บทที่ 31 หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา ! (ปลาย)
เยี่ยฉวนเหลือบมองเจียงมู่ฉีอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงรับป้ายหยกนั่นไว้
เห็นเยี่ยฉวนรับป้ายหยกแล้ว เจียงมู่ฉีก็ยิ้มกริ่มและเอ่ยขึ้น “แล้วเจอกัน !”
หลังจากนั้นเขากับชายชราก็หันหลังหายไปที่ประตูโรงเตี๊ยม
เยี่ยฉวนมองแผ่นหลังของพวกเขาและนิ่งเงียบเป็นเวลานาน
ด้านนอกโรงเตี๊ยม ชายชราพลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขรึม “องค์ชาย พระองค์ต้องการดึงเขามาอยู่ข้าง เดียวกับเราหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
เจียงมู่ฉียิ้มอ่อนโยน “คน ๆ นี้เป็นผู้ฝึกกระบี่ ในการประลองเมื่อก่อนหน้านี้ เราต่างมีพลังยุทธ์เสมอกัน แต่เขาไม่ได้ใช้กระบี่ หากเขาใช้กระบี่ ข้าก็ไม่อาจกล่าวได้เเน่ชัดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ !”
กล่าวดังนี้แล้วเขาก็หันมองโรงเตี๊ยมผุพัง “เขาสมควรได้รับการเชิดชูจากผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น เป็นเรื่อง ดีแล้วที่ข้าพบเขาในเดินทางครั้งนี้”
ชายชราอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงกล่าวตอบ “คนคนนี้มีพื้นฐานพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งและมีทักษะการ ต่อสู้ไม่น้อย แต่ยังไงเสียเขาก็อยู่เดียวดายไม่มีตระกูลชั้นสูงหรือสำนักใดหนุนหลัง อนาคตของเขามีจำกัด อีก อย่างการที่เขาไม่ได้เป็นคนของตระกูลชั้นสูงและไม่มีเบื้องหลัง นั่นหมายความว่าเขาสามารถช่วยเหลือองค์ชาย ได้ไม่มาก นี่อาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมองค์ชายใหญ่กับองค์หญิงเก้าถึงไม่ส่งคนมาที่เมืองชิงนะพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงมู่ฉีกลั้วหัวเราะ “มารดาของพี่ใหญ่มาจากตระกูลอวี๋ ที่ถือได้ว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงในแคว้นเจียง แม้แต่องค์จักรพรรดิพ่อของข้าก็รู้สึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาแล้ว ส่วนพี่เก้าของข้าก็เป็นแม่ทัพกองกำลังติดอาวุธ ที่มีอำนาจในกองทัพและครอบครองทัพม้าเกือบครึ่งของแคว้นเจียง พวกเขาสองคนย่อมไม่สนใจอัจฉริยะพวกนี้”
ชายชราจึงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นแล้วทำไมองค์ชายยังคงเดินทางมาที่นี่ล่ะ พ่ะย่ะค่ะ ?”
เจียงมู่ฉีเอ่ยเสียงนุ่ม “เทียบกับพวกเขาแล้ว ข้าไม่มีข้อได้เปรียบใด ๆ เลย พวกเขาอาจจู้จี้ในการเลือก คนแต่ข้าก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ บางทีการร่วมมือกับเขาอาจเปลี่ยนเป็นความช่วยเหลือครั้งใหญ่ในวันหน้าก็ได้นะ ?”
ชายชราส่ายหน้า “ผู้ฝึกกระบี่นับว่าหายากแท้ แต่ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกกระบี่เพียงหนึ่งเดียวมันก็ไม่มีประ โยชน์อะไรมากนัก เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือที่บรรลุเต๋าแห่งกระบี่ แต่มันยากมากกว่าจะเป็นยอดฝีมือที่ บรรลุเต๋าแห่งกระบี่ได้ ท่านคิดว่าเขาจะทำได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
“คนคนนี้มีฝีมือเชิงกระบี่ค่อนข้างดี แถมยังอายุไม่มาก ! แคว้นเจียงเราขาดยอดฝีมือกระบี่มาเกือบ 50 ปีแล้ว ยังไงข้าว่าเราควรที่จะลองเชื่อในตัวเขาดูเสียหน่อย”
…
ในโถงรับแขก
“ท่านพี่ คนคนนั้นเป็นองค์ชายจริงหรือเจ้าคะ ?” เยี่ยหลิงถามอย่างใคร่รู้
เยี่ยฉวนพยักหน้า “เขาน่าจะเป็นจริง ๆ นั่นแหละ”
เยี่ยหลิงกระซิบ “เขาเหมือนจะจงใจรอท่านอยู่ที่นี่นะเจ้าค่ะ !”
เยี่ยฉวนเหลือบมองเยี่ยหลิงและยิ้ม “แม้แต่ในตระกูลชั้นสูง คนบางคนก็ต้องหาพวกพ้องที่จะเสริมสร้างกองกำลังของตัวเอง อย่าว่าแต่คนจากวังหลวงเลย”
กล่าวดังนี้แล้วเขาก็ลูบศีรษะเล็กของเยี่ยหลิงเบา ๆ “ตอนนี้ข้าเพียงต้องการรักษาไข้พิษเย็นของเจ้า ข้า ไม่มีความสนใจที่จะสู้เพื่อลาภยศชื่อเสียงอะไรหรอก”
เยี่ยหลิงกอดเยี่ยฉวนเบา ๆ “ท่านพี่ ในอนาคตข้าจะสามารถฝึกวรยุทธ์ได้ไหมเจ้าคะ ?”
เยี่ยฉวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ เจ้าทำได้ แต่ไม่ต้องคิดมากไป หากเจ้าทำไม่ได้ ท่านพี่คนนี้ก็จะ แข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องเจ้าตลอดไป !”
เยี่ยหลิงยิ้มหวานจากนั้นกอดเยี่ยฉวนเเน่นขึ้น “ข้าอยากให้ท่านพี่ปกป้องข้านะ แต่ข้าเองก็อยากปกป้อง ท่านพี่ได้ด้วยเช่นกัน”
เยี่ยฉวนกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ในตอนนั้นก็พลันมีเสียงหนึ่งดังมาจากข้าง ๆ “พวกเจ้าสองพี่น้อง ช่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจริง ๆ”
เมื่อสิ้นเสียง ชายชราคนหนึ่งก็พลันปรากฏกายขึ้น !
คนที่เดินเข้ามาคือฉินเยว่ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉิน
เห็นเขาแล้ว เยี่ยฉวนพลันกำมือขวาแน่น เขาเหลือบมองเยี่ยหลิงและเอ่ย “หลบไปอยู่ข้าง ๆ ข้า !”
เยี่ยหลิงมองชายชราจากนั้นก็กระซิบ “ท่านพี่ ระวังตัวด้วยนะเจ้าค่ะ !”
หลังจากนั้นนางก็ยอมหลบไปข้าง ๆ แต่โดยดี
ฉินเยว่ตวัดมองเยี่ยฉวนแล้วจึงพูดขึ้น “ส่งหินเสริมปราณพวกนั้นมา แล้วข้าจะเหลือร่างไร้ชีวิตของพวกเจ้าสองพี่น้องไว้”
หมัดทั้งสองของเยี่ยฉวนกำแน่น สีหน้าของเขากลายเป็นสีน้ำเงินสลับเขียวอย่างโกรธเเค้น แต่ทว่าชายหนุ่มก็หาได้พูดสิ่งใดออกมาแม้แต่น้อย
ฉินเยว่แสยะยิ้มเย็นและเอ่ยขึ้น “อะไรกัน ? เจ้าอยากจะสู้งั้นหรือ ? เจ้ามีพลังแค่ระดับผสานลมปราณเท่านั้น แต่ข้าอยู่ในระดับทะยานสวรรค์แล้ว ! การฆ่าเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ วรยุทธด้วยซ้ำ แค่ลงมือกระบวนเดียวก็เพียงพอแล้ว !”
แม้ฉินเยว่จะเอ่ยเช่นนั้น แต่เขาก็ตั้งรับโดยไม่ประมาท
ด้วยระดับพลังและอายุของเขาแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนเขลาที่คิดประมาทศัตรู !
เยี่ยฉวนเอ่ยเสียงทุ้ม “ถ้าข้าส่งมันคืน ท่านจะไว้ชีวิตข้ากับน้องสาวของข้าไหม ?”
ดวงตาของฉินเยว่หรี่ลงเล็กน้อย “เจ้ากำลังต่อรองกับข้าอยู่เรอะ ?”
เอ่ยเช่นนี้มือขวาของเขาก็ค่อย ๆ กำแน่น ชั่วพริบตาเสื้อผ้าของชายชราก็พลันพองขยาย ทำให้ฉินเยว่ดูราวกับราชสีห์ตัวผู้ที่พร้อมจู่โจม
เยี่ยฉวนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หยิบถุงดำออกมาและขว้างไปให้ฉินเยว่ เมื่อเห็นถุงดำแล้ว ฉินเยว่ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารีบคว้าถุงไว้ แต่ในตอนนี้เยี่ยฉวนก็พลันปรากฏกายต่อหน้าเขา !
สีหน้าของฉินเยว่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาแค่นเสียงเอ่ย “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าต้องเล่นลูกไม้กับข้า !”
ขณะที่เอ่ยเช่นนี้ ชายชราก็พลันตวัดมือขวาตบลงอย่างฉับพลัน
“ฉ่าาา !”
เสียงลมปราณระเบิดดังไปทั้งสนาม !
ปัง !
หลังจากที่เยี่ยฉวนโดนฝ่ามือนั่นเข้าไป เขาก็ถูกอัดเข้าไปในกำแพงที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง
ชายชรายังคงไม่หยุด เขากระโจนตัวไปหาเยี่ยฉวนและตะครุบชายหนุ่มเอาไว้ ไม่ไกลนักเยี่ยหลิงพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่ !”
นางรีบพุ่งไปตรงหน้าเยี่ยฉวนแล้วกอดผู้เป็นพี่ไว้แน่น !
ชายชราไม่หยุดมือแต่กลับซัดสองพี่น้องด้วยพลังฝ่ามือ
พูดให้ชัดก็คือเขาซัดฝ่ามือใส่เยี่ยหลิง !
เห็นดังนี้ เยี่ยฉวนก็โกรธจัดเสียจนดวงตาแทบถลน …ในตอนนี้จิตใจของเขาได้ว่างเปล่า
ฝ่ามือของชายชราเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
ในตอนนี้เยี่ยฉวนพลันดึงเยี่ยหลิงมาไว้ข้างหลัง ชั่วขณะต่อมากระบี่หลิงเซียวพลันปรากฏในมือ ก่อนที่ชั่วพริบตาเดียวเสียงตวัดกระบี่ดังทุ้มจะดังขึ้น
ภายใต้เพลงกระบี่นี้ เขามีความคิดเดียวเท่านั้น !
ต้องฆ่า !
เขาต้องฆ่า !
หนึ่งกระบี่นี้จะชี้ชะตาความเป็นและความตาย !
ขณะเดียวกัน เสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นในหอคอยเรือนจำ “ชายผู้นี้มีจิตสังหารแรงกล้านัก เพียง แค่มีคนจะแตะต้องน้องสาวของเขา จิตสังหารของเขาสำหรับอายุแค่นี้ถือว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ”