่าเบื้องบนให้ความสำคัญกับนาง รอให้ครั้งนี้นางเวียนว่ายเสร็จสิ้น กลับสู่แดนสวรรค์ สัตว์ภูตอย่างเจ้าก็ย่อมพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย!” 

 

 

น้ำเสียงอิงหลงเหมือนดังอยู่ข้างใบหู แม้แต่ไรมาน้ำเสียงเขาก็น่าฟังอยู่แล้ว แต่อย่างไรฟังแล้วก็ทำให้คนฟังไม่ได้รู้สึกดีเท่าไร 

 

 

“ใช่แล้ว ครั้งนี้เจ้าแอบหนีลงมา เบื้องบนยังไม่คิดเอาโทษเจ้า ไป๋ตี้ให้ข้ามาบอกเจ้า ในเมื่อเจ้าอยากไปแดนปรภพตรวจสอบเรื่องโซ่หมุดทะเล เช่นนั้นก็มอบให้เจ้าจัดการแล้วกัน เจ้าเอาแต่ชิงดีชิงเด่นกับหงส์แดงจูเชวี่ย ครั้งนี้ไม่ยอมที่เขาได้ลงมาตรวจสอบเรื่องโซ่หมุดทะเล เจ้าเองถึงกับแอบหนีออกมา หากไม่ใช่ว่าหงส์แดงจูเชวี่ยขี้เกียจชิงดีชิงเด่นกับเจ้า เบื้องบนยังเมตตาเจ้า ศีรษะมากมายก็ไม่พอให้เจ้าถูกตัด ดีเลย ตอนนี้ภารกิจนี้เป็นของเจ้าแล้ว เจ้ายังได้เป็นสัตว์ภูต ข้าจะดูสิว่าความโชคดีจะอยู่กับเจ้าถึงเมื่อไร” 

 

 

วาจาอิงหลงแม้ว่ามีความนัยกระทบกระเทียบในวาจาแต่ใช่ว่าไร้เหตุผล แม้ว่าเขาโมโหไม่ยอมแพ้ให้หงส์แดงจูเชวี่ย อยู่ๆ ก็หนีลงมาเที่ยว ดังนั้นครั้งนี้จึงแย่งชิงภารกิจอีกฝ่ายมา แต่สาเหตุแท้จรืงนั้น ผู้ใดก็ไม่ได้บอกเขา 

 

 

มารปีศาจที่ถูกขังในแดนปรภพตนนั้น เขาก็ไม่ได้พบเห็นนานแล้ว ลงมาครั้งนี้ น่าจะได้เห็นอีกครั้ง เจ้าผีน้อยสองคนนั้นราวกับมีความหลังกับเขาปู้โจวซานอยู่บ้าง ไม่สู้ตามพวกเขาไปปฏิบัติการ สุดท้ายอย่างไรก็คงได้สมดังหวัง 

 

 

“มกร! ไปกันเถอะ อย่าเอาแต่เหม่อ!” เสวียนจีเดินไปข้างหน้าพลางเรียกเขา ก่อนจะสวมหมวกฟางอย่างระมัดระวังป้องกันคิ้วที่อวี่ซือเฟิ่งเพิ่งช่วยนางวาดเสร็จ เผื่อเจอฝนอีกจะได้ไม่เผยโฉมหน้าเดิมออกมา 

 

 

ไม่ว่ามองอย่างไรก็มองไม่ออกว่านางก็คือแม่ทัพเทพสงครามทรงอานุภาพสังหารมานับไม่ถ้วน เด็กหญิงอ้อนแอ้นเช่นนี้ทำให้เขา ‘พลอยมีหน้ามีตา’ ไปด้วยได้จริงหรือ มกรแอบค่อนขอดในใจ ปฏิเสธความคิดนี้ 

 

 

“ข้ารู้หมู่บ้านลู่ไถมีอะไรอร่อย เจ้าไม่ตามมา ข้าก็จะไม่เลี้ยงเจ้าแล้วนะ” 

 

 

วาจานี้ทำเอาหัวใจดังหินผาของเขาสั่นคลอน สองตาส่องประกายวิบวับ ไล่ตามไปอย่างอารมณ์ดี