ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 9 จิตญาณ (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ไม่มีอะไรให้ติดใจ เงินหกร้อยตำลึงวาววับตกถึงมืออย่างง่ายดาย ถุงเงินเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งเต็มอีกครั้ง หัวหน้ามือปราบไม่ปั้นหน้าบึ้งตึงอีก หากยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับแสงตะวันเดือนหก แววตาที่มองเขาสองคนราวกับมองเทพเซียน 

 

 

หัวหน้ามือปราบรั้งให้พวกเสวียนจีทั้งสามอยู่หมู่บ้านลู่ไถต่ออย่างกระตือรือร้น วันๆ เอาแต่จัดเลี้ยง เพียงแค่กั่วจื่อหวงก็ดื่มไปสิบกว่าไหแล้ว มกรย่อมกินอาหารเลิศรสไม่หยุดปากอย่างมีความสุข แทบอยากจะสิงอยู่หมู่บ้านลู่ไถเสียเลย เขาปู้โจวซานอะไรก็ลืมไปสิ้น 

 

 

เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปถึงหนึ่งเดือนกว่า วันๆ มีแต่คนปรนนิบัติเอาใจ แม้แต่เสวียนจียังเคอะเขินแล้ว ดีที่วันนี้อวี่ซือเฟิ่งออกไปทำธุระข้างนอก มกรยุ่งกับการหาของอร่อยกินในที่ทำการศาล นางไม่มีอะไรทำ จึงได้แอบตามอวี่ซือเฟิ่งไปเที่ยว ที่แท้เพราะกระบี่อวี่ซือเฟิ่งถูกมกรเผา เขาจึงต้องหาช่างมาตีฝักกระบี่กับกระบี่ใหม่ 

 

 

หลังจากทั้งสองได้รางวัลมา กินดื่มก็ไม่ต้องใช้เงิน เห็นชัดว่าเป็นคหบดีน้อยๆ จ่ายเงินย่อมมือเติบมาก อวี่ซือเฟิ่งไปร้านเครื่องประดับซื้อไข่มุกห้าเม็ดก่อน และสั่งด้ามจับงาช้างไว้อีก เพียงแค่สองอย่างก็ใช้เงินไปถึงสองร้อยตำลึง ฝักกระบี่ยังเติมทองคำน้ำหนักไม่น้อยเข้าไป แกะสลักลวดลายงดงามมาก พอกระบี่ที่ตีใหม่มาถึงมือ เงินหกร้อยตำลึงก็เหลือไม่ถึงสามร้อย 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกตนเองฟุ่มเฟือยเกินไปสักหน่อย แต่เขาเติบโตมาจากตำหนักหลีเจ๋อ ไข่มุกเพชรพลอยมีเป็นกอบเป็นกำ ผู้ใดก็ไม่เห็นว่ามีค่าอันใด จึงมือเติบจนชินอยู่สักหน่อย ยามนี้มองฝักกระบี่ที่ตีใหม่งดงามมาก ในใจก็ดีใจยิ่ง 

 

 

ภาษิตกล่าวว่า กระบี่งาม อานม้างาม เสื้อผ้าชุดงาม หนุ่มน้อยทะยานบนหลังอาชาพิโรธ กระชับกระบี่ท่องยุทธภพ จึงจะเรียกว่างามสง่า แต่พวกเขาไม่ต้องขี่ม้า ดังนั้นได้แต่เสียเงินไปกับเสื้อผ้าแล้ว ยามนี้ก็ต้องเปลี่ยนแต่หัวจรดเท้าใหม่ทั้งหมดจริงๆ แล้ว เสวียนจีซื้อชุดให้มกรเรียบร้อยแล้ว การใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่งนี้ใช้เงินไปราวร้อยตำลึงกว่า รางวัลหกร้อยตำลึง วันเดียวก็ถูกพวกเขาใช้ไปสี่ร้อย แต่อวี่ซือเฟิ่งเป็นพวกฟุ่มเฟือยหรูหราแต่เด็ก เสวียนจีเองก็ไม่ค่อยคิดอะไรกับเงินทอง แต่เล็กไม่เคยต้องกังวลกับเรื่องเงินทอง ดังนั้นความเสียดายเงินทองก็แค่ชั่วครู่ หันหลังก็ลืมสิ้นแล้ว 

 

 

ตั้งแต่เสวียนจีได้รู้จักกับอวี่ซือเฟิ่งมา แต่ไรมาเขาก็สวมแต่ชุดครามปักลวดลายประจำตำหนักหลีเจ๋อ จนถึงวันนี้จึงได้ถอดชุดเก่าออก เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีครามเข้มกับรองเท้าหุ้มท่อนขา เขารูปร่างสูง บ่ากว้าง ช่วงขายาว แต่งกายเช่นนี้หากเป็นคนอื่นย่อมรู้สึกยุ่งยากเป็นภาระ แต่พอเป็นเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น ตลอดทางกลับมายังที่ทำการศาล ไม่รู้ดรุณีน้อยมากมายเท่าไรที่จ้องมองเขาไม่วางตา มีแต่สองคนเซ่อซ่าที่ไม่ทันรู้ตัว เอาแต่หัวเราะคุยกันไม่หยุด 

 

 

“เจ้าเปลี่ยนชุดครามนั่นออก วันหน้าจะมีใครตำหนิเจ้าไหม” เสวียนจีนึกถึงคนที่ดุร้ายพวกนั้นในตำหนักหลีเจ๋อแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว ศิษย์ตัวเล็กๆ คนเดียว ผู้ใดจะมาหาเรื่อง ไม่แน่พวกอาจารย์อาจลืมข้าไปนานแล้ว” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า แม้ว่าซือเฟิ่งเป็นศิษย์ตัวเล็กๆ ไม่สำคัญเท่าไร แต่ปฏิกิริยาของเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อกลับไม่เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าตำหนักใหญ่ถึงกับยอมสูญเสียอาวุโสหลัวก็ต้องแย่งชิงตัวเขากลับไปให้ได้ คิดถึงเรื่องนี้แล้ว นางก็รู้สึกหวาดหวั่นมาก 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคุยกับนางครู่หนึ่ง พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ล้วงเอาปิ่นหยกจากอกเสื้อ บนนั้นสลักรูปนกเฟิ่งหวงสยายปีกราวจะขึ้นบิน ประณีตงดงามราวกับมีชีวิต 

 

 

“ชอบอันนี้ไหม” เขาเผยรอยยิ้มบางถาม 

 

 

เสวียนจีรับไปวางไว้กลางฝ่ามือ มองหยกที่งามใสราวน้ำสีมรกต ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เป็นของดีชั้นยอด กอปรกับแกะเป็นลายเฟิ่งหวงละเอียดประณีตงดงาม ฝีมือชั้นยอด ในใจก็รู้ว่าของนี้ล้ำค่ามาก กล่าวว่า “ชอบ…แต่ เจ้าซื้อหรือ” 

 

 

เขาเพียงแค่ยิ้ม ดึงปิ่นเงินที่ผมนางออก เกล้ามวยปักปิ่นใหม่ให้นางใหม่อย่างชำนาญ บรรจงปักปิ่นเฟิ่งหวงลงไป มองดูซ้ายขวาก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้ซื้อตอนนี้ แต่มีมานานแล้ว พกติดตัวมาตลอด วันนี้เปลี่อนชุดเลยค้นเจอ เจ้าชอบก็มอบให้เจ้าแล้วกัน” 

 

 

เมื่อก่อนนานแล้ว? เสวียนจีพลันรู้สึกบอกไม่ถูก พึมพำกล่าวว่า “เจ้า เจ้าไม่ใช่ผู้ชายหรือ? ทำไมมีปิ่นของผู้หญิงด้วย…” ก่อนรู้จักนาง เขายังรู้จักเด็กผู้หญิงอื่น? เขาไม่ได้บอกว่าแต่ไรมาไม่เคยรู้จักผู้หญิงหรือ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกระแอมไอสองที พลันหน้าแดง เล่าขึ้นเบาๆ ว่า “ตอนข้าเป็นเด็ก…สุขภาพอ่อนแอ อาจารย์จึงเลี้ยงข้าเหมือนเด็กผู้หญิงจนอายุได้หกขวบ อาจารย์ว่าปิ่นนี้เป็นสมบัติของท่านแม่ข้า ว่ากันว่าผู้หญิงต้องอายุเลยวัยปักปิ่นจึงจะเริ่มเกล้ามวยปักปิ่นได้ แต่เพราะปิ่นนี้เป็นสมบัติของท่านแม่ ดังนั้นตอนหกขวบข้าก็ปักมันแล้ว…” 

 

 

เป็นเด็กผู้หญิง? เสวียนจีมองเขาอย่างตกตะลึง ในสมองอยู่ๆ ก็นึกภาพเขาปะแป้ง ท่าทางนวยนาดแบบผู้หญิง อดหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกหงุดหงิด “มีอะไรน่าขัน หรือว่าเจ้าไม่เคยแต่งกายเป็นชาย” 

 

 

เสวียนจีหัวเราะจนพูดไม่เป็นภาษา ได้แต่ส่ายหน้า เป็นนานก่อนจะร้องว่าหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งไปหมดแล้ว กล่าวว่า “ไม่ใช่…ข้า ข้าแค่คิดถึงที่เขาเกาซื่อซานครั้งนั้น ภาพเจ้าสวมชุดแต่งงาน…ฮา ฮา ฮา! ที่แท้ก็เคยแต่งกายเป็นหญิงมาก่อนแล้ว!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไร้วาจาจะกล่าว ได้แต่หน้าแดงเดินแซงขึ้นหน้าไป พลางบ่นว่า “รู้เช่นนี้ไม่บอกเจ้า…” 

 

 

เสวียนจีรีบวิ่งตามมากอดแขนเขาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “อย่าโมโหน่า ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะนะ แต่ปิ่นเฟิ่งหวงเป็นสมบัติท่านแม่เจ้าต้องสำคัญมากใช่ไหม แต่ไรมาข้าก็สะเพร่าเลินเล่อ เกิดทำพังจะทำอย่างไร” 

 

 

เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ดังนั้นเจ้าต้องระวังหน่อย นี่เป็นของรักของข้า หากทำพังไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่” 

 

 

เสวียนจีกล่าวอ่อนโยนว่า “อาจารย์เจ้าเคยบอกว่าบิดามารดาเจ้าเป็นคนเช่นไรไหม” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “อืม อาจารย์มักเอ่ยถึงท่านแม่ข้า แต่พูดถึงบิดาข้าน้อยมาก กล่าวเพียงว่าเขาทำผิดต่อสตรีที่ดีเช่นท่านแม่ข้า เขาตายตั้งแต่ข้ายังไม่เกิด ท่านแม่ข้าให้กำเนิดข้าแล้วก็เสียใจจนตาย อาจารย์ว่าเขาไม่เคยพบเห็นสตรีที่อ่อนโยนและงดงามเช่นท่านแม่” 

 

 

ขณะที่กล่าวก็คิดถึงมารดาตนเอง ใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รักบิดามารดาตนเอง แม้ว่าปกติเขาไม่พูด แต่ย่อมต้องเสียใจที่ไร้บิดามารดาแต่เด็ก เสวียนจีถอนหายใจตบบ่าปลอบเขาเบาๆ ไม่รู้ควรพูดอะไรดี 

 

 

“แต่ เจ้าดูผิดแล้ว” อยู่ๆ เขาก็เอ่ยออกมาอย่างไม่คาดคิด เสวียนจีอึ้งไป เขากล่าวอีกว่า “นั่นไม่ใช่เฟิ่งหวง แต่เป็นครุฑ” 

 

 

ครุฑ? เสวียนจีอดดึงปิ่นออกมาเพ่งดูไม่ได้ ดังคาด ลวดลายต่างกับเฟิ่งหวง ลำตัวยาวกว่า บนหัวมีจงอยหนึ่งโดดเด่นที่เฟิ่งหวงไม่มี บนหลังมีปีก นับดูให้ดี มีแยกออกเป็นหกท่อน ประณีตมาก 

 

 

“ครุฑเป็นสัตว์จำพวกนกประเภทหนึ่งที่อาศัยอยู่ทางตะวันตก ส่วนใหญ่ไปมาตัวเดียว ไม่เป็นฝูง พวกมันส่งเสียงร้องไพเราะน่าฟังมาก ดังนั้นจึงเป็นสัตว์ล้ำค่าที่หาได้ยากมาก ปีกครุฑมีแยกออกเป็นสี่ท่อน หาน้อยมากที่มีหกท่อน ดังนั้นครุฑปีกหกท่อนก็ยิ่งหาได้ยากยิ่ง” 

 

 

เสวียนจียกมือลูบปิ่นหยกอย่างละเอียด พลันถามว่า “ครุฑเป็นปีศาจไหม ข้า…ราวกับเคยได้ยินมา แต่จำไม่ค่อยได้แล้ว” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งปักปิ่นเข้ามวยผมนางอีกครั้ง กล่าวเบาๆ ว่า “เป็นปีศาจ เจ้ารังเกียจไหม” 

 

 

“จะรังเกียจได้อย่างไร” นางหัวเราะคิกคัก ส่งสายตากลับไปกล่าวว่า “ข้ายังไม่เคยเห็น จะรังเกียจได้อย่างไร” 

 

 

“เห็นแล้วจะรังเกียจไหม” อวี่ซือเฟิ่งยังไม่เข้าใจว่านางคิดเช่นไร 

 

 

เสวียนจีคิดไปคิดมา ยิ้มกล่าวว่า “หากงดงาม คนทั่วไปก็ย่อมชอบสิ” 

 

 

งดงาม?…เขาขยี้ขมับ อย่างไรก็ไม่ได้คำตอบที่เขาต้องการ อดก้มลงถอนใจไม่ได้ 

 

 

“ใช้คำว่าปีศาจกับเทพเซียนมาแบ่งแยกก็เป็นเรื่องไม่ได้ความอยู่แล้ว จิ้งจอกม่วงก็เป็นปีศาจ แต่ข้าชอบนางมาก ดังนั้นข้ารู้สึกชอบหรือไม่ชอบ ไม่อาจใช้จำพวกมาแยกแยะ อย่างไรก็ต้องเข้าใจก่อนจึงจะตัดสินใจได้” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งตะลึงงัน ตามพยักหน้าไปด้วย พลันยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนใจกว้างจริง” 

 

 

“แน่นอน!” เสวียนจีเชิดหน้าท่าทางอวดโอ้ 

 

 

 

 

 

***** 

 

 

 

 

 

เนื่องจากหัวหน้ามือปราบพยายามรั้งพวกเขาไว้ มกรยังชอบกั่วจื่อหวงที่นี่มาก ทั้งสามจึงอยู่หมู่บ้านลู่ไถต่อมาอีกราวครึ่งเดือนกว่า ก่อนจะออกเดินทางต่อ 

 

 

ต้องจากอาหารเลิศรสไป สีหน้ามกรก็บึ้งตึงดำคล้ำไม่น้อย ตลอดทางเอาแต่บ่นอิดออดจนหูเสวียนจีมีแต่เสียงดังหึ่งๆ ไปหมด มีแต่วาจาเช่นว่า ‘แค่ความสามารถของพวกเจ้าแค่นี้เร่งเดินทางไปก็ไม่มีประโยชน์!’ ‘ไม่สู้หาของอร่อยกินมากอีกหน่อย! เร่งร้อนไปทำไม!’ ‘ข้าติดตามเจ้า ช้าเร็วคงได้กลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์เหมือนเจ้า!’ 

 

 

เริ่มแรกนางยังตอบกลับสองสามคำ ผู้ใดจะรู้ว่ายิ่งพูดเขายิ่งอารมณ์ขึ้น กระโดดกระทืบเท้าออกท่าออกทาง “เจ้าไม่ยอมลงให้ก็แสดงความสามารถสิ” ใต้หล้าไหนเลยมีสัตว์ภูตทะเลาะกับเจ้านาย แม้เสวียนจียอมต่อกรเป็นเพื่อน เขาเป็นสัตว์ภูตย่อมถูกจำกัดความสามารถไว้ ไม่อาจแสดงความสามารถแท้จริงออกมาได้ นานวันเข้า เสวียนจีก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงบ่นของเขาไปเสียเลย 

 

 

อีกสองเดือนกว่าจึงจะถึงงานชุมนุมปักบุปผา หนุ่มสาวทั้งสองไม่เร่งรีบกลับไป ดังนั้นทุกวันเหินกระบี่ไปทั่ว เห็นหมู่บ้านก็ลงไปพักสองวัน ชมภาพบรรยากาศทิวทัศน์และหมู่บ้านต่างๆ รู้สึกสนุกสนานกับความแปลกใหม่อยู่มาก แม้ว่าไม่มีกั่วจื่อหวง แต่อาหารเลิศรสตลอดทางมาก็ทำให้มกรหลงใหลมาก เสียงบ่นเขาก็ค่อยๆ จางหายไป 

 

 

พวกเขาผ่านคิมหันต์นี้ไปอย่างรวดเร็วราวกับโบยบินด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบิกบาน งานชุมนุมปักบุปผากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ได้เวลาเดินทางกลับเส้าหยางแล้ว ต้องตามขบวนใหญ่ไปร่วมงานชุมนุมปักบุปผาที่เกาะฝูอวี้พร้อมกัน 

 

 

พอเสวียนจีคิดว่าจะต้องกลับสำนักเส้าหยาง จะได้พบท่านพ่อ ท่านแม่ และยังมีหลิงหลง ก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ดึกดื่นเที่ยงคืนพลิกตัวไปมาในห้องพักโรงเตี๊ยม สุดท้ายตัดสินใจลุกขึ้นเก็บของ เอาของที่ซื้อมาจากแต่ละแห่งออกมาจัดและแบ่งทีละชิ้น คิดว่าแต่ละคนได้ของขวัญต้องดีใจแน่ นางเองก็ดีใจ  

 

 

นางกลับไปครั้งนี้ ยังต้องเล่าให้ท่านพ่อฟังว่านางจับสัตว์ภูตร้ายกาจได้ตนหนึ่ง ดังนั้นเรื่องอูถงเขาปู้โจวซานก็ไม่ต้องกังวลอีก มีมกรคอยช่วย นางต้องช่วยศิษย์พี่หกกับหลิงหลงกลับมาได้แน่ หึๆ ท่านพ่อคงเคยได้ยินชื่อมกร นั่นเป็นถึงสัตว์เทพเชียวนะ! 

 

 

คิดถึงมกร นางอดมองออกไปด้านนอกไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งบอกว่าสัตว์ภูตกับเจ้านายตกลงพันธะสัญญาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าตอนไหนก็ไม่อาจจากกันได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เข้าพักโรงเตี๊ยม นางก็ไม่อาจไม่จองห้องใหญ่ที่มีห้องแยกด้านในถึงกัน ห้องด้านนอกให้มกรอยู่ ยามนั้นก็ไม่อาจสนใจเรื่องชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดอันใดอีก อย่างไรในสายตาเสวียนจี เขาก็ไม่ต่างอันใดกับ ‘สัตว์’ แล้ว คิดว่าในสายตาเขา นางก็คงเป็นนังหนูที่น่ารังเกียจ ขี้เกียจจะสนใจนาง 

 

 

เหนือคาด ห้องด้านนอกว่างเปล่า มกรไม่ได้นอนอยู่ในห้อง เสวียนจีผลักประตูห้องออกไปอย่างประหลาดใจ มองไปโถงชั้นล่างมีไฟวับแวมเหมือนมีเสียงแว่วมา นางจับราวกั้นมองไป เป็นอวี่ซือเฟิ่งกับมกร ทั้งสองดึกดื่นไม่ยอมนอน มาดื่มสุรากันข้างล่าง 

 

 

“พวกเจ้าดื่มสุราทำไมไม่เรียกข้าด้วย?” เสวียนจีรีบวิ่งลงมา ถามพร้อมรอยยิ้มบาง 

 

 

ทั้งสองเห็นนางมาก็รีบหยุดไม่พูดต่อ มกรกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ตัวเป็นผู้หญิง วันๆ เอาแต่ตะโกนโหวกเหวกตีรันฟันแทงก็ผิดมากแล้ว ยังมาดื่มสุรา เห็นแล้วก็น่าโมโหเสียจริง น่ารังเกียจที่สุด” 

 

 

เสวียนจีขี้เกียจจะสนใจเขา แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่มอง อวี่ซือเฟิ่งคว้าแก้วมาให้นางใบหนึ่ง รินสุราลงไป กล่าวยิ้มๆ ว่า “เห็นเจ้าดับไฟนานแล้ว คิดว่าเจ้าหลับแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เรียกเจ้า เมื่อครู่พวกเรากำลังคุยเรื่องไปเขาปู้โจวซานกัน มกรก็มีงานต้องไปจัดการ พอดีเลย รอให้งานชุมนุมปักบุปผาจบก็ไปด้วยกัน” 

 

 

“อ้อ? ทำไมเจ้าไม่เคยบอกข้า? เจ้าก็จะไปเขาปู้โจวซาน? ทำอะไร?” เสวียนจีมองมกรอย่างแปลกใจ เขาหรี่ตาเรียวราวตาหงส์ กวาดตามองนางอย่างรังเกียจ กล่าวว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า ถามมากมายไปทำไม” 

 

 

กล่าวจบ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ล้วงมือเข้าอกเสื้อ เสียง สวบ ดังขึ้น ควักสิ่งหนึ่งออกมา ทุกคนจ้องมอง เห็นเพียงแสงสีเงินวิบวับ ถึงกับเป็นเสี่ยวอิ๋นฮวา 

 

 

“เจ้านี่มันอะไรกันแน่!” มกรขมวดคิ้วถมึงทึง “ไม่อยู่ในแขนเสื้อนายเจ้า วันๆ เอาแต่มามุดตามก้นอยู่กับข้าที่นี่!” 

 

 

เสี่ยวอิ๋นฮวาเลียเขาอย่างเอาใจ หางม้วนขดพันรอบข้อมือเขาอย่างไม่อาจตัดใจ ไม่ว่าเขาสลัดอย่างไรก็ไม่อาจสลัดทิ้งได้ มันเอาแต่พันเขาไว้ 

 

 

“เผาเจ้านะ!” มกรแผ่กำจายกลิ่นอายสังหาร เขาถูกงูน้อยตามติดจนรู้สึกรำคาญแทบทนไม่ไหว ตั้งแต่ต้องกลายมาเป็นสัตว์ภูตของนังเด็กหน้าเหม็น มันก็เอาแต่คิดว่าเขาเป็นคนกันเอง คิดว่าเป็นพวกเดียวกัน เห็นใจกัน แขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งไม่ใช่ที่ที่มันอาลัยอาวรณ์อีกต่อไป ไม่มีอะไรก็เอาแต่มาหาเขาอยู่นั่น 

 

 

“น่าจะเห็นว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกันกระมัง” เสวียนจียิ้มร่าหยอกเย้า “เจ้าเป็นมกร มันก็เป็นงู ล้วนเป็นงูละน่า!” 

 

 

“ถุย! อย่าเอาข้าไปเทียบกับสัตว์ชั้นต่ำพวกนี้! จะว่าไป ผู้ใดบอกเจ้าว่ามกรเป็นงู?!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งดึงเสี่ยวอิ๋นฮวาจากมือเขาคืนมา มันไม่อยากจากมา เอาแต่พันข้อมือมกรไปมา เหมือนว่าวันๆ เอาแค่คิดคำนึงอาลัยไม่อาจตัดใจ อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกจะร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกกับพฤติกรรมหลายใจเช่นนี้ของมัน ได้แต่ถอนใจกล่าวว่า “หากเจ้าชอบเขา ก็ไปเป็นสัตว์ภูตเขาแล้วกัน” 

 

 

พอเสี่ยวอิ๋นฮวาได้ยินเจ้านายกล่าวเช่นนี้ ก็รีบไสก้นมุดกลับมาแต่โดยดี ท่าทางเหมือนลังเลดังภาษิตที่ว่าเสื้อผ้าใหม่ก็ดี แต่สหายเก่าก็ดีเช่นกัน มุดกลับเข้าแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่ง โผล่แต่หัวออกมาจ้องมองมกรไม่ละสายตา ท่าทางราวกับจะแค้นใจดังบทกวีว่า ท่านถือกำเนิด ข้ายังไม่ถือกำเนิด คิดแล้วไม่ควรพานพบ  

 

 

กำลังดูท่าทางไม่อาจตัดใจอยู่นั้น พลันได้ยินนอกหน้าต่างมีเสียงกระพือปีกดังมา เสี่ยวอิ๋นฮวาในยามนั้นตัวแข็งทื่อมุดกลับเข้าไปทันที แม้แต่ศีรษะก็ไม่กล้าโผล่ออกมา ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นนอกหน้าต่างมีลำแสงสีแดง เป็นวิหคเทพหงหล่วนออกลาดตระเวนค่ำคืนกลับมาแล้ว 

 

 

ฉู่เหล่ยส่งมันมาก็เพื่อคอยปกป้องเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่ง มันปฏิบัติหน้าที่ดีมาก ทุกวันนอกจากกินข้าวและนอนแล้ว ก็จะออกลาดตระเวนรอบทิศตรวจดูว่ามีคนหรืออะไรน่าสงสัยหรือไม่ เสวียนจีเปิดหน้าต่าง เป็นวิหคเทพหงหล่วนดังคาด ยืนท่วงท่าสง่างามอยู่นอกหน้าต่าง เส้นขนเรียงตัวสีสันสวยงาม มองเห็นเสวียนจี มันก็ร้องอย่างภาคภูมิ กระพือปีกบินเข้ามาหยุดตรงหน้าอวี่ซือเฟิ่ง เอียงคอลงจ้องมองในแขนเสื้อเขา ด้านในเป็นเสี่ยวอิ๋นฮวาที่ขดตัวเป็นก้อนกลม 

 

 

เสี่ยวอิ๋นฮวาไม่กล้ามองวิหคเทพหงหล่วน มันเป็นสิ่งข่มกัน แต่เจ้าวิหคเทพหงหล่วนกลับชอบนายก็ชอบบ่าว เพราะมันชอบอวี่ซือเฟิ่ง ดังนั้นจึงพลอยชอบเสี่ยวอิ๋นฮวาไปด้วย ตระเวนกลับมาทีไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือมาเล่นกับมัน ยามนี้เห็นเสี่ยวอิ๋นฮวาเอาแต่หลบไม่มองตนเอง มันก็ส่งเสียงร้องอย่างขัดใจ จิกแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งให้ปล่อยเสี่ยวอิ๋นฮวาออกมา 

 

 

“นกโง่ คนเขาไม่ชอบเจ้า! เอาแต่ตามตอแยไม่หยุด ไม่ใช่วิสัยชายชาตรี!” มกรดีดหัววิหคเทพหงหล่วนทีหนึ่ง จงใจเยาะเย้ย เขากับเจ้าสัตว์มีขนตัวนี้สบตากันก็ไม่ถูกกันแล้ว มองอย่างไรก็ขัดตา ครั้งนี้เขาแหย่มันก่อน วิหคเทพหงหล่วนโมโหดังคาด ขนพองทะยานขึ้นพุ่งจิกเขาอย่างไม่สนใจว่าจิกโดนอะไร มกรโดนจิกจนร้องตะโกนดัง มือไม้ปัดป่ายพัลวัน แต่วิหคเทพหงหล่วนตัวเบา เคลื่อนไหวว่องไว จิกหน้าเขาเป็นรูหลายรู จากนั้นก็รีบบินไปนอน 

 

 

“ข้าจะจับเจ้าไปทำน้ำแกงนก!” มกรโมโหจัด แทบอยากจะพ่นไฟเผาทั้งโรงเตี๊ยมนี้ทิ้ง 

 

 

“เจ้าเงียบหน่อยได้ไหม” เสวียนจีมองเขาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร “วันๆ เอาแต่เอะอะโวยวาย หนวกหูจะตายแล้ว” 

 

 

มกรโมโหกำลังคิดโต้กลับ พลันได้ยินเสียงวิหคเทพหงหล่วนที่ขึ้นไปหลับบนคานห้องส่งเสียงแผดร้องดัง แควก ขนพองทั้งตัว พริบตาก็ขยายเป็นสองเท่า ดวงตาสีแดงดังเลือดเผยไอสังหารจ้องออกไปนอกหน้าต่างราวกับพบสิ่งน่ากลัวอันใด พลันกระพือปีกบินออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า 

 

 

“ข้างนอกเหมือนมีการเคลื่อนไหวอะไร” อวี่ซือเฟิ่งกระตุกชายเสื้อเสวียนจีเบาๆ ตีลังกาตามหลังวิหคเทพหงหล่วนออกทางหน้าต่างไป