บทที่ 30 หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา ! (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 30 หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา ! (ต้น)

ในยามราตรี ชายหนุ่มกำลังขับรถม้าด้วยความเร็วสูง โดยที่ภายในรถม้าก็มีเด็กสาวเกาะเเขนเขาไว้แน่น นางเอนศีรษะพิงซบไหล่ของชายผู้นั้นพร้อมกับหลับตา เห็นได้ชัดว่าหลับใหลไปเรียบร้อยแล้ว

ชายหนุ่มเหลือบมองเด็กสาวตัวน้อยข้างกายเขาเป็นระยะ ดวงตาของเขาเปี่ยมแววรักใคร่

“เจ้ารักน้องสาวเจ้ามากเหลือเกินนะ !”

ในตอนนี้ เสียงสตรีลึกลับพลันดังขึ้นในหัวของเยี่ยฉวน

ได้ยินเสียงของสตรีลึกลับ เยี่ยฉวนก็ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ้มและเอ่ยตอบ “ข้าเป็นพี่ชายของนาง หากข้าไม่เอาใจนางแล้วใครจะทำกัน ?”

สตรีลึกลับเอ่ย “เจ้าช่างสมกับเป็นพี่ชายจริง ๆ”

เยี่ยฉวนยิ้มและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ข้าได้ยินมาว่าเซียนกระบี่สามารถตัดภูเขาหรือแม่น้ำได้ภายในกระบวนท่าเดียว เรื่องนี้จริงหรือไม่ ?”

สตรีลึกลับตอบ “เป็นเรื่องจริง !”

ได้ยินคำพูดของนางแล้ว เยี่ยฉวนก็พลันรู้สึกใฝ่ฝันที่จะเป็นขึ้นมา !

เซียนกระบี่ !

การได้ขี่กระบี่ไปในโลกหล้าและทอดมองภูเขาลำเนาไพร เป็นสิ่งที่เยี่ยฉวนอยากทำมากที่สุด

ในตอนนี้สตรีลึกลับก็ได้เอ่ยขึ้นมา “หากเจ้าฝึกฝนอย่างหนัก เจ้าก็จะมีโอกาสเป็นเซียนกระบี่ได้เหมือนกัน !”

เยี่ยฉวนยิ้มกริ่มและเอ่ยตอบ “ใช่ เมื่อใดที่ข้าควบคุมกระบี่ได้ ข้าก็จะพาน้องสาวออกไปท่องโลกใบให้ทั่วหล้านี้”

สตรีลึกลับเอ่ย “ช่างหวังน้อยอะไรเช่นนี้ !”

เยี่ยฉวนหัวเราะและเร่งความเร็วของรถม้าขึ้น

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงจากทิศตะวันออกก็สว่างขึ้น แต่ทว่ามันกลับมีฝนตก !

เยี่ยฉวนมองไปบนฟ้า เขาพบว่ามันตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ หนักเสียจนพวกเขาต้องหยุดหลบฝนไม่สามารถเดินทางไปต่อได้ !

ชายหนุ่มพยายามเร่งความเร็ว ไม่นานนักเขาก็เห็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาไกลออกไป

โรงเตี๊ยมแห่งนั้นดูทรุดโทรมและเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างยิ่ง

“มีโรงเตี๊ยมอยู่ในหุบเขาลึกแบบนี้ได้อย่างไรกัน ?”

เห็นโรงเตี๊ยมนี้แล้ว ก็ไม่อยากพักอาศัยอยู่แต่ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับมีลมแรง  นี่เป็นสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมต่อการเดินทางเป็นอย่างยิ่ง !

เยี่ยฉวนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบแผนที่ที่หลี่อวี๋ให้เขามา ชายหนุ่มพยายามหาตำแหน่งปัจจุบันของเขา และมันก็ไม่อยู่ในสถานที่อันตราย !

ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงขับรถม้าตรงเข้าไปจอดไว้ที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมแห่งนั้นที่ประตูเปิดกว้างอยู่

เยี่ยฉวนตรวจสอบโรงเตี๊ยมตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ถูกทิ้งร้างมานานแล้ว ตรงขอบกำแพงมีแต่วัชพืชขึ้นหนาทึบ

แต่เมื่อเห็นว่าฝนคงไม่หยุดตก เยี่ยฉวนก็อุ้มเยี่ยหลิงเข้ามาในโรงเตี๊ยมร้างแห่งนี้และเข้ามาไปในโถงรับแขก ภายในโถงนั้นมีคนสองคนอยู่ก่อนแล้ว เป็นชายชราคนหนึ่งในชุดเทา กับเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี พวกเขานั่งอยู่ข้างกัน

เมื่อเห็นเยี่ยฉวนกับน้องสาว ชายชราก็พลันละสายตาเหลือบมองแวบหนึ่ง ขณะที่เด็กหนุ่มหันมายิ้มและพยักหน้าให้เป็นเชิงทักทาย

เยี่ยฉวนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับน้องสาว

เยี่ยฉวนก่อกองไฟ จากนั้นเขาก็หยิบเนื้อไก่ออกมาย่าง

เห็นดังนี้แล้ว เด็กหนุ่มผู้นั้นพลันเบิกตาขึ้น จากนั้นเขาก็วิ่งมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยฉวนและแนะนำตัวเอง “ข้าเจียงมู่ฉี พี่ชายชื่ออะไรหรือ ?”

เยี่ยฉวนมองเด็กหนุ่มและตอบกลับ “ข้าเยี่ยฉวน”

เจียงมู่ฉียิ้มและเอ่ยขึ้น “ฟ้าส่งให้เรามาพบกันแท้ ๆ ท่านว่าไหม ?”

เยี่ยฉวนชี้ไปที่ไก่ย่างบนกองไฟตรงหน้า “อยากกินไหม ?”

เจียงมู่ฉีอึ้งไป แต่พยักหน้ารัว ๆ ในทันที

เยี่ยฉวนหยิบเนื้อไก่ส่งให้เด็กหนุ่ม “รับไปสิ”

เจียงมู่ฉีไม่ได้ปฏิเสธ เขาหยิบมันไปและย่างมันอย่างช้า ๆ ด้วยตัวเอง

เจียงมู่ฉีเหลือบมองเยี่ยฉวนแล้วยิ้ม “พี่ชาย ถึงท่านจะมีพลังแค่ระดับผสานลมปราณ แต่ท่านกลับมีพื้นฐานวรยุทธ์แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ท่านไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย !”

ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ มือของเยี่ยฉวนพลันชะงักเล็กน้อย แต่เขาก็รีบกลบเกลื่อนเป็นปกติ “เจ้าเองก็ล้ำลึกยิ่งนัก !”

เด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา !

ความจริงแล้วเยี่ยฉวนไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังคิดอย่างเดียวกับเขา !

คิ้วของเด็กหนุ่มเลิกขึ้นเล็กน้อย “มาประลองกันซักกระบวนท่าดีหรือไม่ ?”

เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างเขาก็เอ่ยเสริม “แล้วก็หยุดตอนที่ควรจะหยุด”

ในตอนนี้ ชายชราที่อยู่ไม่ไกลก็พลันเอ่ยขึ้น “อย่าทำเกินไปล่ะ !”

ได้ยินคำพูดของชายชรา เยี่ยหลิงที่นั่งข้างเยี่ยฉวนก็ไม่พอใจเล็กน้อย นางเหลือบมองชายชรา “ท่านปู่เจ้าค่ะ ท่านพี่ของข้าฝีมือดีเยี่ยมยิ่ง บางทีพี่ข้าอาจจะสยบเขาก็ได้ !”

ชายชราเหลือบมองเยี่ยหลิงและเอ่ยกลับ “งั้นหรือ ?”

เยี่ยหลิงมองเยี่ยฉวน เยี่ยฉวนยิ้มอ่อนโยนและเอ่ย “งั้นก็มาประลองเถอะ !”

เยี่ยฉวนกับเจียงมู่ฉีเดินหลบไปข้าง ๆ เจียงมู่ฉียิ้มและเอ่ยกล่าว “เรามาเริ่มกันเลยไหม ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้า

ทันทีที่เยี่ยฉวนพยักหน้า เจียงมู่ฉีก็หายไปอย่างฉับพลัน ครู่ต่อมาหมัดหนึ่งก็ซัดเข้าที่อกของเยี่ยฉวน ขณะเดียวกันหมัดของเยี่ยฉวนก็ซัดบนอกของเจียงมู่ฉีด้วยเช่นกัน !

พวกเขาถอยกลับพร้อมเพรียงกันอย่างรวดเร็ว หลังทั้งคู่ก้าวถอยไปเกือบสิบก้าว พวกเขาก็หยุดในเวลาเกือบจะพร้อมกัน !

ตรงข้ามเยี่ยฉวน เจียงมู่ฉีมองเยี่ยฉวนและอุทานออกมา “กำลังกายของท่านแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก !”

เยี่ยฉวนเอ่ย “เจ้าก็ด้วย”

หมัดของเขาที่กระทบร่างเจียงมู่ฉีนั้นให้ความรู้สึกราวกับชกแผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง !

เจียงมู่ฉีหัวเราะพลางเอ่ย “มีผู้เปี่ยมพรสวรรค์มากมายในแคว้นเจียงจริง ๆ นับตั้งแต่ที่ข้าออกมาจากวังหลวง ข้าก็ได้เห็น…”

“แฮ่ม !”

ในตอนนี้เอง ชายชราที่อยู่ไม่ไกลพลันแค่นเสียง

เจียงมู่ฉีมองชายชราอย่างจนใจ “ท่านเกอ หากเราต้องระแวดระวังทุกอย่างเวลาออกมาด้านนอก มันจะมีประโยชน์อะไรหรือ ?”

ชายชราส่ายหน้า “ในโลกภายนอก ผู้คนช่างซับซ้อนนัก”

เจียงมู่ฉียิ้มและเอ่ยขึ้น “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก ข้าเห็นว่าพี่ชายคนนี้เป็นคนดี เขาดูไม่เหมือนคนร้ายมากเล่ห์เลย”

กล่าวดังนั้นแล้วเขาก็มองเยี่ยฉวนและประสานมือคำนับ “พี่ชายเยี่ย ข้าเจียงมู่ฉี องค์ชายสิบแห่งแคว้นเจียง !”

องค์ชาย !

เยี่ยฉวนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับองค์ชายแห่งแคว้นเจียงที่นี่ !

เมื่อคืนสติได้แล้ว เยี่ยฉวนก็ประสานมือคำนับพลางเอ่ยตอบ “ข้าเยี่ยฉวน เป็นเพียงคนพเนจรผู้หนึ่ง !”

เมื่อเจียงมู่ฉีได้ยินดังนี้เขาก็หัวเราะดังลั่นและเอ่ยขึ้น “ท่านพี่เยี่ย ด้วยพลังของท่านแล้ว การจะเป็นคนมีชื่อเสียงได้ก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น !”

เยี่ยฉวนส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร เขาไม่สนใจชื่อเสียงลาภยศ

บ่อยครั้งนักที่ชื่อเสียงสามารถฆ่าคนได้ !

ในที่สุดฝนก็เริ่มซาลงเล็กน้อย

ชายชราลุกขึ้นและเอ่ยออกมา “องค์ชาย ถึงเวลาต้องไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงมู่ฉีพยักหน้าเล็กน้อย เขาหยิบไก่ย่างสุกเหลืองขึ้นมาและมองเยี่ยฉวน “ท่านพี่เยี่ย ข้าต้องไปแล้ว ข้าขอลา !”

เอ่ยดังนี้แล้วเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้ เขาหยิบป้ายหยกออกมายื่นให้กับเยี่ยฉวน “ท่านพี่เยี่ย นี่คือป้ายหยกของข้า มันอาจเป็นประโยชน์กับท่านในเมืองหลวง หากมีวาสนา แม้ห่างกันไกลพันลี้ยังได้พบหน้า เห็นแก่ฟ้าลิขิตหนนี้ พี่เยี่ยโปรดอย่าปฏิเสธเลยพวกเรานับว่าเป็นมิตรสหายกันแล้ว !”