บทที่ 464 ชูหานเฟิง

บทที่ 464 ชูหานเฟิง

“เจ้าทาสนิสัยเสีย นี่นายยังตั้งใจที่จะดูแลองค์หญิงเซียวหลิงไปตลอดชีวิตจริงหรือเปล่าเนี่ย? หายไปไหนมาตั้งหลายวัน…อ๊ะ หรือว่าไปเที่ยวหาหญิงอื่นอีกแล้วงั้นเหรอ!? กล้ามากนะที่ทิ้งองค์หญิงเซียวหลิงไว้เบื้องหลังแล้วไปหาความสุขให้ตัวเองคนเดียวแบบนี้!”

ท่ามกลางความครึกครื้นของผู้คนในจัตุรัสเทเลพอร์ต ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังทางเดียวกัน โชคยังดีที่เมืองแห่งความโศกเศร้านั้นยกระดับตนเองเป็นเมืองหลักไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยกฎหมายภายในเมืองรวมไปถึงความเจริญรุ่งเรือง มันจึงนำพาให้ผู้ที่เข้ามาในเมืองนี้ล้วนแต่เป็นผู้มีอารยธรรม ถึงแม้พวกเขาหลายคนจะจำเซียวเฟิงและคนอื่น ๆ ที่มาด้วยได้ แต่ทุกคนก็เพียงแค่มองเท่านั้น

“ฉันถามมาจากลูกพี่ลูกน้องของฉัน เธอบอกว่านายกลับไปที่บ้านเกิดมาตลอดหลายวันนี้เหรอ?” ซือเยี่ยจิ๋งถามขณะเดินอยู่ข้าง ๆ

“อ่าฮะ ใช่แล้ว” เซียวเฟิงพยักหน้ารับ

“หือ? บ้านเกิดของเจ้าทาสนิสัยเสียเหรอ? เป็นสถานที่แบบไหนกันน่ะ?” ในทันทีที่เซียวหลิงได้ยินเช่นนั้น เธอก็ดูจะสนอกสนใจขึ้นมาทันที ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่หนิงเคอเค่อก็แอบหันมามองยังเซียวเฟิงด้วยเช่นกัน

“มันเป็นที่ที่ค่อนข้างจะพิเศษน่ะ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่มีอะไรให้สนใจหรอก” เพราะรู้ดีว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไรอยู่ เซียวเฟิงจึงพูดตัดบทไว้ก่อน

“ถ้าจำไม่ผิด พี่สาวฉันเคยบอกไว้ว่า นายถูกขับไล่ออกจากบ้านมาเมื่อหลายปีที่แล้ว แถมนายก็ยังยืนกรานว่าจะไม่กลับไปที่นั่นด้วย แต่คราวนี้จู่ ๆ นายก็กลับไปทันที มันเป็นเพราะจืออี้หรือเปล่า?” ขณะที่ถามออกไปเช่นนั้น ซือเยี่ยจิ๋งก็เหลียวมองเซียวเฟิงด้วยแววตาที่เหมือนกำลังสอบสวนผู้ร้ายด้วย

“เหตุการณ์มันค่อนข้างจะซับซ้อนน่ะ ไว้เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วจะเล่ารายละเอียดให้ฟังก็แล้วกันนะ” เซียวเฟิงไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว ในเมื่อสาว ๆ เหล่านี้ตั้งใจจะอยู่กับเขา ยังไงเขาก็จะดูแลเธอในฐานะของของเขาอยู่ดี

“นายกำลังกลับแล้วเหรอ เจ้าทาสนิสัยเสีย?” เซียวหลิงถามแทรกขึ้นทันควัน

“ฉันน่าจะใกล้ถึงเมืองเฉิงไห่แล้ว แล้วก็น่าจะถึงบ้านในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า” ชายหนุ่มมองเวลาก่อนจะประเมินสถานการณ์คร่าว ๆ

“ถ้างั้นองค์หญิงต้องเก็บเวลาเล่นเกมไว้แล้ว เพราะยังไงซะฉันก็ตั้งใจจะให้นายพาไปช่วยเก็บเลเวลมาตั้งแต่แรก ในเมื่อนายกำลังจะถึง องค์หญิงก็จะรอจนกว่านายจะกลับมา! ไปกันเถอะ ยัยเอเลี่ยนวัวนม พวกเราออฟไลน์กันก่อน”

สิ่งที่เซียวหลิงพูดนั้น เป็นข้อบังคับของประเทศจีนที่อนุญาตให้เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะสามารถเล่นเกมได้เพียงวันละ 12 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะงั้นเมื่อเธอรู้ว่าเซียวเฟิงกำลังกลับมา เธอจึงเกิดความคิดที่อยากจะให้เขาช่วยพาไปเก็บเลเวลผุดขึ้นมาในหัว ด้วยเหตุนี้เธอจึงตั้งใจจะเก็บชั่วโมงเล่นเกมของเธอในวันนี้ไว้เพื่อรอเซียวเฟิงกลับมาช่วย

“อ่ะ…ค่ะ!”

หนิงเคอเค่อรีบตอบรับด้วยเสียงเบา เธอแอบเหลียวมองเซียวเฟิงอีกครั้งก่อนจะรีบตามเซียวหลิงกลับไปยังปราสาทประจำเมืองและออฟไลน์ไป

“เธอจะไปทำอะไรต่อ? ฉันว่าจะล็อกออฟแล้ว เอ้อ ฉันบอกโตวโตวให้ไปช่วยเคอเค่อทำอาหารเช้าสำหรับคนหลายคนแล้วนะ” เมื่อเหลือแต่ซือเยี่ยจิ๋ง เซียวเฟิงก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นก่อนจะถึงก็โทรมาด้วยแล้วกัน เผื่อพวกฉันยังอยู่ในเกม”

น้ำเสียงของซือเยี่ยจิ๋งดูเบาลงเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่สถานะในเกมของเฉียนโตวโตวนั้นไม่เป็นสองรองใครเลยแท้ ๆ แต่เซียวเฟิงกลับสั่งให้เธอทำนู่นทำนี่อย่างกับคนรับใช้ได้ขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงตนเองที่มีสถานะเป็นนักฆ่าชื่อดังแห่งเขตฮัวเซียแล้ว เธอจะไม่ยอมให้ตนเองเป็นแบบนั้นแน่ ๆ ทว่าการที่ไม่เคยถูกเขาเรียกชื่อหรือกล่าวถึง มันก็ทำให้ซือเยี่ยจิ๋งอดที่จะรู้สึกเสียใจน้อย ๆ ไม่ได้

แต่เมื่อคิดดูดี ๆ แล้ว เธอกับลูกพี่ลูกน้องของเธอที่เป็นเทพธิดาอันดับ 1 แห่งเขตฮัวเซียเองก็ไม่ต่างกัน มันก็ทำให้เธอได้แค่ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับคนคนนี้ ทำไมทั้งเธอและพี่สาวถึงต้องมาเจอกับเขา และเรื่องนี้มันยังไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอน ดีไม่ดีมันอาจจะเป็นแค่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นด้วย

ด้วยอารมณ์ที่บูดบึ้ง ซือเยี่ยจิ๋งหยิบเอาคัมภีร์เทเลพอร์ตออกมาเพื่อพาตนเองไปยังสนามประลองภายในเมืองจักรวรรดิ อย่างน้อย ๆ ที่นั่นก็ยังพอระบายอารมณ์ได้ ส่วนทางด้านเซียวเฟิง เขาเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก เขาตั้งใจจะตรวจสอบระบบของเมืองแห่งความโศกเศร้าเพิ่มเติมสักหน่อยหลังจากที่ตัวเมืองอัพเกรดเพิ่มขึ้นมา 1 เลเวล บางทีอาจจะมีฟังก์ชั่นใหม่ ๆ โผล่ขึ้นมาด้วยก็ได้

ทว่ายังไม่ทันจะได้ไปไหนทั้งสิ้น ที่ด้านหน้าของเขาก็ถูกหยุดไว้ด้วยผู้เล่นคนหนึ่ง ผู้เล่นคนนั้นสวมชุดเริ่มต้นและมีสีหน้าคับอกคับใจสุด ๆ ภายในเกมตอนนี้ ผู้เล่นที่ดูเหมือนผู้เริ่มต้นใหม่เพียงคนเดียวที่กล้าทำแบบนี้กับเซียวเฟิง มีเพียงคนคนเดียวเท่านั้น หากไม่ใช่หานเฟิงแล้วจะเป็นใครได้อีก

“นายท่าน…”

หานเฟิงนั้นไม่เพียงแต่ดูน่าอเนจอนาถ ท่าทีของเขาดูต่างจากตอนปกติที่มักจะได้เห็นเอาอยู่มาก ๆ ซึ่งมันทำให้เซียวเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจและสงสัยถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ แต่จากการคาดเดา มันคงเป็นเรื่องที่พูดตรงนี้ไม่ได้

“ไปหาที่อื่นคุยกันดีกว่า”

เซียวเฟิงเดาว่าหานเฟิงคงจะมีเรื่องอัดอั้นอยากจะพูดอยู่มากมายแน่ ๆ เขามองซ้ายมองขวาไปยังจุดต่าง ๆ ภายในเมืองแห่งความโศกเศร้า ก่อนจะตัดสินใจเดินนำไปยังย่านธุรกิจที่คนเบาบางกว่าแทน

ชื่อตัวละครของหานเฟิงถูกปกปิดเอาไว้ เขายอมเดินตามเซียวเฟิงไปโดยไม่ถามอะไรทั้งนั้น ตลอดทางที่เดินตามเขาก็มองรอบ ๆ ตัวเพื่อระแวดระวังผู้คนไปด้วย ถึงแม้ว่าตัวเขาจะสวมชุดที่ไม่สะดุดตาแล้ว แต่ก็ใช่ว่าหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปได้

ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองแห่งความโศกเศร้านี้ แสดงให้เห็นผ่านการที่มีห้างร้านหรือธุรกิจต่าง ๆ ที่ผู้เล่นเป็นผู้ดูแลมาเปิดอยู่ในย่านธุรกิจประจำเมืองมากมาย เซียวเฟิงใช้เวลาพักใหญ่ ๆ ในการเดินหาร้านอาหารที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ก่อนจะเลือกร้านน้ำชาที่มีห้องพิเศษที่อยู่ลึกเข้ามาในย่านนี้มาก ๆ เพื่อเป็นที่ในการสนทนาครั้งนี้

“พูดมาได้แล้ว”

หลังจากที่เลือกจองห้องส่วนตัวและสั่งชาไปสองแก้วเรียบร้อยแล้ว เซียวเฟิงก็เปิดโอกาสให้หานเฟิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตนได้พูด ถึงแม้ว่าร้านน้ำชานี้จะเป็นกิจการของผู้เล่น แต่ตัวตึกนี้ก็เป็นตึกของระบบ ดังนั้นระดับความปลอดภัยเมื่อมันถูกตั้งว่าเป็นห้องส่วนตัวแล้วจึงค่อนข้างจะสูงมาก ๆ

“นายท่าน ฉันอยากจะขอโทษพี่ก่อนอันดับแรกเลย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะลากองค์หญิงน้อยเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ๆ นะ ฉันก็แค่อยากจะคุยด้วยนิดหน่อย แต่ไม่คิดเลยว่าพวกกิลด์กางเขนเหล็กจะตามมาตอนนั้นพอดี” หานเฟิงพูดออกมาอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่าภาพพจน์ของเขาจะค่อนข้างแย่ในหลาย ๆ เรื่อง แต่เรื่องคำพูดนั้นไว้ใจเขาได้ค่อนข้างมาก เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่อยากจะมารับผิดชอบหากสิ่งที่พูดไม่เป็นความจริงเช่นกัน

“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว” เซียวเฟิงส่ายหน้า ไม่ว่าความจริงมันจะเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อหานเฟิงก็ดูเหมือนจะได้รับผลกรรมไปแล้ว เขาก็ไม่อยากจะมานึกโทษโกรธเคืองกันหรอก

หานเฟิงถอนหายใจและรู้ดีว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเล่าลงรายละเอียดลึกในเรื่องนี้แล้ว ถือเป็นโชคของเขาที่อย่างน้อย ๆ เรื่องนี้เขาก็ไม่ต้องมารับผิดชอบผลจากการกระทำไปด้วย ไม่งั้นมันคงเป็นเรื่องที่ยากจะรับมือไหวแน่ ๆ แม้ว่าเขาจะพยายามพูดว่าตนไม่ได้ตั้งใจก้ตาม

“นายท่าน นายน่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉันกับกางเขนเหล็กมีปัญหากันอย่างใหญ่หลวง ไม่สิ ควรจะบอกว่า ฉันกับชินห่าว ปัญหานี้ใหญ่จนฉันถูกฆ่าซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไปเกิดใหม่ที่หมู่บ้านเริ่มต้น ถึงอย่างนั้นหมอนั่นก็ยังไม่ยอมปล่อยฉันไป แต่ระหว่างนั้นฉันก็พยายามจะแก้แค้นอีกฝ่ายอยู่ตลอด น่าเสียดายที่มันไม่ได้ผล” หานเฟิงยังคงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องราวหลังจากนี้ น้ำเสียงของเขาดูจะเบาลงและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขึ้นมา “มันเป็น…ผลพวงมาจากอดีตที่เปรียบเสมือนฝันร้ายน่ะครับ ‘ลูกที่ดีจะต้องนำพาซึ่งผลประโยชน์มาแก่วงศ์ตระกูล’ ในขณะที่ตัวฉันเป็นแค่ลูกนอกสมรส ไม่มีดีแม้จะไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลยด้วยซ้ำ”

“หานเฟิง ไม่ใช่ชื่อจริงของนายเหรอ?” เซียวเฟิงถามด้วยสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

“หานเฟิงเป็นชื่อจริงครับ แต่เป็นแค่ชื่อ นามสกุลของผมคือ ชู” หานเฟิงส่ายหน้า

“แซ่ชู? ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่านายจะมาจากตระกูลที่โด่งดังขนาดนั้น” ด้วยคำตอบของอีกฝ่าย มันทำเอาเซียวเฟิงถึงกับประหลาดใจระดับหนึ่งเลย

“ความโด่งดังนั่นมันพังลงมาเหมือนปราสาททรายที่โดนน้ำซัดเมื่อนานมาแล้วครับ ผมน่ะจะถูกเรียกว่าเป็นคนในตระกูลยังกระดากปากเลย ที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เหมือนอาศัยร่มเงาของบรรพบุรุษไปวัน ๆ ” อีกครั้งที่หานเฟิงส่ายหน้า

ตระกูลชูถือเป็นตระกูลโบราณอีกหนึ่งตระกูลที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่ตระกูลนั้นหายสาปสูญไปเสียก่อน

ในบรรดาตระกูลที่มีชื่อเสียง ความแตกต่างระหว่างตระกูลชั้นสูงกับ ตระกูลที่โด่งดังนั้นขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตที่ส่งมอบลงมาในแต่ละรุ่น ในขณะที่ตระกูลชั้นสูงจะปลีกตัวออกจากโลกภายนอกเพื่อรักษาซึ่งอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตระกูลเอาไว้ ตระกูลที่โด่งดังก็เลือกที่จะเข้าร่วมกับโลกในแต่ละยุคสมัย ทายาทของตระกูลเหล่านี้ต่างก็หายไปทุกรุ่น ๆ เพราะพวกเขามัวเมาไปกับโลกเบื้องล่าง ใช้ศักดิ์ศรีและเกียรติยศที่บรรพบุรุษส่งมอบมาให้ในการสร้างความมั่งคั่งและหลอกลวงผู้อื่นต่อไปเป็นทอด ๆ

“เพราะงั้นนายก็เลยอยากจะแก้แค้นชินห่าวแล้วทวงคืนมรดกของตระกูลนายกลับคืนมา?”

จนถึงตอนนี้เซียวเฟิงก็ยังแทบจะทำใจเชื่อไม่ได้ว่าหานเฟิงมาจากตระกูลโด่งดังเช่นนั้น

“ไม่หรอกครับ ผมน่ะเป็นแค่ลูกนอกสมรสของตระกูลชู แล้วก็ไม่น่าจะรับช่วงต่อดูแลมรดกตระกูลชูได้แน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากให้คนนอกมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้! ผมน่ะอยากจะแก้แค้นชินห่าวเท่านั้น เพราะเจ้านั่นหลอกทุกคนในตระกูลชู รวมถึงยังหมั้นหมายกับชูเมิ่งอิ๋งอีกด้วย! เจ้านั่นสมควรตายมากที่สุดแล้ว!” ขณะที่พูด หานเฟิงก็กำหมัดไว้แน่นขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

“ยัยตัวแสบชูเมิ่งอิ๋งนั่นก็มาจากตระกูลชูเหมือนกันงั้นเหรอ?” เมื่อหานเฟิงพูดออกมาเช่นนั้น มันก็ทำเอาเซียวเฟิงตกใจอีกแล้ว

“ใช่แล้วครับ! ถ้านับตามลำดับอาวุโส เธอน่าจะเป็นพี่สาว ถึงแม้ว่าจะไม่เคยคุยหรือรู้จักมักจี่กับเธอโดยตรง แต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้เธอตกลงไปอยู่ในมือของปีศาจแบบชินห่าวได้จริง ๆ!” ยิ่งพูดหานเฟิงก็ยิ่งกัดฟันแน่นขึ้น

“อ่าฮะ แล้วนายคิดจะทำยังไง?” เซียวเฟิงพยักหน้าแล้วถามต่อ

“นายท่าน ผมอยากให้นายช่วย! ได้โปรด ช่วยผมด้วยเถอะ!” หานเฟิงหันไปมองเซียวเฟิง เขาโค้งตัวให้ด้วยความเคารพและจริงใจ

“นายอยากให้ฉันช่วยนายงั้นเหรอ?”

“ใช่แล้วครับ แต่เดิมผมอยากจะแก้แค้นชินห่าวด้วยกำลังของตัวเอง แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สำเร็จ ผมไม่ได้แข็งแกร่งขนาดที่ทำมันด้วยตนเองได้ แต่นายทำได้!” น้ำเสียงของหานเฟิงแสดงออกถึงความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ “เมื่อตอนที่ผมได้ยินมาว่านายท่านสามารถเอาชนะกิลด์กางเขนเหล็กได้ถึงสามครั้ง ผมแทบจะเป็นบ้าไปเลย! มันเหมือนกับฝันจนผมแทบไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง! ผมเห็นแสงแห่งความหวังในการล้างแค้นของผมแล้ว!”

“การล้างแค้นของนายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ในขณะเดียวกันกางเขนเหล็กก็ด้วย ฉันอยากจะทำลายกิลด์นี้ทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะงั้นแล้ว ทำไมฉันต้องช่วยนายด้วย?” เซียวเฟิงกอดอกและเอนหลังพิงไปกับเก้าอี้

“อ๊ะ ใช่แล้ว นั่นสินะครับ กางเขนเหล็กน่ะมันก็แค่เรื่องเล็ก ๆ ในสายตานายท่าน แต่เพราะแบบนี้แหละ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ให้นายท่านลงมือไปก็เสียเวลาเปล่า แต่ไม่ใช่สำหรับผม ผมน่ะเกลียดกางเขนเหล็กมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และคอยแต่จะหาวิธีล้างแค้นมามากมายนัก หากว่านายท่านให้ผมยืมพลังล่ะก็ นายท่านก็จะเหมือนได้จัดการกางเขนเหล็กไปในตัว ส่วนผมก็ได้แก้แค้น ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผมมีพลังนั้น ผมจะเล่นไอ้กิลด์เส็งเคร็งนี่ให้ยับเลย!” หานเฟิงพูดด้วยท่าทีมั่นใจ

“ฟังดูก็น่าสนใจอยู่หรอกนะ” ระหว่างที่ฟัง เซียวเฟิงก็ลูบคางตนเองไปด้วย

“นายท่าน พวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน ศัตรูไม่คู่ควรกับเวลาของนายท่านที่จะลงมือกำจัดด้วยตัวเอง เพราะงั้นแล้วทำไมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ให้ผมช่วยจัดการให้ล่ะ?” นักธนูหนุ่มเคลื่อนหน้าเข้าไปมองเซียวเฟิงใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

“ยินดีด้วย นายเกลี้ยกล่อมฉันสำเร็จแล้ว เพราะงั้นพูดมาซิว่านายต้องการอะไรจากฉัน” สิ้นเสียงเซียวเฟิง หานเฟิงก็ดีใจแบบสุด ๆ

“ผมต้องการอัปเลเวลกับอาวุธดี ๆ ตอนนี้เลย!” พลันเมื่อได้โอกาสขอ หานเฟิงก็ไม่ได้ขออะไรที่มันมากมายนัก เขาไม่ใช่คนที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง สิ่งนี้เขาไตร่ตรองมาดีแล้ว และทั้งนี้มันก็แค่เพื่อให้การแก้แค้นของเขาเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดเท่านั้น

“พวกอุปกรณ์ ฉันมีชุดเกราะระดับเทพเจ้าอยู่ แต่นายในตอนนี้ใส่มันไม่ได้หรอก แล้วก็มันไม่มีสกิลอะไรเลยด้วย แปปนึงนะ ฉันขอคิดอะไรหน่อย…เอางี้ นายเอาชุดเกราะพวกนี้ไปที่โรงหลอมอาวุธ จากนั้นก็หา NPC สองคน คนหนึ่งเป็นช่างฝีมือเผ่าคนแคระ ชื่อ ตี้ลู่ ส่วนอีกคนเป็นช่างฝีมือเผ่ามนุษย์ ชื่อว่า ตี้อู่หยา พวกเขาน่าจะช่วยเพิ่มสกิลให้อุปกรณ์ชุดนี้ได้”

เซียวเฟิงส่งมอบชุดพระเจ้าอวยพรที่เขาเคยใส่ตอนอยู่เขตฮันกึลให้หานเฟิง จากนั้นก็คิดหาวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นไปพลาง ๆ

“ส่วนเรื่องของเลเวล เดี๋ยวฉันต้องพาเด็ก ๆ ไปเก็บเลเวลในอีกสองชั่วโมง ถ้าฉันเห็นนายออนไลน์ช่วงนั้น ฉันจะพานายไปเก็บเลเวลด้วยก็แล้วกัน มาลองดูกันซิว่าจะทำให้เลเวลของนายกลับคืนมาได้เร็วขนาดไหน” เซียวเฟิงพูดต่อจนจบ

“ขอบคุณมากเลยครับนายท่าน! ผมจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวังเลย คอยดู!” หานเฟิงมองไปยังชุดพระเจ้าอวยพรในมือ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นแบบสุด ๆ

“โอเค เพราะงั้นระหว่างที่ฉันไม่อยู่ นายก็ไปเก็บเลเวลด้วยตัวเองก่อน อีกสองชั่วโมงโดยประมาณ ฉันจะทักนายไปอีกครั้ง ตอนนี้ถ้านายขาดเหลืออาวุธหรืออุปกรณ์หรือไม่ก็ของใช้แล้วทิ้งทั้งหลาย รวมถึงเรื่องเงิน นายส่งข้อความไปหาเฉียนโตวโตวก็ได้ เดี๋ยวฉันบอกเธอให้อีกทีหนึ่ง”

เซียวเฟิงส่ายหน้าและออกจากร้านไปทันทีเมื่อพูดจบ ไม่เปิดโอกาสให้หานเฟิงที่กำลังตื่นเต้นได้พูดอะไรต่อ