เหอจานเดินออกไปนอกวัง พาเหล่าขันทีเดินไปบนถนน กลุ่มคนพากันหลีกทางให้
ผู้คนบนถนนมีจำนวนบางตาลงเรื่อยๆ เพราะปลายทางของถนนมีจวนที่น่ากลัวอยู่แห่งหนึ่ง
ที่นี่คือหน่วยสืบสวนและจับกุมที่เหอจานเป็นคนสร้างขึ้นมา มีฝ่าบาทเป็นผู้ดูแลโดยตรง ดังนั้นในเวลาส่วนใหญ่แล้วจึงหมายความว่าที่นี่คือจวนที่ทำงานของเขา
หน่วยสืบสวนและจับกุมมีสายลับอยู่หลายพันคน แต่ที่มีจำนวนมากกว่านั้นก็คือองครักษ์เสื้อแดง เจ้าหน้าที่ระดับสูงส่วนใหญ่คือขันทีที่เหอจานเป็นคนเลือกมา มีสิทธิ์ในการตรวจสอบและจับกุมขุนนางไปจนถึงอ๋องโดยไม่ต้องได้รับการอนุญาต มีอำนาจที่สูงมาก
เหล่าขุนนางที่เป็นเจ้าหน้าที่ล้วนสวมชุดสีดำราบเรียบ หัวหน้าขององครักษ์เสื้อแดงที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งสวมชุดผ้าแพร ถึงแม้จะอยู่ในความมืดของท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่ก็ยังดูสะดุดตา
เหอจานเดินเข้าไปในจวน ขันทีและเหล่าหัวหน้าองครักษ์เสื้อแดงต่างพากันโค้งคำนับ เขาเดินขึ้นไปยังด้านบนสุดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถอดเสื้อคลุมโยนให้ลูกน้อง ก่อนจะนั่งลงไปบนเก้าอี้
ทุกคนต่างคุกเข่าลงไป พร้อมพูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คารวะท่านเชียนซุ่ย[1]”
สีหน้าเหอจานยังคงเรียบเฉย นิ้วมืองอขึ้นเล็กน้อย เพื่อบอกให้ทุกคนลุกขึ้น จากนั้นใช้มือขวาเท้าคางตัวเอง หลับตาพักผ่อน
เหล่าลูกน้องรู้ถึงนิสัยของนายตนเอง จึงเริ่มก้าวออกมากล่าวรายงานสถานการณ์ในช่วงนี้ทีละคน
“มีเสียงต่อว่ามากมายจากบัณฑิตในสำนักปัญญาชนว่านซง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีการแอบติดต่อกับนักปรัชญาของแคว้นฉี คิดอยากจะก่อความวุ่นวาย คนที่เป็นผู้นำจำนวนสิบสามคนถูกจับเข้าคุกแล้วขอรับ”
เจ้าหน้าที่คนนั้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อว่า “เพียงแต่ข่าวรั่วไหลออกไปค่อนข้างเร็ว บัณฑิตสำนักปัญญาชนจึงมารวมตัวกัน หากใช้กำลังรุนแรงเข้าไปสลาย เกรงว่าอาจจะเกิด….”
เหอจานหลับตาพลางกล่าวว่า “บัณฑิตฆ่าไม่ได้ ถ้าหากฆ่า นั่นกลับจะยิ่งเข้าทางพวกเขา ส่วนจะจัดการอย่างไร หรือต้องให้ข้าสอนเจ้าอีก?”
น้ำเสียงของเขาเนิบช้า แต่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกลับเหงื่อแตกออกมาเต็มแผ่นหลังทันที เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “ภายในหน่วยทำการเตรียมพร้อมไว้แล้วขอรับ เพียงแต่การจะรวบรวมจดหมายที่พวกเขาใช้ติดต่อกันเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้เวลาเล็กน้อย หากเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็จะสามารถยืนยันจำนวนตัวผู้ที่เป็นแกนนำที่ติดต่อกับทางฉินได้ จากนั้นก็จะให้ทหารบุกเข้าไปในบ้านพวกเขา ถ้าไม่จุดไฟเผาก็สังหารคน….”
เหอจานไม่ค่อยพอใจเท่าไร เขากล่าวว่า “ยังคงหยาบไปหน่อย ทำให้ละเอียดกว่านี้หน่อย”
เจ้าหน้าที่คนนั้นเช็ดเหงื่อพลางถอยหลังไป จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งก้าวออกมารายงานว่า “พ่อค้าแคว้นฉีตอบสนองต่อเรื่องคลองที่เขาเสียวซานค่อนข้างช้า แต่ตระกูลเฮ่อกับตระกูลเซียวนั้นดูระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด มีเงินจำนวนมากไหลเข้ามาในเมืองหลวง พยายามจะติดสินบนขุนนางใหญ่ๆ ในราชสำนักขอรับ”
เหอจานลืมตาขึ้นมา ค่อยๆ กวาดตามองไปบนใบหน้าของเหล่าลูกน้อง
หากบอกว่าพ่อค้าแคว้นฉีคิดอยากจะติดสินบนขุนนางในราชสำนัก ขันทีที่อยู่ในหน่วยสืบสวนและจับกุมเหล่านี้ย่อมต้องเป็นคนที่พ่อค้าเหล่านั้นให้ความสำคัญ เกรงว่าคงจะถูกเลี้ยงจนอ้วนแล้ว
ไม่มีใครกล้าเงยหน้าสบตาเหอจาน เจ้าหน้าที่ที่กล่าวรายงานอยู่ผู้นั้นฝืนสะกดความกลัวในจิตใจ กล่าวด้วยสีหน้าขาวซีดว่า “ขอใต้เท้าได้โปรดสั่งการด้วย”
“คลองเสียวซานไม่หายไปไหน ดังนั้นเงินของพ่อค้าแคว้นฉี พวกเจ้าจะรับมาก็ได้”
เหอจานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “แต่พวกเขาก็ต้องรีบส่งของที่ข้าต้องการมาเช่นกัน ต้องการเงินเท่าไรข้าให้ได้ แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถส่งของบนเรือสินค้ามาได้ อย่างนั้นก็ปล่อยข่าวออกไปว่าพ่อค้าแคว้นฉีดูแคลนตัวแทนของราชสำนักเรา จากนั้น…ก็ให้หลานอวี่ขึ้นฝั่งแล้วกัน”
เหล่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบสวนและจับกุมรู้สึกว่าอากาศภายในจวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก — พ่อค้าแคว้นฉีสามารถถูกกซื้อตัวได้ แล้วก็สามารถสังหารเพื่อข่มขู่ได้ ใครๆ ต่างก็รู้ว่าความอดทนของเหอกงกงนั้นมีไม่มาก ซื้อตัวไม่สำเร็จก็จะฆ่าคน แต่วันนี้จิตสังหารของเขาดูรุนแรงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องที่พ่อค้าแคว้นฉีลบหลู่ตัวแทนราชสำนักแคว้นจ้าวย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง แต่หลานอวี่กลับเป็นเทพสังหารที่มีอยู่จริง — ไม่ว่าจะเป็นแคว้นฉีหรือว่าแคว้นจ้าว หรือกระทั่งเจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบสวนและจับกุมล้วนแต่กำลังคาดเดาว่าโจรสลัดเลื่องชื่อผู้นี้จะเป็นมือสังหารที่เหอกงกงเลี้ยงเอาไว้หรือเปล่า ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดเหอกงกงถึงให้ความสำคัญกับของที่อยู่บนเรือสินค้าขนาดนี้ กลับไม่มีใครเข้าใจ
เจ้าหน้าที่คนที่สามเริ่มรายงาน “ผู้ตรวจการเฉินยังคงไม่ยอมรับขอรับ”
“อย่างนั้นก็สอบสวนต่อไป สอบสวนให้ดี ตั้งใจสอบสวน อย่าให้เขาตาย แล้วก็อย่าให้เขาได้อยู่สบายนัก”
เหอจานคิดถึงใต้เท้าผู้ตรวจการที่มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวผู้นั้น บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน แต่กลับไม่รู้ว่ายิ้มให้ใคร
“ว่าไปแล้ว หากในราชสำนักมีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นเด็กกำพร้าหรือแม่หม้ายที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีภรรยา ไม่มีลูก แล้วพวกเราจะทำงานแทนฝ่าบาทได้อย่างไร?”
เจ้าหน้าที่คนนั้นปลุกความกล้าขึ้นมา กล่าวขอคำชี้แนะว่า “หากเขายอมมอบซีฮว๋าย แล้วเราจะสอบสวนอย่างไรขอรับ?”
ซีฮว่ายคือสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามแห่งหนึ่งในเรือนเหอเจียน
เหอจานเหลือบตามองดูเจ้าหน้าที่ผู้นั้น พลางกล่าวว่า “ทางเหอเจียนให้อะไรแก่เจ้า?”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “หากข้าได้รับอะไรมา ไหนเลยจะกล้าถามคำถามนี้ขอรับ เพียงแต่ว่า…ที่นั่นมันคือเรือนอ๋องนะขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเหล่าเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยสืบสวนและจับกุมพลันเปลี่ยนเล็กน้อย พวกเขาต่างรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้จัดการได้ลำบาก
หากเป็นเรือนอ๋องธรรมดา หน่วยสืบสวนและจับกุมบอกตรวจก็คงตรวจไปแล้ว คนที่ถูกคุมตัวอยู่ในคุกตอนนี้ก็มีจวิ้นอ๋อง[2]อยู่สองคน กั๋วจิ้ว[3]สามคน ไหนเลยจะกลัวอ๋องธรรมดาเหล่านั้นได้
แต่ผู้ที่อยู่ในเรือนอ๋องเหอเจียนแห่งนั้น…คือฮ่องเต้ในอนาคต!
เหอจานมองเหล่าลูกน้องอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “ในสายตาข้ามีเพียงฝ่าบาท ไม่มีใครอื่นอีก เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจเหล่าเจ้าหน้าที่พลันรู้สึกเย็นยะเยือก ต่างพากันคุกเข่าลงไปกับพื้น มิกล้ากล่าวอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
……
……
ในพระราชวังแคว้นฉู่
ภายในตำหนักที่หนาวเย็นที่สุดแห่งนั้น กระทั่งแสงแดดก็ยังแปรเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นอย่างมาก
นกชิงเหนี่ยวเดินมาตรงหน้าจิ๋งจิ่ว มันคิดถึงภาพที่มองเห็นในเมืองหลวงของแคว้นจ้าวเหล่านั้น พลางกล่าวอย่างรู้สึกหวาดกลัวว่า “ขันทีนั่นโรคจิตจริงๆ น่ากลัวอย่างมาก”
จิ๋งจิ่วกล่าว “พูดเรื่องฮ่องเต้แคว้นจ้าว”
นกชิงเหนี่ยวได้สติขึ้นมา กล่าวว่า “จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์ของเหอจานและฮ่องเต้แคว้นจ้าวซับซ้อนและละเอียดอ่อน แต่แบบนี้ก็ทำให้ฮ่องเต้แคว้นจ้าวมองความจริงเท็จของโลกนี้ออกได้หรือ? ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
เมื่อก่อนในคันฉ่องฟ้ากระจ่างก็เคยมีเหตุการณ์ที่มีคนบำเพ็ญเพียงจนบรรลุสภาวะไปถึงระดับสูง แต่สุดท้ายก็ถูกทัณฑ์สวรรค์ทำลายทิ้งไป แต่สถานการณ์ของมั่วกงและฮ่องเต้แคว้นจ้าวมันไม่เหมือนกัน
ทั้งสองคนนี้รับรู้ได้แล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือสัมผัสได้ว่าโลกที่ตนเองอยู่นี้มิใช่ของจริง
ดินแดนแห่งความฝันมิใช่โลกที่แท้จริง การไถ่ถามกระถางสัมฤทธิ์ก็มิใช่ใต้หล้าที่แท้จริงเช่นกัน คนที่อยู่ด้านในย่อมมิใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริง
แต่ถ้ามีคนรับรู้ได้ถึงความลวงตาของโลก นั่นก็หมายความว่าพวกเขามองเห็นความเป็นจริงแล้ว แล้วมันก็จะกลายเป็นความเป็นจริง
นางใช้ชีวิตอยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่างมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ที่ผ่านมาไม่เคยเจอเรื่องราวทำนองนี้มาก่อน
“ข้าเคยบอกแล้วว่านี่ต้องเริ่มพูดตั้งแต่ตัวเจ้า”
จิ๋งจิ่วมองนกชิงเหนี่ยวพลางกล่าว “ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้จักตัวเองให้ดีเสียก่อน”
นกชิงเหนี่ยวเดินมาริมถ้วยชา ก้มมองลงไปยังผิวน้ำ มองเห็นเงากลับหัวของนกตัวหนึ่ง
มีลมพัดขึ้นมา ผิวน้ำที่อยู่ในถ้วยชาเกิดคลื่นกระเพื่อม เงาดูเลือนลาง
นางกลายเป็นเด็กหญิงที่งดงามเหมือนรูปปั้นแกะสลัก ปีกที่โปร่งแสงกระพือขึ้นมาเล็กน้อย เกิดเป็นลมแผ่วเบา พลังเซียนจางๆ กระจายออกไปรอบด้าน
ผู้คนที่อยู่ในพระราชวังไม่ได้รู้สึกถึง แต่ต้นไม้ที่มีหิมะปกคลุมและเหล่าวิหคที่อยู่ในรังด้านนอกหน้าต่างกลับสัมผัสได้
ชิงเอ๋อร์มองไปในถ้วยชาอีกครั้ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมามองจิ่งจิ่วพลางถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ข้าก็คือข้านี่นา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในตอนที่พบเจ้าครั้งแรกในหอเล็ก ข้าก็มั่นใจแล้วว่าเจ้าเป็นดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ แต่ยังขาดอยู่อีกนิดหนึ่ง”
ชิงเอ๋อร์รู้สึกงงๆเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ขาดตรงไหน?”
จิ๋งจิ่วใช้นิ้วแตะลงไปในน้ำชา ก่อนจะเอามาป้ายตรงหว่างคิ้วของนาง พลางกล่าวว่า “ถึงแม้เจ้าจะยังไม่รู้ตัวเอง เเต่ตอนนี้ก็ไม่ถือว่าแย่”
ชิงเอ๋อร์ รู้สึกได้ถึงความเย็นสบายตรงหว่างคิ้ว ก่อนจะคิดถึงภาพนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
ยังคงเป็นยอดเขาแห่งนั้น ด้านนอกรั้วคือภูเขาหิมะ ด้านในรั้วก็คือภูเขาหิมะเช่นกัน
นางพูดโกหกต่อนักพรตไป๋
มิใช่การโกหกอะไรที่ร้ายแรง มิได้ส่งผลกระทบต่อโดยรวม
แต่มันก็ยังเป็นการโกหกครั้งแรกของนาง
“ถูกต้อง นับแต่ตอนนั้น ข้าถึงได้กลายเป็นดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์โดยสมบูรณ์”
ชิงเอ๋อร์มองจิ๋งจิ่ว ก่อนกล่าวถามด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง “แต่นั่นมันเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่เกิดในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์นั้นมีสภาวะของมันอยู่ เกิดมาก็เป็นซ่อนพิภพ”
ชิงเอ๋อร์ตกใจ ใช้มือเล็กๆ ปิดปากตัวเอง พลางกล่าวถามว่า “จริงหรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ในสมัยโบราณเหล่านั้นถ้าไม่บรรลุกลายเป็นเซียนตามเซียนในสมัยโบราณไป ก็ดับสูญไปพร้อมกับเวลา
เป็นเวลานานหลายปีที่ไม่มีดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ปรากฏขึ้นมาบนโลก จึงไม่มีใครรู้ว่าดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์นั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่
เจ้าสำนักจงโจวไม่รู้ นักพรตไป๋ไม่รู้ กระทั่งตัวชิงเอ๋อร์เองก็ไม่รู้ แต่จิ๋งจิ่วรู้
“เมื่อก่อนข้าเคยเจอดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ดวงหนึ่ง เจ้าเป็นดวงที่สอง”
เขากล่าวว่า “ทันทีที่กลายเป็นดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ที่แท้จริง นั่นก็จะเท่ากับการเข้าสู่สภาวะซ่อนพิภพไปโดยปริยาย”
ชิงเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ข้าจำได้ว่าสภาวะซ่อนพิภพของพวกเจ้านั้นอยู่เหนือขั้นมหายานขึ้นไป อย่างนั้นมิเท่ากับว่าตอนนี้ข้ากลายเป็นเซียนแล้วหรอกหรือ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าจะเข้าใจอย่างนี้ก็ได้”
ชิงเอ๋อร์ลืมตาโต “เพราะข้ากลายเป็นเซียน ดังนั้นคนที่อยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่างถึงได้ตื่นรู้ขึ้นมา?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ซ่อนพิภพคือพิภพที่แท้จริง มิใช่ดินแดนแห่งความฝัน เช่นนั้นคนที่อยู่ด้านในก็ย่อมต้องกลายเป็นคนที่แท้จริง”
ชิงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ นางกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “อย่างนั้นข้าก็คือเจ้าของโลกนี้?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “จะเข้าใจเช่นนี้ก็ได้ แต่สถานการณ์ของเจ้ากับซ่อนพิภพที่ข้าเคยพบมานั้นแตกต่างกันอย่างมาก พิภพของพวกข้าคือความว่างเปล่า แต่พิภพของเจ้ากลับเป็นโลกที่อยู่มาหลายหมื่นปี จากที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ ในตอนที่โลกในคันฉ่องฟ้ากระจ่างดับสูญไป เจ้าเองก็หายตามไปด้วย ดังนั้นมันจึงเหมือนเป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพากันมากกว่า”
ชิงเอ๋อร์กำมือเล็กๆ ขึ้นมา ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าหลงใหลว่า “จู่ๆ ข้าพลันรู้สึกว่าตัวเองทรงพลัง ไม่สิ ยิ่งใหญ่มากกว่า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
ชิงเอ๋อร์ไม่อยากสนใจเขา จึงกล่าวถามว่า “อย่างนั้นหลังจากนี้ข้าควรทำอะไร?”
“รอคอย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้”
ชิงเอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าภูมิใจ “เป็นเวลานานแล้วที่บนแผ่นดินเฉาเทียนไม่มีเซียนเหมือนอย่างข้า นอกจากเจ้าสัตว์ประหลาดที่อยู่ทางเหนือนั่น ข้ายังต้องกลัวอะไรอีก?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สภาวะมิได้หมายถึงความสามารถในการต่อสู้ เจ้าเองก็เคยพูดเอาไว้ว่าเจ้าเป็นแค่เพียงดวงจิต มิใช่กฎ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมียันต์เซียนอยู่ด้วย”
ชิงเอ๋อร์เข้าใจความหมายของเขา นางรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย แต่จู่ๆ พลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวถามว่า “ดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ที่เจ้าเคยเจอมาเป็นอย่างไรหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เป็นเห็ด”
ชิงเอ๋อร์หลืมตาโต กล่าวว่า “หา?”
“บางครั้งก็เป็นหญ้า บางครั้งก็เป็นก้อนหิน บางครั้งก็เป็นลิง”
สุดท้ายจิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แต่แน่นอน เวลาส่วนใหญ่มันเป็นกระบี่”
………………………………………………………..
[1]เชียนซุ่ย แปลว่า พันปี
[2]จวิ้นอ๋อง คือตำแหน่งที่รองจากอ๋อง
[3]กั๋วจิ้ว คือพี่ชายของพระมเหสี