ไป๋เจ่ามองดูสายที่อยู่บนพิณเหล่านั้น นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งความฝันเป็นเวลานาน ถูกโลกในดินแดนแห่งความฝันทำให้สับสน ผู้แสวงมรรคาอาจจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกก่อนหน้านี้ไปได้ แต่เห็นได้ชัดว่าซีอี้อวิ๋นมิได้เป็นแบบนั้น เขาเหมือนจงใจที่จะลืมมันไปมากกว่า เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้?
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นางกล่าวทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ ว่า “ช่างมหัศจรรย์จริงๆ”
ไป๋เชียนจวินเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน กล่าวว่า “ควรจะจัดการอย่างไรดี?”
“เหล่าบัณฑิตของเรือนอี้เหมาไม่ฝึกเต๋า แต่ใจแห่งเต๋ากลับมั่นคงดุจหินผา ยากสั่นคลอนได้”
ไป๋เจ่ากล่าว “ตอนนี้คิดหาวิธีฆ่าเขา ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้จะต้องเกิดปัญหายุ่งยากอย่างมากแน่”
ไป๋เชียนจวินพลันกล่าวขึ้นมา “ข้าเองก็ลืมเรื่องบางเรื่องไป ขอเพียงไม่ไปคิดถึงมันก็จะลืมมันไป แต่บางเรื่องถ้าไม่อยากลืมก็ลืมไม่ได้”
ต่อให้เป็นสายตาที่สงบนิ่งแค่ไหนก็ต้องถูกรับรู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นด้านหลังสายตาที่สงบนิ่งนั้นยังมีความเร่าร้อนแอบซ่อนอยู่
ไป๋เจ่าไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า “ศิษย์พี่ถงเหยียนออกไปแล้ว ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ไป๋เชียนจวินค่อยๆ ดึงสายตากลับมา มองไปยังเงาไฟที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำในสระ น้ำเสียงเยือกเย็นลงเล็กน้อย
“เดิมข้าก็คัดค้านเรื่องที่เขาจะไปเมืองหลวงของแคว้นฉู่แล้ว ศิษย์น้องกับเขาต่างให้ความสำคัญกับจิ๋งจิ่วมากเกินไป”
ไป๋เจ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ศิษย์พี่ตายแล้ว แสดงให้เห็นว่าจิ๋งจิ่วคู่ควรที่จะให้ความสำคัญอย่างที่ข้าว่าไว้”
ไป๋เชียนจวินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ศิษย์น้องเจ้าถูกเสมอ”
ไป๋เจ่าจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “ถูกต้อง มีอะไรไม่เหมาะหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะ ทุกอย่างล้วนแต่ดำเนินการไปตามความคิดของเจ้ากับถงเหยียน สุดท้ายยันต์เซียนจะต้องตกเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน”
ไม่รู้ว่าสายลมจากที่ใดพัดเข้ามาในวัง ทำลายเงาสะท้อนของตะเกียงไฟตรงตำแหน่งที่สายตามองเห็นได้จนแตกกระจาย
ไป๋เชียนจวินมองไปตรงนั้นอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “จู่ๆ ข้าเพียงแค่อยากจะลืมเรื่องบางเรื่องไปให้มากกว่านี้”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ เขาก็หมุนตัวเดินออกจากตำหนัก เตรียมพร้อมสำหรับงานราชาภิเษกในวันพรุ่งนี้
ไป๋เจ่ามองดูผิวน้ำ มิได้กล่าวกระไร
นางเข้าใจความหมายของเขา รู้สึกเบื่อหน่าย
เงาตะเกียงไฟที่อยู่บนผิวน้ำค่อยๆ กลับมารวมตัวอีกครั้ง
นางคิดถึงข่าวลือจากทางแคว้นฉู่
หลังจากเขียนหนังสือสารภาพผิดแล้ว จิ๋งจิ่วก็ถูกมหาบัณฑิตผู้นั้นขังเอาไว้ในตำหนักเย็น
เขาย่อมมิได้เขียนหนังสือสารภาพผิดด้วยตนเอง แต่การถูกขังเอาไว้ในตำหนักเย็นนั้นเป็นเรื่องที่เขายินดีทำด้วยตัวเอง ก็เหมือนอย่างนาง
เมื่อคิดถึงความบังเอิญนี้ ไป๋เจ่ายิ้มขึ้นมา รู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก
……
……
ผ่านไปอีกห้าปี
ฮ่องเต้ไป๋แห่งแคว้นฉินนิสัยโหดเหี้ยม ขูดรีดภาษี บังคับให้ตระกูลที่ร่ำรวยจากลั่วซีจำนวนสามพันครอบครัวย้ายมายังเสียนหยาง เสียงก่นด่าดังไปทั่วทุกที่ ….. ชาวบ้านได้แต่ต้องใช้สายตาระบายความในใจ ทหารม้าสามหมื่นนายที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของเขาเป็นเหมือนกระบี่อันแหลมคม กำราบทั่วทั้งแผ่นดินทางเหนือ ไร้ซึ่่งผู้ต่อกร กระทั่งเผ่าเร่ร่อนเหล่านั้นก็ยังต้องถอยหนีไปด้วยความหวาดกลัว
แคว้นจ้าวซึ่งเป็นเพียงแคว้นเดียวที่ต่อกรกับแคว้นฉินได้ก็ต้องมาเจอกับเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งในเวลานี้ ฮ่องเต้ของพวกเขากำลังจะตาย
ฮ่องเต้ผู้นี้ปรีชาสามารถ สติปัญญาเฉียบแหลม ใจกว้างเมตตา น่าเสียดายที่เกิดมาร่างกายอ่อนแอ จึงไม่มีผู้สืบทอด
ในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะปัญหาเหล่านี้ ภายในแคว้นจ้าวจึงมีบรรยากาศแปลกๆ มาโดยตลอด ฮ่องเต้มีพระราชโองการมาหลายครั้ง ทำการแต่งตั้งและปลดขุนนางหลายตำแหน่ง ทำการจำกัดอำนาจของหน่วยสืบสวนและจับกุม สนับสนุนพระญาติของฮองเฮา เห็นได้ชัดว่าต้องการ ต่อต้านเหอกงกง แต่ไม่ว่าขุนนางและประชาชนในแคว้นจ้าว และพ่อค้าของแคว้นฉี จะตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างไร สุดท้ายฮ่องเต้ก็มิได้ลงมือต่อเหอกงกง เขายังคงเชื่อใจเหอกงกงเป็นอย่างมาก กระทั่งยาก็ยังกินยาที่เหอกงกงปรุงให้
กลิ่นยาภายในตำหนักเบาบางลงกว่าแต่ก่อน อาจเป็นเพราะว่าหน้าต่างถูกเปิดออกจนหมดเพื่อให้อากาศถ่ายเท
“มหาบัณฑิตจางแก่กว่าพวกเราห้าสิบปี ต่อให้เค้าจะอายุยืนแค่ไหนก็ไม่มีทางอยู่เกินยี่สิบปี” ฮ่องเต้ดื่มยาจะหมด แต่สีหน้าก็มิได้ดีขึ้น เขานอนเอนตัวอยู่บนตั่ง หอบหายใจเล็กน้อย จากนั้นกล่าวต่อว่า “ในใต้หล้าหลังจากนี้ คนที่จะรับมือฮ่องเต้ไป๋ได้ก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นแล้ว”
เหอจานมิได้พูดอะไร แล้วก็มิได้บอกให้ฝ่าบาทพักผ่อน เพราะไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าฝ่าบาทอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและการเชื้อเชิญ เหอจานนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตบหลังมือของเขา ยังคงมิได้กล่าวกระไร
มีสายลมพัดมาจากด้านนอกตำหนัก คนที่เดินตามสายลมเข้ามาคือฮองเฮา
นางเดินมายังหน้าตั่งด้วยน้ำตานองหน้า เบียดเหอจานให้ออกไปอย่างหยาบคายเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงข้างกายฮ่องเต้พลางกุมมือของเขาเอาไว้
เหอจานเดินออกไปด้านนอกตำหนัก คล้ายได้ยินเสียงถอนใจดังไล่ตามหลังมา
……
……
ในคืนวันนั้น ฮ่องเต้แคว้นจ้าวสวรรคตลง
เหอจานมองดูเขาสิ้นลมไปต่อหน้า จากนั้นเริ่มจัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างสงบนิ่ง จนกระทั่งจัดการได้พอสมควรแล้ว เขาถึงจะกลับยังห้องของตนเอง นอนพักอยู่ครึ่งชั่วยาม
ตลอดทุกขั้นตอน เขาไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลย ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการเสียมารยาท
ฮองเฮาได้ให้คนมาถาม หลังรู้ว่าเขาไม่ได้ไปยังสวนดอกไม้ก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าผิดหวังดี
ฟ้ายังไม่สว่าง ทั้งในและนอกพระราชวังก็มีขุนนางสวมชุดไว้ทุกข์ยืนอยู่เต็มไปหมด แล้วก็มีขุนนางจำนวนมากไปยืนรอต้อนรับอยู่นอกเมืองตามกฎ
รัฐทายาทของอ๋องเหอเจียนเตรียมเข้าเมืองหลวงเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์
ตามหลักแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ได้กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ห้าปีก่อน เช่นนั้นรัฐทายาทก็ควรจะเข้ามาอยู่ในวังในฐานะรัชทายาท จากนั้นก็สืบทอดราชบัลลังก์ในวันนี้ได้เลย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้อเสนอนี้จึงมิเคยได้รับการพิจารณา ว่ากันว่าเป็นเพราะเหอกงไม่ชอบรัฐทายาท จึงแอบใช้ลูกไม้บางอย่าง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป แสงอาทิตย์ค่อยๆ ส่องสว่างมุมหลังคาของตำหนัก แต่เหล่าขุนนางที่ออกไปต้อนรับด้านนอกเมืองยังไม่กลับมา
บรรยากาศภายในวังและภายนอกวังค่อนข้างตึงเครียดและกดดัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
บนถนนมีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมา
ม้าเร็วกลับมาแจ้งข่าว
จากนั้นก็มีการรายงานต่อเป็นทอดๆ
เหล่าขุนนางและอ๋องที่ยืนอยู่สองข้างของบันไดหยกด้านหน้าตำหนักจ้องมองดูเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการผู้นั้นราวกับว่าจะจับเขากลืนลงไปทั้งเป็นอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าหน้าที่กรมพิธีการผู้นั้นใบหน้าขาวซีด เขากล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “รัฐทายาท…รัชทายาท…ไม่….ท่านผู้นั้นไม่ยอมเดินเข้าประตูเจิ้งหมิง หากแต่จะเดินเข้าทางประตูซีฮว๋า”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ด้านหน้าตำหนักพลันเงียบสงัด เหล่าขุนนางสบตากัน ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
รัชทายาทรับตำแหน่งต้องเดินเข้าทางประจูเจิ้งหมิง
ฮ่องเต้กลับวังมาต้องเดินเข้าทางประตูซีฮว๋า
เรื่องง่ายๆ แต่กลับสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ภายในราชสำนักมักจะมีขุนนางที่กล้าเสนอตัวออกมารับใช้
ไม่นานความเงียบด้านหน้าตำหนักก็ถูกทำลายลง
ราชบัณฑิตผู้หนึ่งก้าวออกมา แล้วเริ่มอ้างอิงตำราโบราณเพื่อบอกว่าการที่ฝ่าบาทเสด็จมาจากทางประตูซีฮว๋านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
จากนั้นก็มีขุนนางอีกหลายคนออกมาแสดงออกว่าเห็นด้วย
ความดีความชอบย่อมต้องมาพร้อมความเสี่ยง แต่ขุนนางใหญ่ๆ ที่แท้จริงเหล่านั้นกลับยังคงนิ่งเฉย
เสียงถกเถียงของเหล่าขุนนางค่อยๆ เบาลง สายตาทุกคู่ต่างมองไปยังที่ที่หนึ่ง
ตรงนั้นมิใช่ที่ที่สูงที่สุด เรียกได้ว่าอยู่ค่อนข้างห่างไกลบันไดหยกเสียด้วยซ้ำ ตรงนั้นคือเงามืดของมุมตำหนัก มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงามืดนั้น
“หากไม่อยากเดินเข้าประจูเจิ้งหมิง เช่นนั้นก็เชิญกลับไป”
ตลอดทั้งงานราชาภิเษกของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เหอจานพูดเพียงประโยคเดียว
ประวัติศาสตร์ถูกบันทึกเอาไว้แบบนี้
…………………………………………………
[1]เสี่ยวเจ่า หมายถึงไป๋เจ่า
[2]ไท่จง หมายถึงฮ่องเต้ในลำดับที่สองแห่งราชวงศ์