จักรพรรดิอิ๋นอุทานออกมาด้วยความตกใจ “คุ้มกัน รีบมาคุ้มกันเร็วเข้า”
ยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิอิ๋นย่อมไม่ยอมให้เขาตกอยู่ในอันตราย การต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
กลุ่มนักสู้ที่พ่ายแพ้เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ได้สู้กับกลุ่มคนที่พลังความแข็งแกร่งพอประมาณกัน จึงกลายเป็นเสมอกันและไม่มีใครยอมใคร
— ปัง! ปัง! ปัง! —
ไม่นานนักก็เกิดความอนาถ บาดเจ็บล้มตายกันมากมาย
ในเวลานี้เอง เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังขึ้น “ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดคนที่ได้ผลวิญญาณมหาจักรพรรดิมาก็ยังคงเป็นข้า” ผู้ที่หัวเราะเสียงดังผู้นี้ต้องเป็นอวิ๋นเหิ้นเทียน เจ้าสํานักนอกนิกายแห่งแคว้นอวิ๋นเหยียนเป็นแน่ เขาหยิบยาฟื้นฟูพลังออกมาจากในกล่อง และฟื้นฟูพลังของเขาทันที
ในตอนนั้นเอง เงาร่างปีศาจตนหนึ่งก็ถือดาบปลายโค้งจ่อคอของเขา กลิ่นอายแห่งความตายใกล้เข้ามา ทำให้ร่างกายของเขาเกร็งไปทุกส่วน เขาไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ได้แต่กล่าวออกมาด้วยเสียงสั่น ๆ “นะ… นักฆ่าเทพมรณะ…”
“เจ้า… เจ้าไม่ใช่ว่าคอยลอบสังหารกลุ่มคนรุ่นหลังอยู่ตลอดรึ ? เหตุใดเจ้าถึงได้มาลงมือกับข้าผู้นี้ ?”
เสียงเย็นเยือกดังขึ้น “การที่ข้าลงมือกับอัจฉริยะรุ่นหลังของสำนักพวกเจ้า นั่นก็เพราะว่าข้าฆ่าพวกเขาได้โดยง่าย เวลานี้กำลังอันแข็งแกร่งของเจ้าเสื่อมทรุดเหมือนลูกธนูสุดระยะ การฆ่าเจ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
สตรีชุดม่วงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขา เส้นผมสามพันเส้นห้อยลงมาราวกับน้ำตก ใบหน้างดงามจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ดวงตาดำสนิทคู่นั้นเปล่งประกายความเย็นยะเยือก ทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกเย็นเยือกตาม
“เป็นเจ้า… แม่นางมู่!” จักรพรรดิอิ๋นจดจำมู่เฉียนซีได้ “แม่นางมู่ หรือว่าหอการค้าอันดับหนึ่งจะสนใจผลวิญญาณมหาจักรพรรดิ ข้าจะไม่แย่งชิงผลวิญญาณมหาจักรพรรดิกับหอการค้าอันดับหนึ่ง เจ้าช่วยข้าด้วย”
เวลานี้จักรพรรดิอิ๋นได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่ถึงตาย
อวิ๋นเหิ้นเทียน “นักฆ่าเทพมรณะเป็นคนของหอการค้าอันดับหนึ่ง เจ้าก็ด้วย หอการค้าอันดับหนึ่งช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าท้าทายสำนักอวิ๋นเยียนเรา!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย “พวกเจ้าคาดเดากันไปเอง ข้าไม่ได้รับคำสั่งจากหอการค้าอันดับหนึ่งหรือใครทั้งนั้น”
เชียนอ้าวเซี่ยเดินเข้ามา กล่าวอย่างขมขื่นว่า “เสี่ยวซีซี ดูเหมือนว่าเจ้าจะปกป้องน่าหลานอวี้เป็นอย่างมาก ข้าหึงแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวพลางขมวดคิ้ว “เดี๋ยวกลับไปข้าจะซื้อจิ๊กโฉ่วให้เจ้ากินสักสองสามถัง เจ้าค่อย ๆ กินไปแล้วกัน” (กินจิ๊กโฉ่ว = หึงหวง) เวลานี้เส้นประสาททุกเส้นของอวิ๋นเหิ้นเทียนนั้นตึงไปเสียหมด เขาเอ่ยถามขึ้น “เจ้าจะเอาเช่นไรกันแน่ถึงจะยอมปล่อยข้าไป ?”
“ตั้งแต่ตอนที่ข้าเดินออกมา จุดจบของเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ—ตาย!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างช้า ๆ
ด้วยความเลือดเย็นและไร้ความปราณี อวิ๋นเหิ้นเทียนแสนสิ้นหวัง เขาพยายามดิ้นรนไปจนถึงตอนท้ายสุดก่อนจะกล่าว “ข้าเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้าได้ ขอแค่เพียงอย่าฆ่าข้า”
“สำหรับพวกเจ้าแล้ว การตายนั้นถึงจะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่ข้า ข้าเองก็ไม่ได้มีความสนใจอยากจะให้คนของสำนักอวิ๋นเยียนมาเป็นวัวเป็นม้าให้”
มู่เฉียนซีออกคำสั่งกับเสี่ยวชี “ฆ่าทิ้งเสีย” — ปัง! —
ในตอนที่เสี่ยวชีกําลังจะลงมือนั้นเอง จู่ ๆ อวิ๋นเหิ้นเทียนก็ระเบิดพลังออกมาเฮือกหนึ่ง พลังอันรุนแรงนั้นพุ่งไปทางมู่เฉียนซี ทว่ายังไม่ทันที่พลังจะทำอะไรนางได้ คอของเขาก็ปรากฏหลุมโหว่มีเลือดออกให้เห็นแก่สายตา
เสียงน่ารักเสียงหนึ่งลอยขึ้นมา “เจ้าหนูเสี่ยวชี เจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้อย่างข้า โจมตีทีเดียวให้ถึงฆาตเช่นข้า”
“เจ้าเปิดโอกาสให้คนผู้นี้โจมตีกลับ ถือว่าสอบไม่ผ่าน!”
*— ปัง! —*ในดวงตาของเขาปรากฏร่างแมวน้อยสีขาวราวหิมะ เขารู้ว่าเป็นแมวตัวนี้ที่ได้ฆ่าเขาผู้นั้นไป
ชีวิตผ่านไปอย่างเชื่องช้า เขาตายอย่างตาไม่หลับเสียแล้ว!
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เข็มยาในมือของมู่เฉียนซีบินออกไป เหล่านักสู้ที่พ่ายแพ้ของสำนักนอกนิกายเหล่านั้นถูกจัดการไปจนสิ้น
คนของสำนักอวิ๋นเยียนถูกจัดการเสียจนหมดสิ้นแล้ว สายตาของมู่เฉียนซีนั้นตกไปอยู่กับจักรพรรดิอิ๋น สำนักเจินอู่ และสำนักเฟยชิง
เจ้าสำนักเจินอู่กล่าว “แม่นาง เราสามารถสนทนากันดี ๆ ได้”
มู่เฉียนซีถามกลับไป “พวกเรามีอะไรที่จะคุยกันได้เช่นนั้นหรือ ?”
“แม่นาง สำนักเจินอู่ของเรามียอดฝีมือจักพรรดิระดับเก้าอยู่ด้วย ขอแค่เพียงเจ้าไม่ฆ่าพวกเราและนำผลวิญญาณมหาจักรพรรดิมอบให้แก่ท่านผู้นั้น พวกเราสำนักเจินอู่จะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าไม่ขัดขืนแต่อย่างใด”
เขาคิดว่ายอดฝีมือระดับจักรพรรดิที่หนุนหลังอยู่นั้นจะสามารถช่วยชีวิตของพวกเขาได้ และในตอนนี้เอง เสียงที่ทรงเสน่ห์เสียงหนึ่งก็ได้ลอยออกมา
“เจ้าหมายถึงตัวประหลาดขนขาวนั่นน่ะหรือ ?”
เจ้าสำนักเจินอู่ตกตะลึง “คุณชายท่านนี้เคยพบกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ คาดว่าท่านเองก็คงรู้ถึงความเก่งกาจของท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นดี รอให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ได้เปลี่ยนระดับกลายเป็นมหาจักรพรรดิเสียก่อน พวกเราก็มิจำเป็นที่จะต้องหวั่นเกรงสำนักอวิ๋นเยียนอีกต่อไป”
เชียนอ้าวเซี่ยกล่าวออกมาอย่างเป็นทุกข์ “แต่ว่า… ตัวประหลาดขนขาวผู้นั้นคิดที่จะทำร้ายเสี่ยวซีซีกับข้า จึงได้ถูกนางจัดการแล้ว ตอนนี้นั้นตายเสียยิ่งกว่าตาย ถึงต่อให้มอบผลวิญญาณมหาจักรพรรดิให้แก่เขา ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหาจักรพรรดิได้ อย่างไรเสียในโลกแห่งความตายนั้นก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้”
“พรวด!”
เมื่อได้ยินได้ฟังว่าผู้ที่เป็นที่พึ่งตายไปแล้ว เจ้าสํานักเจินอู่ที่บาดเจ็บหนักก็กระอักเลือดออกมาด้วยความกรุ่นโกรธ เขากล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าว่าอย่างไรนะ ? วะ… ว่าอย่างไรนะ ? ท่านผู้ยิ่งใหญ่ตายแล้วงั้นรึ ?!”
บุคคลเบื้องหลังที่ทรงพลังมากตายไปเสียแล้ว เจ้าสํานักเจินอู่รู้สึกราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
ทุกปีพวกเขาใช้เงินทองเป็นจํานวนมากในการจัดหาอัจฉริยะหนุ่มสาวมามอบมันให้กับนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น เพื่อที่ว่าหลังจากอาการบาดเจ็บของผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นหายดี จะได้ทำการปกป้องสนับสนุนสำนักเจินอู่ของพวกเขา และนําพาพวกเขาไปสู่สำนักนิกายระดับหนึ่ง
ทว่าตอนนี้… ความฝันที่งดงามแตกสลายไปเสียแล้ว
“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ… พวกเจ้าต้องโกหกแน่ ๆ!” เจ้าสํานักเจินอู่เหมือนจะบ้าคลั่งไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่อความจริงนี้
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ทุกปีที่เจ้าต้องส่งบุรุษสตรีวัยหนุ่มสาวที่อ่อนแอเช่นนั้นไปให้ตัวประหลาดขนขาวคงจะลำบากอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว ความตั้งใจของเจ้าก็คงจะเสียเปล่า”
“แม้ว่าข้าจะไม่มีความแค้นกับสํานักเจินอู่ของพวกเจ้า ข้าก็ไม่คิดที่จะเก็บเชลยศึกไว้”
— ปัง! ปัง! ปัง! —
สำนักเจินอู่พาคนของสำนักเฟยชิงไปตายด้วยกันหมดสิ้น แม้แต่องครักษ์ข้างกายของจักรพรรดิอิ๋นก็ถูกจัดการจนสิ้น หนึ่งเดียวที่เหลือชีวิตรอดก็คือจักรพรรดิอิ๋น
คนรอบข้างตายไปกันหมด สีหน้าของจักรพรรดิอิ๋นซีดเผือด เขาหวาดกลัวอย่างเต็มที่ขณะตะโกนว่า “อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า!”
เชียนอ้าวเซี่ยกล่าวเสียงเบาว่า “เสี่ยวซีซี หากท่านผู้นำของแคว้นตายไป แคว้นอิ๋นเหยียนคงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเป็นแน่”
“แต่หากเขายังมีชีวิตอยู่ก็คงจะกลับมาแก้แค้น แม้แต่สามสํานักใหญ่อื่น ๆ ไปจนถึงสํานักอวิ๋นเยียน เมื่อถึงเวลานั้นปัญหาก็จะใหญ่โตขึ้น”
จักรพรรดิอิ๋นรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไม่พูด ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”
มู่เฉียนซีมองผลวิญญาณมหาจักรพรรดิก่อนจะกล่าวถามว่า “เชียนอ้าวเซี่ย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสํานักอวิ๋นเยียนในเวลานี้มีความแข็งแกร่งอยู่ในจุดสูงสุดของจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า และคาดว่าจะสามารถทะลวงผ่านเป็นระดับมหาจักรพรรดิได้ ถูกต้องหรือไม่ ?!”
เชียนอ้าวเซี่ย “ด้วยปัญญาของตาเฒ่าผู้นั้น การฝึกฝนอีกหนึ่งร้อยปีก็เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่สํานักอวิ๋นเยียนของพวกเขาค่อนข้างคุยโวโม้เก่งก็เท่านั้นเอง”
มู่เฉียนซี “หากเพิ่มผลวิญญาณมหาจักรพรรดินี้เข้าไป จะมีความเป็นไปได้เท่าไหร่หรือ ?”
เชียนอ้าวเซี่ยตกตะลึง เขากล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เสี่ยวซีซี เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะมอบผลวิญญาณมหาจักรพรรดินี้ให้กับเจ้าขยะเฒ่าของสํานักอวิ๋นเยียนนั่นใช่หรือไม่ ? การที่ทําให้เขาทะลวงผ่านระดับมหาจักรพรรดินั้น คงไม่ง่ายเลยที่จะต่อกรได้”
มู่เฉียนซี “เสี่ยวหง เสี่ยวชี พวกเจ้าเฝ้าหุบเขาแม่น้ำแห่งนี้ไว้ อย่าให้ใครเข้ามาใกล้ที่นี่”
“ขอรับนายท่าน”
.
.
.