ชิงเหนี่ยวบินไปทั่วโลกนี้ตามคำแนะนำของจิ๋งจิ่ว ไปหาคนที่อาจจะล่วงรู้ความลับของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง จนกระทั่งสุดท้ายนางถึงไปยังพระราชวังแคว้นจ้าว
นางไม่ชอบไปพระราชวังแคว้นจ้าว เพราะว่าในพระราชวังแห่งนี้มักจะเต็มไปด้วยกลิ่นยาและความโศกเศร้า แตกต่างจากภาพลักษณ์ของแคว้นจ้าวที่คนทั่วทั้งแผ่นดินเห็นอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ชอบขันทีคนนั้นด้วย
ชิงเหนี่ยวเกาะลงบนมุมชายหลังคา ดูคล้ายรูปปั้นบนมุมชายหลังคาตัวหนึ่งภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น
เหอจานแอบเหลือบมองแบบไม่ให้นางได้สังเกตเห็น จากนั้นดึงสายตากลับมามองดูหนังสือสารภาพผิดของฮ่องเต้แคว้นฉู่ที่อยู่ในมือฉบับนั้น
ขนคิ้วของเขาเล็กละเอียด สีหน้าค่อนข้างขาวซีด สายตายิ่งจ้องมองไปบนหนังสือสารภาพผิดนานขึ้น คิ้วที่เรียวเล็กก็ยิ่งเลิกสูงขึ้น สีหน้ายิ่งดูเศร้าสร้อย
เมื่อหยุดอยู่ในดินแดนแห่งความฝันเป็นเวลานาน เขาได้ลืมเรื่องราวไปแล้วหลายเรื่อง แล้วก็มีอีกหลายเรื่องที่ไม่สามารถลืมได้ อย่างเช่นความเจ็บปวดในช่วงวัยเด็ก นกชิงเหนี่ยวที่น่ารำคาญที่จะปรากฏตัวเป็นครั้งคราว แล้วก็ตัวตนของคนบางคน — เขารู้ว่าฮ่องเต้แคว้นฉู่คือคนที่เหมือนกับตนเอง แล้วก็รู้ด้วยว่ารัฐทายาทของจิ้งอ๋องผู้นั้นน่าจะเป็นเพื่อนของตน แต่ก็เป็นเพราะเพื่อนคำนี้ เขาถึงไม่เคยติดต่อกับทางชางโจวเลย
การตายของรัฐทายาทจิ้งอ๋องมิได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเสียใจ กลับเป็นหนังสือสารภาพผิดฉบับนี้ที่ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นและโกรธแค้นแทนฮ่องเต้แคว้นฉู่ รู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก
การมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและไร้รสชาติจริงๆ
เหอจานออกมาจากห้องหนังสือ มายังหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง ก่อนจะรับเอายามาจากนางกำนัล
นี่เป็นยาที่เขาเป็นคนปรุงเอง ห้องยาได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่มีใครที่จะวางยาได้ เมื่อรับรู้ได้ถึงความอุ่นที่แผ่มาจากใต้ชาม เขาจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะผลักประตูตำหนักเดินเข้าไปแล้วกล่าวกับชายหนุ่มที่สวมชุดสีเหลืองที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะผู้นั้นว่า “ฝ่าบาท ถึงเวลาเสวยโอสถแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นจ้าวมองเขาพลางยิ้ม จากนั้นเริ่มไอออกมา ดูค่อนข้างเจ็บปวด
สีหน้าของเขาขาวซีด เมื่อยืนอยู่คู่กับเหอจานแล้วเป็นเหมือนพี่ท้องที่ออกมาจากท้องแม่เดียวกัน เพียงแต่ใบหน้าที่ขาวซีดของเหอจานนั้นเป็นเพราะเขาไม่ค่อยเจอแสงแดด แต่ใบหน้าที่ขาวซีดของฮ่องเต้เป็นเพราะอาการป่วย
ฮ่องเต้แคว้นจ้าวรับเอายามาดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นรับเอาลูกฟักเชื่อมที่เหอจานหยิบออกมาจากในกล่องมาอมไว้ในปาก
เหอจานกล่าวเตือนเขาว่า “ไยต้องบีบคั้นตัวเองถึงเพียงนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ควรจะพักผ่อนเสียหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นจ้าวเดินมายังริมกำแพงพลางเลิกผ้าม่านออก จากนั้นชี้ไปบนแผนที่แผ่นดินแล้วกล่าวว่า “ยังมีสถานที่ที่รอพวกเราอยู่มากขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้ข้าร้อนใจได้อย่างไร?”
บิดาของเขาจะต้องเป็นหนึ่งในฮ่องเต้เลอะเลือนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน ในทางกลับกัน เขาเองก็จะต้องกลายเป็นหนึ่งในฮ่องเต้ที่ปรีชาสามารถที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน แคว้นจ้าวที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาค่อยๆ เจริญรุ่งเรืองและแสดงความยิ่งใหญ่ออกมา ความมืดมนทั้งหมดล้วนแต่ตกไปอยู่กับเหอกงกง ดังนั้นภาพลักษณ์ของเขาจึงสดใสเป็นอย่างมาก เป็นที่รักของประชาชน
เหอจานคิดถึงหนังสือสารภาพผิดก่อนหน้านี้ฉบับนั้น ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลทางแคว้นฉู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นจ้าวกล่าวว่า “จิ้งอ๋องไม่กล้าพอ หวาดกลัวความสามารถของท่านเซ่าเยวี่ย เขาจะต้องไม่กล้ายกทัพไปยึดอำนาจแน่ คงจะได้แต่ต้องพาชางโจวไปสวามิภักดิ์กับคนอื่น”
เหอจานกล่าว “หลายปีมานี้กระหม่อมมิค่อยได้ติดต่อกับชางโจว ยากจะชิงเอาชางโจวมาได้ แต่ถึงแม้เขาจะไปสวามิภักดิ์กับเสียนหยาง กระหม่อมก็จะพยายามหาวิธีตัดกำลังพวกเขาให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แผนการคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ รายละเอียดเจ้าไปคุยกับทางกองทัพแล้วกัน เพียงแต่ว่า…”
ฮ่องเต้แคว้นจ้าวมองเขา กล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องโหดเหี้ยมเหมือนอย่างเมื่อหลายปีก่อนก็ได้ ทำชื่อเสียงของตนเองเลวร้ายขนาดนี้มันไม่มีประโยชน์อะไร”
เหอจานกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “กระหม่อมชอบทำให้คนหวาดกลัว แบบนี้จะได้ทำงานได้สะดวกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นจ้าวส่ายศีรษะ ชี้ไปยังที่หนึ่งบนแผนที่พลางกล่าวว่า “คลองที่จังหวัดเสียวจวิ้นใกล้จะขุดเสร็จแล้ว เรื่องสร้างเขื่อนเจ้าให้คนอื่นไปจัดการดีกว่า”
เหอจานมองไปทางนั้น นึกย้อนกลับไปถึงเมื่อหลายปีก่อน
ในตอนนั้นเขายังเป็นขันทีน้อยของสนมผิง ฮ่องเต้ยังคงเป็นรัชทายาทที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไรคนนั้น
พวกเขาเคยนั่งคุยเรื่องราวมากมายอยู่ที่ริมทะเลสาบในสวนดอกไม้ อย่างเช่นทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากพวกเขาทำสำเร็จแล้ว พวกเขาจะทำเรื่องอะไรบ้าง
คลองในจังหวัดเสียวจวิ้นคือหนึ่งในเรื่องที่พวกเขาคุยในตอนนั้น
คลองสายนี้มีความสำคัญกับแคว้นเจ้าอย่างมาก ทันทีที่ขุดเสร็จ มันจะสามารถส่งน้ำเข้าไปยังที่นานับสิบล้านหมู่ได้ ขณะเดียวกันยังเป็นเหมือนกระบี่ที่ลอยอยู่เหนือหัวแคว้นฉีด้วย
เพื่อที่จะขุดคลองเส้นนี้ให้สำเร็จ แคว้นจ้าวได้เสียทรัพยากรและกำลังไปเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดถูกบีบให้ชะลอการกลืนกินแคว้นหลัว
ตอนนี้ดูแล้ว ทุกอย่างเหมือนจะคุ้มค่า
เขื่อนแห่งนั้นหากมีการใช้งานในอนาคตจริงๆ จะทำให้ธรรมชาติเกิดความเสียหายอย่างมาก ผู้ที่เป็นคนไปคอยคุมการก่อสร้างจะต้องถูกสาปแช่งไปเป็นหมื่นปี ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นจ้าวจึงไม่อยากให้เหอจานไปจัดการด้วยตัวเอง
ครั้งนี้เหอจานมิได้ปฏิเสธความหวังดีของฝ่าบาท เขากล่าวว่า “กระหม่อมจะเลือกคนที่เหมาะสม ทางแคว้นฉีจะต้องหาวิธีมาก่อความวุ่นวายอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นฆ่าพวกมันทิ้งเสีย”
ฮ่องเต้ยิ้มขึ้นมาอย่างเหนื่อยใจ พลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าเอาแต่คิดถึงเรื่องฆ่าคนทั้งวันได้ไหม?”
ท้องฟ้ายามเย็นยิ่งแดงฉาน เงาตรงหน้าต่างค่อยๆ จางหายไป ภายในตำหนักกลายเป็นสีแดง
เสียงของฮ่องเต้และเหอจานเบาลงเรื่อยๆ
ขันนี้และนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกตำหนักมองดูภาพนี้ บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
ภาพที่ฮ่องเต้และขุนนางคนสนิทหารือกันเรื่องบ้านเมืองเช่นนี้ คนที่อยู่ในวังเห็นคนชินตาแล้ว
เพียงแต่เสียดายที่เหอกงกงเป็นขันที ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงยังไม่ค่อยดี ไม่อย่างนั้นจะต้องกลายเป็นเรื่องเล่าที่งดงามในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ ภายในตำหนักจุดไฟขึ้นมา
ฮ่องเต้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เขาไอออกมา เหอจานพยุงเขากลับมานั่งลงบนเตียง
เหอจานกล่าวอีกครั้งว่า “พระองค์ทรงรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
มือซ้ายฮ่องเต้ยันอยู่บนหัวเข่า มือขวาโบกไปมา กล่าวว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าพเจ้าอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ปี แล้วจะไม่ให้ข้าพเจ้าร้อนใจได้อย่างไร?”
ถ้าเป็นขุนนางธรรมดาทั่วไป ในเวลานี้คงจะร่ำไห้ออกมาแล้วกล่าวคำพูดทำนองว่าฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ เหตุใดจึงตรัสเช่นนี้
เหอจานหาได้ทำแบบนั้นไม่ เขาเพียงแค่มองดูฮ่องเต้อย่างเงียบๆ
ฮ่องเต้ก้มศีรษะ รู้สึกเหนื่อยล้า
เขามองดูตรงกลางกระหม่อมของฮ่องเต้ มองเห็นขวัญกลางศีรษะอยู่สามขวัญอย่างชัดเจน นี่แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาด
แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้เป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างมาก
“ข้าพเจ้าอยากจะทำอะไรให้กับประชาชนแคว้นจ้าว ให้กับคนในใต้หล้า หากข้าพเจ้าไม่ทัน….”
ฮ่องเต้ยังคงก้มศีรษะ กล่าวว่า “เจ้าช่วยข้าพเจ้าจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เสร็จ”
ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ขอร้องเช่นนี้ เหอจานก็คิดจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว เพราะเดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่เขาจะทำ
เขายอมทนรับการดูถูกและความเจ็บปวด เดินอยู่ในความมืดที่มองไม่เห็นแสงสว่างก็เพื่อจะจัดการแคว้นต่างๆ กลายเป็นผู้ปกครองใต้หล้า และได้รับกระถางสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุด
เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ พลันถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “นี่เป็นคำสั่งเสียหรือว่าฝากฝังลูก?”
ความแตกต่างของคำสั่งเสียและการฝากฝังลูกนั้นอยู่ที่คำว่าลูก
ภายในตำหนักเงียบสงัด
ขันทีและขุนนางออกไปหมดแล้ว
ฮ่องเต้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา มองดูเขาพลางกล่าวว่า “เจ้ายังคงไม่สนับสนุนการตัดสินใจของข้า?”
เมื่อหลายวันก่อนภายในแคว้นจ้าวได้เกิดเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งขึ้น
ฮ่องเต้ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีผู้สืบทอด จึงได้ตัดสินใจที่จะรับหลานจากในตระกูลคนหนึ่งมาเป็นลูกตนเอง
สุดท้ายหลังทำการเลือกไปเลือกมา ฮ่องเต้ก็ได้เลือกเด็กคนหนึ่งในเรือนเหอเจียนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเด็กที่มีสติปัญญาและความซื่อสัตย์
“กระหม่อมคัดค้านการตัดสินใจนี้มาโดยตลอด”
เหอจานกล่าวอย่างเรียบเฉย “เด็กนั่นคือลูกจิ้งจอกที่เลี้ยงไม่เชื่องพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงการสืบทอดราชบัลลังก์ ขันทีคนหนึ่งไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์และกล่าววาจาหยาบคายและสามหาวเช่นนี้
ทว่าฮ่องเต้กลับไม่โกรธ เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะกล่าวว่า “ได้แต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้น เจ้าช่วยข้าดูหน่อยแล้วกัน”
เหอจานกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้กลับโกรธขึ้นมา เพราะเขารู้ว่าเหอจานกำลังพูดโกหก
เมื่อครู่ที่เหอจานถามว่านี่เป็นการสั่งเสียหรือว่าฝากฝังลูกนั้นก็เป็นการแสดงท่าทีของตัวเองออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
“ข้าพเจ้ารู้ หลังข้าพเจ้าตายไปแล้ว เจ้าไม่มีทางที่จะสนับสนุนเด็กคนนั้นเหมือนอย่างที่สนับสนุนข้าพเจ้า”
ฮ่องเต้จ้องมองดวงตาของเหอจาน กล่าวว่า “เพราะที่ผ่านมาเจ้าคิดอยากจะเป็นฮ่องเต้ที่แท้จริง”
เหอจานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ความจริงพูดเช่นนี้ก็มิผิดนักพ่ะย่ะค่ะ”
ในราชสำนักและในหมู่ชาวบ้าน ไปจนหนึ่งแคว้นอื่นๆ ล้วนแต่มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮ่องเต้มิเคยถามมาก่อน เหอจานเองก็ไม่เคยพูด จนกระทั่งในคืนนี้
สีหน้าของฮ่องเต้ยิ่งขาวซีด ในดวงตามีเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นลุกโชน คล้ายกำลังมองดูคนชั่วที่ทรยศหักหลัง
เหอจานถูกสายตาของเขายั่วโมโหขึ้นมา จึงกล่าวว่า “หากไม่มีกระหม่อม พระองค์จะได้เป็นฮ่องเต้หรือ? หากไม่มีกระหม่อม พระองค์ไม่รู้หรอกว่าพระองค์ต้องตายไปแล้วกี่ครั้ง!”
ฮ่องเต้กล่าวเสียงเบาว่า “แต่นี่เป็นเรื่องที่เจ้าควรทำ!”
เหอจานกล่าวเย้ยหยันเล็กน้อย “เพราะเหตุใด? เพราะพระองค์เป็นฮ่องเต้ แล้วกระหม่อมเป็นขุนนางอย่างนั้นหรือ?”
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ไม่ เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน”
เหอจานกล่าวว่า “กระหม่อมลืมเรื่องราวไปมากมาย แต่กระหม่อมจำได้ไม่ลืมว่าคำว่าเพื่อนคำนี้นั้นไม่น่าเชื่อถือ ได้ยินแล้วรู้สึกคลื่นไส้”
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ พลันกล่าวขึ้นมาว่า “ต้นเกาลัดที่อยู่บนเนินในสวนดอกไม้ตอนนั้น เจ้าไปทำอะไรกับมันใช่ไหม?”
เหอจานขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวว่า พระองค์รู้ได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ตอนนั้นเจ้ายังฝึกวิชาไม่สำเร็จ จึงมีร่องรอยเหลือทิ้งเอาไว้ “
เหอจานกล่าวว่า “ตอนนั้นพระองค์เองก็ทรงตรวจสอบกระหม่อม เมื่อรู้ว่ากระหม่อมมีความสัมพันธ์กับขันทีชราแซ่หงถึงได้ทำความรู้จักกับกระหม่อม สรุปแล้วก็คือพระองค์เองก็ใช้ประโยชน์จากกระหม่อมเช่นกัน”
ฮ่องเต้กล่าวอย่างผิดหวังเล็กน้อย “นั่นสิ พวกเราต่างก็ใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นะ”
เหอจานนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
ฮ่องเต้พลันไอขึ้นมา ดูค่อนข้างเจ็บปวด
เหอจานขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบเอายาเม็ดหนึ่งออกมา เขาครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็แบ่งยาออกมาประมาณหนึ่งในสี่ป้อนเข้าไปในปากของฮ่องเต้ ก่อนจะพยุงให้เขานอนลงไป
อาการไอของฮ่องเต้ค่อยๆ หยุดลง จากนั้นสงบสติอารมณ์ลงแล้วหลับตาพักผ่อน
เหอจานทูลลา เตรียมตัวออกไป
จู่ๆ ฮ่องเต้พลันตะโกนเรียกเขา จากนั้นมองดูแผ่นหลังของเขาพลางกล่าวถามว่า “เจ้า…ไม่ใช่คนในโลกนี้ใช่ไหม?”
ร่างกายของเหอจานสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “พระองค์ตรัสอะไรองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ดึงสายตากลับมา มองออกไปยังดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง
“ที่ผ่านมาข้าไม่รู้สึกว่าโลกนี้เป็นของปลอม จนกระทั่งพบว่าเจ้ามิได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อโลกนี้ ข้าถึงได้เริ่มครุ่นคิดถึงคำถามนี้”
เหอจานกล่าว “กระหม่อมไม่เข้าใจความหมายของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กล่าว “สำหรับโลกนี้แล้ว เจ้าก็เหมือนเป็นแขกคนหนึ่งตลอดกาล สำหรับเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนแปลกหน้าตลอดกาล นี่คือความหมายของข้า”
เหอจานก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “กระหม่อมจะรับใช้พระองค์จนถึงช่วงเวลาสุดท้าย กระหม่อมจะไม่ทำอะไร แล้วก็คุ้มครองฮองเฮาไปตลอดชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เดินออกไปด้านนอกตำหนัก มิได้หมุนตัวกลับมา แล้วก็มิได้เหลียวหน้ากลับมา
“หากเจ้าไม่ได้เป็นขันที ข้าพเจ้าคงจะยกบัลลังก์ให้เจ้าไปแล้ว…”
เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นมาด้านหลังเขา
เมื่อเดินออกมาด้านนอกตำหนักก็มีขันทีเอาเสื้อมาคลุมให้เขา
ช่วงเวลากลางดึกมักจะค่อนข้างหนาวเย็น
ขันทีหลายสิบคนเดินห้อมล้อมกายเขาออกไปนอกวัง
ขันทีเหล่านี้ล้วนแต่เป็นลูกน้องของเขา มีความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างมาก ภายใต้การคุ้มกันของพวกเขา การจะสังหารเหอจานนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะทำได้
ประตูวังอยู่ตรงหน้า เหอจานพลันหยุดฝีเท้า กล่าวว่า “ข้าจะไปดูที่ที่หนึ่งหน่อย พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ขันทีเหล่านั้นพลันตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าแผ่นดินนี้คนที่อยากจะฆ่าเหอกงกงมีอยู่ไม่น้อย มาตรว่าจะอยู่ในวังก็ยังไม่ปลอดภัย กงกงจะทำอะไร?
เหอจานมายังสวนดอกไม้ภายในวัง
เขายืนอยู่ใต้ต้นเกาลัดต้นนั้น นิ่งเงียบทอดตามองออกไป
แสงดาวสาดลงมาบนผ้าคลุมสีดำ
เขาดูแล้วเหมือนปีศาจที่กำลังรำลึกความหลัง