ภาคที่ 4 ตอนที่ 137 ปีนี้มาถึงตระกูลจาง

มรรคาสู่สวรรค์

ประตูเจิ้งเหมินคือประตูข้างของพระราชวัง มันมิได้สว่างไสวเหมือนกับชื่อ หากแต่ดูอึมครึมวังเวง ค่อนข้างน่ากลัว

ฮ่องเต้น้อยมองดูอุโมงค์ที่ทอดยาวตรงหน้า ในใจครุ่นคิดถึงข่าวลือที่คนในวังเล่าต่อๆ กันมาก่อนหน้านั้น ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย

ตามนิสัยของเขาแล้ว ในเวลานี้เขาอยากจะหมุนตัวแล้วหนีกลับไปเป็นรัฐทายาทอยู่ที่เรือนเหอเจียนเหมือนเดิม แต่เมื่อห้าปีก่อน มารดาได้เคยบอกกับเขาเอาไว้ว่าหากเข้าไปยังเมืองหลวง เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ แค่จำเรื่องสองเรื่องเอาไว้ให้ดี — นั่นคือเคารพและกตัญญูต่อฮองเฮา แล้วก็ห้ามทำผิดต่อเหอกงกง

เขาไม่เข้าใจว่าคนผู้นั้นมีอะไรน่ากลัว เหตุใดทั่วทั้งแคว้นจ้าวถึงได้หวาดกลัวเขา แล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าหากตนเองได้เป็นฮ่องเต้ เหตุใดถึงยังต้องสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าขันทีผู้นี้ด้วย คิดไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะมารดาของเขาได้ใช้วิธีสุดโต่งทำให้เค้า จดจำเรื่องนี้เอาไว้อย่างที่ยากจะลืมได้

เมื่อห้าปีก่อนหลังกล่าวคำพูดประโยคนี้ได้ไม่นาน มารดาของเขาก็ป่วยตาย

ใครๆ ต่างก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะนางจำเป็นต้องตาย

ในแคว้นแคว้นหนึ่งมิอาจมีนายสองคนได้ ฮ่องเต้เองก็ไม่สามารถมีมารดาสองคนได้เช่นกัน

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ยิ่งขาวซีด เขาสูดหายใจลึกๆ เดินเข้าไปในประตูวัง

เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าขุนนางจึงรู้สึกโล่งใจ

บันทึกประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าภายในงานราชาภิเษกของฮ่องเต้องค์ใหม่ เหอกงกงได้พูดแค่เพียงประโยคเดียว ซึ่งนี่ย่อมมิใช่ความจริง

เพียงแต่คำพูดที่เขาพูดเหล่านั้นไม่มีใครได้ยิน ยกเว้นก็แต่ฮ่องเต้น้อย

แสงสว่างตรงด้านข้างตำหนักเหวินฮว๋าค่อนข้างสลัว ใบหน้าของเหอจานแอบซ่อนอยู่ในเงามืด ฮ่องเต้น้อยยิ่งรู้สึกหวาดวิตก สายตามองออกไปด้านนอกตำหนัก

คนจากเรือนเหอเจียนที่ตามเขาเข้ามาในวังรอคอยอยู่ด้านนอกตำหนัก มิได้ถูกไล่ออกไป แล้วก็ไม่ได้ถูกเปลี่ยนตัว

เรื่องนี้มิได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเลย นี่กลับแสดงให้เห็นว่าคนที่อยู่ในวังเหล่านี้มีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าสามารถควบคุมตนเองได้

เหอจานกล่าวว่า “ในอดีตฝ่าบาทควรเสด็จเข้ามาในวังเพื่อเรียนรู้การปกครองบ้านเมืองในฐานะรัชทายาท แต่ผลปรากฎว่าถูกคนขัดขวางเอาไว้ ในข่าวลือบอกว่าเป็นกระหม่อม ความจริงแล้วไม่ใช่”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ฮ่องเต้น้อยเกิดความรู้สึกคิดไปเองบางอย่าง เขาคิดว่าเหอกงกงอยากจะแสดงความจงรักภักดีของตนเองออกมาเพราะหวาดกลัว สีหน้าเขาเลยดูแปลกไปเล็กน้อย

โชคดีที่เหอกงกงกล่าวประโยคต่อไปออกมาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่าขันอย่างเช่นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ครองบัลลังก็ได้เพียงวันเดียวเพราะเข้าใจผิด

“กระหม่อมมิได้หวาดกลัว แล้วก็มิใช่ว่าไม่เข้าใจ กระหม่อมเพียงอยากจะทูลฝ่าบาทว่า กระหม่อมทราบว่าเมื่อห้าปีก่อน พระองค์ไม่อยากเสด็จเข้ามาในวัง”

เหอจานกล่าว “แต่สุดท้ายวันนี้ก็มาถึง ไม่อยากก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ในวังให้ดีแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”

น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและเยือกเย็น แต่คำพูดที่ใช้ในและท่าทีการพูดนั้นกลับทำให้ฮ่องเต้น้อยรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก จากนั้นเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ที่เขาโกรธนั่นเป็นเพราะตนเองไร้ความสามารถ แล้วก็ย่อมต้องทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัว ริมฝีปากของฮ่องเต้น้อยสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เขาคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถพูดออกไปได้

“คนที่เรือนเหอเจียนแอบส่งเข้ามาในวังในช่วงเวลาห้าปีนี้ เช้าตรู่วันนี้ได้ถูกจับจนหมดแล้ว เชื่อว่าในเวลานี้คงจะตายไปหมดแล้ว”

น้ำเสียงของเหอจานยังคงเรียบเฉย เขากล่าวว่า “ต่อไปฝ่าบาทก็ไม่ต้องส่งกังวลว่าจะถูกพวกกบฏที่คิดไม่ซื่อเหล่านั้นมากวนพระทัยอีก”

ใบหน้าของฮ่องเต้น้อยเปลี่ยนเป็นขาวซีด

เรือนเหอเจียนเตรียมการมามากมาย ในระยะเวลาห้าปีไม่รู้ว่าแอบส่งเงินทองและนักรบ อีกทั้งที่ปรึกษาเข้ามาในวังเท่าไร ทั้งหมดก็เพื่อให้เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง

ใครจะไปคิดถึงว่าเรื่องเหล่านี้จะอยู่ในการควบคุมของหน่วยสืบสวนและจับกุมมาโดยตลอด ใช้เวลาแค่เพียงคืนเดียวก็กวาดล้างได้จนหมด

“คนที่ข้าพาเข้าวังเหล่านั้น…ก็ต้องถูกฆ่าทั้งหมดด้วยหรือ?”

ฮ่องเต้น้อยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีก เขาจ้องมองดวงตาของเหอจาน กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “กงกง ท่านไม่คิดไว้หน้าราชวงศ์แม้แต่น้อยเลยหรือ!”

เหอจานกล่าว “ย่อมมิได้เป็นเช่นนั้นพะยะค่ะ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พระองค์คือพระโอรสของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เป็นราชาแคว้นจ้าว กระหม่อมจะให้ความเคารพพระองค์อย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”

ลำดับการบรรยายนั่นคือเรื่องที่สำคัญอย่างมาก

—-เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าเป็นลูกชายของฮ่องเต้องค์ก่อน มิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเรือนเหอเจียนอีก

หากจำจุดนี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็จะมีคนอีกมากต้องตาย กระทั่งตัวเจ้าเองก็อาจไม่ใช่ฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นจ้าว

ฮ่องเต้น้อยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ กล่าวถามด้วยสีหน้าพ่ายแพ้และเย้ยหยัน “เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าควรเรียกกงกงว่าอย่างไรล่ะ?”

เหอจานกล่าวว่า “เวลาที่อยู่กันสองคน กระหม่อมอนุญาตให้พระองค์เรียกกระหม่อมว่าลุงได้พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เดินออกไปจากตำหนักเหวินฮว๋า

เมื่อมองดูแผ่นหลังที่มืดสลัวนั้น บนใบหน้าของฮ่องเต้น้อยก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงและความรู้สึกเหลวไหล สุดท้ายก็กลายเป็นความหวาดกลัวอีกครั้ง

……

……

ตำหนักหยวนกงคือตำหนักที่พักของฮองเฮา

วันนี้ฮองเฮาได้กลายเป็นไทเฮา แต่ยังคงพักอาศัยอยู่ที่นี่

ไทเฮาและฮ่องเต้พระองค์ก่อนรักใคร่กันเป็นอย่างดี พระญาติของไทเฮาได้รับการอุ้มชูมาเป็นเวลาห้าปี เช่นนั้นความสัมพันธ์กับเหอกงกงย่อมไม่ค่อยดี

เหอจานเดินเข้าไปในตำหนัก สีหน้าค่อนข้างเหนื่อยล้า เมื่อเห็นสภาพเขาเป็นแบบนี้ ความรู้สึกโศกเศร้าที่อยู่ภายในใจไทเฮาจึงลดน้อยลงไปเบ้าง นางยิ้มเยาะอย่างเงียบๆ

“กระหม่อมคุยกับฝ่าบาทเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุยพอได้”

เหอจานกล่าวว่า “ก็เหมือนกับที่พวกเราได้ตกลงเอาไว้ก่อนหน้านี้ พระองค์คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง กระหม่อมก็จะไม่ออกหน้า”

“ไม่ออกหน้าหรือว่าไม่สะดวกที่จะออกหน้า ในใจเจ้ารู้ดี”

ไทเฮากล่าวว่า “ขันทีไม่มีทางยืนอยู่ในที่สว่างได้ ข้าไม่เข้าใจว่าเราจะยังดึงดันไปทำไม เปิ่นกง[1]สั่งเพียงคำเดียวก็มอบความตายให้แก่เจ้าได้แล้ว”

“ไทเฮาควรเรียกตัวเองว่าไอเจีย[2]”

เหอจานกล่าวโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “บนโลกไม่มีคนอย่างมั่วกงอยู่อีก ราชสำนักอยู่ในมือกระหม่อม ใต้หล้าไม่มีใครสามารถประทานความตายให้กระหม่อมได้ มาตรว่าทำได้ พระองค์ก็ไม่ควรทำเช่นนั้น”

ไทเฮา เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวอย่างหยิ่งทะนงว่า “หากไม่มีไอเจีย ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็ทำไม่สำเร็จ”

เหอจานกล่าวว่า “เช่นเดียวกัน อาศัยเพียงพี่ชายปัญญาอ่อนสองสามคนในตระกูลของพระองค์ ไม่เกินสิบปี ราชสำนักจะต้องเปลี่ยนมืออย่างแน่นอน พระองค์จะถูกจับไปขังไว้ในตำหนักเย็น ตระกูลของพระองค์ถูกสังหารจนสิ้น”

ต้นเกาลัดต้นนั้นยังคงอยู่ในวัง ยังคงเป็นความสัมพันธ์แบบต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันอยู่

ไทเฮานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องราวในครั้งนี้ ไม่มีทางจบลงง่ายๆ อย่างแน่นอน”

ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างประตูเจิ้งเหมินและประตูซีฮว๋า แล้วก็ยิ่งเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของฮ่องเต้น้อย และเหอกงกง ขุนนางที่กล้าแสดงตนออกมารับใช้และถนัดในการฉวยโอกาสในราชสำนักเหล่านั้นจะพลาดโอกาสแบบนี้ไปได้อย่างไร? ด้วยการเปิดฉากโจมตีแบบหยั่งเชิงโดยมีเจ้าหน้าที่ที่คอยให้คำปรึกษาและทัดทานฝ่าบาทของฝ่ายตรวจการเป็นผู้นำ ทางนักเรียนของโรงเรียนหลวงและเหล่าบัณฑิตของสำนักปัญญาชนว่านซงยิ่งมีปฏิกิริยาที่รุนแรงขึ้น และจากการสืบสวนของหน่วยสืบสวนและจับกุมพบว่าเบื้องหลังของเรื่องราวเหล่านี้มีเงาของโรงเรียนหลวงของแคว้นฉีแอบซ่อนอยู่ เบาะแสทุกอย่างล้วนชี้ไปยังบัณฑิตที่ชื่ออวิ๋นซีผู้นั้น

หลังจากนั้นหลายสิบวัน การโจมตีเหอจานก็เข้าสู่ช่วงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักหรือว่าไทเฮาที่อยู่ในวังก็ล้วนแต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ถึงแม้พวกเขาเองจะถูกเหล่าบัณฑิตพวกนั้นโจมตีเช่นเดียวกัน

ขอเพียงเหอจานออกหน้ากำราบเรื่องนี้ ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ชื่อเสียงของเขาก็จะยิ่งฉาวโฉ่ แล้วก็มีช่องโหว่ปรากฏมากขึ้น

เหอจานไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้ออกหน้า หลังจากที่หน่วยสืบสวนและจับกุมได้สิ่งของบางอย่างมาแล้ว เขาก็เข้าวังในเวลากลางดึกเพื่อพบไทเฮา

ไทเฮาคิดอยากจะถ่วงเวลา จึงบอกว่ามืดแล้วไม่สะดวกพบเขา แต่ยามเฝ้าประตูและองครักษ์เหล่านั้นจะขวางเหอกงกงเอาไว้ได้อย่างไร?

เมื่อเห็นเหอจานยังคงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ไทเฮาเอามือจิกไปบนเสื้อผ้า พลางกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เหอจานไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่วางม้วนเอกสารเหล่านั้นลงตรงหน้านาง

ไทเฮาเหลือบมอง ยิ่งรู้สึกโกรธ นางกล่าวว่า “เจ้าคิดจะใส่ร้ายไอเจีย?”

“นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลไทเฮา ไทเฮามิรู้เรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ใช่การใส่ร้ายด้วย”

เหอจานกล่าวว่า “ยึดครองที่นา บีบบังคับขุนนางในอำเภอจนตาย รังแกประชาชน เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็ก แต่การสมคบคิดกับแคว้นฉีนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากประชาชนรู้ว่าในช่วงหลายปีมานี้ตระกูลของไทเฮาล้วนแต่ถูกพ่อค้าของแคว้นฉีเลี้ยงดูเอาไว้ พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?”

เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เดินออกไปจากตำหนัก กระทั่งม้วนเอกสารก็ได้ไม่ได้เอาไป

ไทเฮามองดูม้วนเอกสารเหล่านั้น นิ่งเงียบไปเป็นเวลาหนึ่งคืน ในที่สุดเช้าวันที่สอง ก็ทำการตัดสินใจออกมา นางเรียกขุนนางสนองพระราชโองการจำนวนหลายคนเข้าวัง พระราชโองการหลายฉบับถูกประกาศออกไป เหล่าขุนนางรับคำสั่ง ฝ่ายตรวจการถูกกวาดล้างอีกครั้ง คนที่ควรเข้าคุกก็ถูกจับไปเข้าคุก คนที่ควรถูกเนรเทศก็ถูกเนรเทศ สำนักปัญญาชนว่านซงถูกปิด โรงเรียนหลวงหยุดการเรียนการสอนชั่วคราวเพื่อสร้างลานหมิงถัง[3]

เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่น่าหวาดกลัว แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดย่อมต้องเป็นเสียงโบยที่อยู่ด้านนอกวัง

ขุนนางบางคนจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ขุนนางบางคนกระดูกแข็ง แต่ถึงอย่างนั้นก้นก็ยังเป็นเนื้ออ่อนๆ เมื่อถูกโบยไปสิบกว่าไม้ มีหรือที่เสื้อผ้าของพวกเขาจะไม่เปื้อนเลือด?

เรื่องราวค่อยๆ สงบลง ถึงแม้จะบอกว่าสายลับของหน่วยสืบสวนและจับกุมกับขุนนางที่เป็นพวกของเหอกงกงจะไม่ได้ทำอะไรเลยในการกวาดล้างนี้ แต่นั่นก็มิอาจหยุดยั้งไม่ให้คนทั้งแผ่นดินโยนความผิดกลับไปที่ตัวเหอกงกงได้ ก็เหมือนกับในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา

ชื่อเสียงของเหอกงกงยิ่งฉาวโฉ่ คล้ายว่ากลายเป็นปีศาจที่แท้จริงอย่างไรอย่างนั้น สำหรับเด็กน้อยที่ร่ำไห้ในเวลาค่ำคืนแล้ว เรียกได้ว่าเขาน่ากลัวเสียยิ่งกว่าฮ่องเต้ไป๋แห่งแคว้นฉินเสียอีก

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นจ้าวอายุยังน้อย ไทเฮาคอยบริหารงานราชการอยู่เบื้องหลัง

แต่ทั่วทั้งแผ่นดินต่างรู้ว่าเหอกงกงที่ยืนอยู่ในเงามืดต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่กุมอำนาจอย่างแท้จริง ผู้คนพากันเรียกขานเขาว่าพระเก้าพันปี

……

……

ในประวัติศาสตร์มีขุนนางที่มีอำนาจทั้งในราชสำนักและด้านนอกวังและคอยควบคุมฮ่องเต้เอาไว้เหมือนอย่างเหอจานอยู่ไม่มาก อีกทั้งขุนนางประเภทนี้มักจะตายเร็ว น้อยนักที่จะสามารถควบคุมราชสำนักเอาไว้ได้นานขนาดนี้เหมือนอย่างเขา

ภายในโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง มิได้มีเพียงแค่เหอจานที่เป็นแบบนี้ ยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็นเหมือนอย่างเขา นั่นก็คือมหาบัณฑิตจางแห่งแคว้นฉู่ หรือก็คือท่านเซ่าเยวี่ยที่คนพากันเรียกขาน

ฮ่องเต้แคว้นฉู่ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นมาสิบปี ใกล้จะหายไปจากความทรงจำของผู้คน

สำหรับเด็กหลายๆ คน พวกเขารู้จักเพียงมหาบัณฑิต ไม่รู้จักฮ่องเต้

มหาบัณฑิตจางยังคงบริหารบ้านเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม เพียงแต่อารมณ์นับจะแปลกขึ้นทุกวัน วิธีการก็ยิ่งแข็งกร้าวขึ้นทุกวัน แม้จะไม่มีใครกล้าคัดค้าน แต่ความรู้สึกไม่พอใจกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ

ตกเย็นวันหนึ่ง มหาบัณฑิตตรวจรายงานเสร็จเรียบร้อย รู้สึกตาลายเล็กน้อย จึงลุกขึ้นเดินไปริมหน้าต่าง มองดูดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ค่อยๆ คล้อยตกลง พลันเกิดความรู้แจ้งอย่างหนึ่งขึ้นมา

ฮ่องเต้แคว้นฉินองค์ก่อนตายไปยี่สิบปีแล้ว ฮ่องเต้แคว้นฉินที่มาจากเมืองเป๋ยไห่คนนั้นก็ตายไปสิบปีแล้ว ฮ่องเต้หนุ่มของแคว้นจ้าวคนนั้นก็ตายไปห้าปีแล้ว

มหาบัณฑิตเข้าไปในวัง

ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งเมืองหลวง ก่อนจะแพร่กระจายไปยังแคว้นจ้าวและแคว้นฉิน

เหล่าขันทีและนางกำลังคุกเข่าอยู่ไม่ไกลจากตำหนัก มองดูภาพที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกมือไม้ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำอะไร

ประตูวังที่ปิดสนิทมีรอยขีดข่วนเหมือนภาพวาด กุญแจขึ้นสนิม บนขอบและมุมกำแพงเต็มไปด้วยร่องรอยที่มิได้รับการซ่อมแซมมาเป็นเวลานาน

มหาบัณฑิตจางมองดูตำหนักที่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลาหลายปีแห่งนี้ ภายในใจเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาเป็นอย่างมาก เขาจัดเสื้อผ้า ค่อยๆ หมอบคารวะ

“กระหม่อมขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงที่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังออกมาจากในตำหนัก “ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าถ้าไม่มีธุระ ห้ามมารบกวนข้า”

สำหรับขันทีและนางกำนัลหลายๆคนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเสียงของฝ่าบาท สีหน้าดูค่อนข้างสับสน

มหาบัณฑิตจางกล่าวว่า “กระหม่อมมีธุระพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงที่เยือกเย็นเสียงนั้นกล่าวว่า “เรื่องอะไร?”

มหาบัณฑิตจางคารวะประตูวังบานนั้นอย่างจริงจังพลางกล่าวว่า “กระหม่อมแก่แล้ว ใกล้จะตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงที่เย็นยะเยือกเสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง “เข้ามา”

……………………………………………………………..

[1] เปิ่นกงเป็นคำที่ฮองเฮา องค์หญิงหรือราชวงศ์ฝ่ายหญิงใช้เรียกตัวเอง

[2]ไอเจีย เป็นคำที่ไทเฮาใช้เรียกตัวเอง

[3]ลานหมิงถัง คือลานโล่งหน้าอาคาร เป็นจุดสำคัญที่พลังงานจะไหลเวียนมาสะสมไว้