ตอนที่ 290-2 ตัวน้อยตีสองหน้า

ชายาเคียงหทัย

ทุกคนต่างนิ่งอึ้งไป สตรีนางนี้สมองมีปัญหาไปแล้วกระมัง ถึงแม้คนโดยมากจะสามารถคาดเดาเหตุผลที่มู่ฮูหยินน้อยทำเช่นนี้ได้ก็ตามเถิด เพราะถึงอย่างไรมารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายน้อยแห่งจวนมู่หยางโหวก็เป็นนางรำอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่างเหยาจี ซึ่งเรื่องนี้ก็มีคนรับรู้อยู่ไม่น้อย แต่การเป็นฮูหยินที่มีสมอง ยังไม่ต้องพูดถึงว่ายามนี้ตำหนักติ้งอ๋องสามารถล่วงเกินได้หรือไม่ แต่การกล่าววาจาว่าร้ายทำให้ชื่อเสียงหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลต้องเสื่อมเสีย เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ หรือ แต่งงานมาก็หลายปีแล้วแต่ยังไม่มีบุตรเลยแม้สักคน ต่อไปไม่แน่ว่านางยังต้องพึ่งพาอาศัยบุตรสายรองผู้นี้เสียด้วยซ้ำ

เยี่ยหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เมื่อครู่มู่ฮูหยินน้อยยังนึกสงสัยในการอบรมสั่งสอนของตำหนักติ้งอ๋องอยู่เลย ดูท่ามู่ฮูหยินน้อยคงมิได้กลัวว่าคุณชายน้อยจะทำให้ลูกข้าเสียเด็ก แต่น่าจะกลัวว่าลูกข้าจะทำให้คุณชายน้อยเสียเด็กมากกว่ากระมัง”

“พระชายาล้อเล่นแล้ว ที่สามารถให้ซื่อจื่อน้อยชายตามองได้ ถือเป็นวาสนาของเลี่ยเอ๋อร์” มู่ฮูหยินน้อยยังคิดอยากพูดอันใดอีก แต่ก็มีเสียงเข้มของสตรีนางหนึ่งลอยมาจากด้านหลังเสียก่อน

มู่ฮูหยินน้อยหน้าซีดลงทันที ทุกคนต่างหลีกทางให้ ผู้ที่เดินหน้าเครียดเข้ามาก็คือฮูหยินมู่หยางโหว

“ท่านแม่…” มู่ฮูหยินน้อยเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่ยินยอม

“หุบปาก!” ฮูหยินมู่หยางโหวถลึงตาดุๆ ใส่นาง ก่อนหมุนตัวหันไปโค้งให้เยี่ยหลีเล็กน้อย “สะใภ้ข้าไม่รู้ประสา ขอพระชายาอย่าได้ถือสา”

เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ฮูหยินมู่หยางโหวล้อเล่นแล้ว ก็แค่ลูกข้าซุกซนไปหน่อยเท่านั้น ขอเชิญมู่ฮูหยินน้อยไปผัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด”

“พระชายาพูดถูก” ฮูหยินมู่หยางโหวพยักหน้า หันไปเอ่ยกับมู่ฮูหยินน้อยว่า “ยังไม่รีบไปอีก เสื้อผ้ายับยู่ยี่อย่างกับอันใด ใช้ได้ที่ไหน”

มู่ฮูหยินน้อยหน้าแดงขึ้นทันที ถลึงตาใส่มู่เลี่ยทีหนึ่งอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

เหยาจีเหลือบมองเยี่ยหลีทีหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินตามไป

คนอื่นๆ เมื่อเห็นสีหน้าชายาติ้งอ๋องไม่สู้ดีนัก ก็รู้ว่ามิใช่เวลาที่จะเอ่ยอันใด จึงพากันขอตัวออกไปเดินเล่นในอุทยานต่อ

ฮูหยินมู่หยางโหวหันไปสั่งบางอย่างกับมู่เลี่ยสามสี่ประโยค ก็ขอตัวตามออกไปอีกคน

“คารวะพระชายา ซื่อจื่อน้อย” มู่เลี่ยประสานมือคารวะทั้งสองอย่างเรียบร้อยตามระเบียบ

เหลิ่งจวินหานเบิกตาโตมองพี่ชายคนใหม่ตรงหน้า

ม่อตัวน้อยเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ซื่อจื่อก็ซื่อจื่อสิ เหตุใดยังต้องเติมว่าน้อยมาด้วยเล่า”

เยี่ยหลีหันไปหยิกแก้มเขาทีหนึ่งอย่างไม่เห็นขัน “เรื่องมากเสียจริง ช่วงนี้สบายดีหรือไม่” ประโยคท้ายแน่นอนว่าเป็นการเอ่ยถามมู่เลี่ย

เดิมทีที่เลือกเด็กคนนี้ให้ติดตามเหยาจีมาเมืองหลวง เด็กผู้นี้ย่อมได้ผ่านการฝีกที่เคร่งครัดมาแล้ว แม้แต่เยี่ยหลี ก็ยังให้ความสำคัญกับเด็กน้อยที่อายุสิบเอ็ดปี แต่ดูภายนอกกลับเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบผู้นี้ยิ่งนัก เด็กที่สามารถรอดพ้นเงื้อมือฉินเฟิงมาได้ ย่อมเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน ดังนั้นประโยชน์ของมู่เลี่ยจึงมิได้มีเพียงการเล่นละครเป็นบุตรชายของเหยาจีและมู่หยางเท่านั้น เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ ตัวเขาอาจถึงขั้นสำคัญกว่าตัวเหยาจีเสียด้วยซ้ำ

“ขอบคุณพระชายาที่เป็นห่วง เลี่ยสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” มู่เลี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังและจริงจัง

เยี่ยหลีอมยิ้มลูบศีรษะน้อยๆ นั้น “เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น จะเคร่งเครียดเช่นนี้ไปไย เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้มู่หยางตกใจหรือ”

มู่เลี่ยถูกความใกล้ชิดที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ตัวแข็งไป ใบหน้าน้อยๆ ที่เคร่งเครียด แดงซ่านไปหมดแต่ก็ยังไม่รู้ตัว เอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พวกเข้าจะคิดแค่เพียงว่าข้าอายุน้อยและเป็นเด็กซื่อๆ เป็นเด็กฉลาดที่โดดเด่นเท่านั้น”

เยี่ยหลีระบายยิ้ม “ดูออก คนของจวนมู่หยางโหวก็ดูจะชอบเจ้ามาก

”หึ!” มู่เลี่ยเบ้ปาก “ขอเพียงเป็นบุตรชายของจวนมู่หยางโหว พวกเขาก็ชอบทั้งนั้น ได้ยินว่าหลายปีมานี้ฮูหยินมู่หยางโหวแทบจะเสียสติด้วยเรื่องของหลาน จนจะหาสตรีมายัดเข้าห้องมู่หยางเสียให้ได้ พอพวกเราเข้าไปอยู่จวนมู่หยางแล้วถึงค่อยดีขึ้นมาหน่อย แต่นางก็ยังต้องการบุตรชายสายหลักอยู่ดี ดังนั้นวันๆ จึงเอาแต่ยาให้สตรีนางนั้นกิน ยากินเข้าไปเยอะๆ สุดท้ายกลับส่งผลต่อสมอง หึ!”

เยี่ยหลีจัดเสื้อผ้าให้เขา ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “อีกไม่กี่วันข้ากับท่านอ๋องก็จะไปจากเมืองหลวงแล้ว ยามนี้เหลิ่งเอ้อร์ไปอยู่ที่ชายแดน เฟิ่งซานก็จะไปกับพวกเราด้วย ถึงยามนั้นเมืองหลวงคงเหลือเพียงเจ้ากับเหยาจี พวกเจ้าต้องระวังตนเองให้มาก รู้หรือไม่ หากเจอเรื่องวุ่นวายอันใด ก็รีบถอนตัวออกมาก่อนก็แล้วกัน รักษาชีวิตเอาไว้ สำคัญกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น”

นัยน์ตามู่เลี่ยเป็นประกายวูบไหว เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พระชายาโปรดวางใจ เหยาจีมิใช่คนโง่ ข้าก็ไม่ใช่ คนที่จวนมู่หยางโหวไม่มีทางนึกสงสัยหรอก เรื่องทางเมืองหลวงพวกเราจะจัดการให้ดีเอง จะไม่ให้ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเป็นกังวล”

เยี่ยหลีระบายลมหายใจเบาๆ พลางเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “เจ้ายังเป็นเด็กอยู่เลย…”

มู่เลี่ยหัวร้อนขึ้นมาทันที “ข้ามิใช่เด็กๆ เสียหน่อย! ข้าเป็นหน่วยกิเลน!” ที่สำรองไว้

“ได้ได้…” เยี่ยหลีรีบเอ่ยปลอบ “ไว้รอเจ้ากลับมา ข้าจะให้ฉินเฟิงรับเจ้าเข้าหน่วยกิเลนเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้น ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยให้มากนะ”

“ขอบพระคุณพระชายา” มู่เลี่ยเอ่ยด้วยความยินดี หากว่าด้วยเรื่องความสามารถแล้ว เขามิได้เป็นรองผู้ใด แต่ผู้บัญชาการหลินมักมองแต่ว่าเขาอายุยังน้อย จึงไม่ยอมให้เขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยกิเลน หึหึ! ยามนี้เขามิได้ออกมาปฏิบัติภารกิจแล้วหรือ ทั้งยังเป็นภารกิจที่เจ้าวัวโง่ตัวสูงใหญ่พวกนั้นไม่อาจทำแทนได้อีกด้วย!

แค่เพียงมองจากสีหน้าของมู่เลี่ยก็รู้แล้วว่าเขากำลังคิดสิ่งใด เยี่ยหลีจึงได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ

“ไฟไหม้! ไฟไหม้…” จู่ๆ ก็เกิดเสียงวุ่นวายดังขึ้นจากที่ไกลๆ เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นออกมองไปตามทางเสียงที่ลอยมาก

องครักษ์ทั้งสองคนเขยิบเข้ามาอยู่ข้างกายม่อตัวน้อยกับเหลิ่งจวินหาน

ส่วนมู่เลี่ยยืนขึ้นบนเก้าอี้พยายามมองออกไป เขาเลิกคิ้วเอ่ยว่า “นั่นเป็นทิศของวังเย็นนี่ เป็นตำหนักชิวเหลียง ยามนี้หลิ่วกุ้ยเฟยถูกขังอยู่ที่นั่น!”

“ตำหนักชิวเหลียง? บังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ พอถึงวันพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ วังชิวเหลียงก็ไฟไหม้เสียได้” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึม

นางนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนหันไปเอ่ยสั่งการว่า “พาซื่อจื่อน้อยไปหาท่านอ๋อง ข้าจะไปดูหน่อย”

“พระชายา?” องครักษ์ติดตามมีท่าทีลังเล

เยี่ยหลีส่ายหน้า อยู่ในวังไม่มีอันตรายร้ายแรงหรอก ดูแลเด็กสามคนนี้ให้ดี ไปเถิด”

มู่เลี่ยเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่ต้องให้คนมาปกป้อง พระชายา ข้าจะปกป้องท่านเอง!”

เยี่ยหลีเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “เช่นนั้นคงไม่ได้ หากเจ้าไปกับข้าตอนนี้ จะมีคนสงสัยเอาได้ เด็กดี ไปกับตัวน้อยกับจวินหานเถิด เด็กแสบสองคนนี้ฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน” นางไม่เปิดโอกาสให้มู่เลี่ยปฏิเสธ กระโดดลอยตัวจากไปทันที

มู่เลี่ยวางท่าทางขึงขัง ใบหูน้อยๆ แดงแจ้ดไปหมด หันมองม่อตัวน้อยด้วยสีหน้าประหลาดทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยพึมพำว่า “เอาเถิด ข้าจะรับอาสาปกป้องพวกเจ้าก็แล้วกัน”

ม่อตัวน้อยกรอกตาบนใส่ “ผู้ใดต้องการให้เจ้าปกป้องกัน”

เหลิ่งจวินหานยิ้มจนตาหยี ยื่นมือไปหามู่เลี่ย “พี่ชาย อุ้มๆ”

“เหลิ่งเอ๋อน้อย! เจ้าเข้าใจคำว่าใกล้ชิดกับห่างเหินหรือไม่!” ม่อตัวน้อยโกรธจัด

“อ้อ…เหลิ่งเอ๋อน้อย ม่อตัวน้อย…หึหึ…”

ม่อตัวน้อยหน้าบึ้งลงทันที หึหึมารดาเจ้าสิ!

ยามที่เยี่ยหลีเร่งรุดถึงตำหนักชิวเหลียง ไฟก็ได้ลุกโหมเผาไหม้ตำหนักข้างไปเกือบครึ่งหลังแล้ว ตำหนักชิวเหลียงเรียกได้ว่าเป็นวังเย็นของวังเย็น ไม่ได้รับการบำรุงรักษามาหลายปี จนหญ้าขึ้นแซมเต็มไปหมด จนแทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในวัง ยามปกติก็น้อยนักที่จะมีคนมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันนี้ที่เป็นวันพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ ที่ยิ่งไม่มีคนมาที่นี่เข้าไปใหญ่

ถึงแม้ไฟจะลุกไหม้ขึ้นแล้ว แต่กว่าที่นางกำนัลกับขันทีที่อยู่ไกลๆ จะเดินวกวนไปตามทางเดินอันซับซ้อนในวังได้ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย อย่างน้อยยามที่เยี่ยหลีไปถึง ก็ยังไม่เห็นมีผู้ใดมาช่วยดับไฟเลยสักคน

“พระชายา” ในที่สุดองครักษ์ทั้งหลายก็มิได้รั้งอยู่ที่ข้างกายม่อตัวน้อยกันหมด พวกเขาแบ่งคนสองคนออกมาตามเยี่ยหลี

“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…” มีน้ำเสียงอ่อนแรงตะโกนเรียกให้ช่วยดังออกมาจากด้านใน

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นี่มิใช่เสียงของหลิ่วกุ้ยเฟย น้ำเสียงเย็นเยียบและเย่อหยิ่งของหลิ่วกุ้ยเฟย เยี่ยหลีไม่มีทางจำผิด ต่อให้เป็นน้ำเสียงอ่อนแรงของนาง ก็ไม่มีทางใช่น้ำเสียงเช่นนี้

“ช่วยด้วย…”

เยี่ยหลีกระโดดลอยตัวเข้าไปในตำหนักชิวเหลียง องครักษ์ทั้งสองอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบตามเข้าไป

ด้านในมีเสียงของเยี่ยหลีดังลอยออกมาว่า “อยู่ข้างนอกก่อน!”

ตำหนักชิวเหลียงเดิมทีก็เป็นตำหนักข้างอยู่แล้ว ภายในจึงไม่ได้กว้างขวางนัก ดังนั้นเพียงเยี่ยหลีเข้าไปก็เห็นสตรีที่ล้มอยู่กับพื้นทันที นางจึงรีบเอ่ยห้ามองครักษ์ทั้งสองที่คิดจะตามเข้ามา สตรีนางนั้นอยู่ในชุดสีชมพูอ่อน ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นสาวน้อยนางหนึ่ง อีกทั้งเมื่อมองดูจากเนื้อผ้าแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าไม่น่าใช่นางกำนัล

เยี่ยหลีรีบก้าวเข้าไปพยุงเด็กสาวผู้นั้น ก่อนเยี่ยหลีจะรีบพานางออกมาข้างนอก ยังดีที่เด็กสาวผู้นั้นน่าจะวิ่งออกมาตั้งแต่เห็นไฟเริ่มลุกแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่ออยู่ห่างจากปากประตูไปเพียงไม่กี่ก้าวถึงได้ล้มลง หากนางอยู่ลึกกว่านี้ ด้วยเสียงของนางเกรงว่าพวกเขาคงไม่มีผู้ใดได้ยิน

เมื่อพาตัวเด็กสาวออกมาจากตำหนักชิวเหลียงได้แล้ว ก็วางตัวนางลงบนพื้นหินด้านนอก เมื่อหันไปมองอีกครั้ง เปลวเพลิงที่โหมรุนแรงก็ได้โอมล้อมตำหนักชิวเหลียงเอาไว้เสียแล้ว หากนางช้ากว่านี้เพียงก้าวหรือสองก้าว สาวน้อยผู้นี้ก็คงได้ถูกไฟครอกตายอยู่ในนั้นแล้ว

“พระชายา หลิ่วกุ้ยเฟย…” องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเตือนขึ้น

เยี่ยหลีส่ายหน้า “แล้วไปเถิด ไฟไหม้แรงเกินไป ไว้รอให้ไฟสงบก่อนแล้วค่อยเข้าไปดูก็แล้วกัน”

นางก้มลงไปปัดผมยาวที่ปรกหน้าสาวน้อยผู้นั้นออก ก็เผยให้เห็นใบหน้าบอบบางหมดจด แค่เพียงตรงข้างซ้ายของใบหน้านั้นตั้งแต่บริเวณหางตาไปจนถึงใบหูกลับมีรอยแผลของเนื้อที่ถูกไฟไหม้เพิ่มขึ้นมา บนเสื้อผ้าก็มีร่องรอยจากการถูกไฟไหม้เช่นกัน

องครักษ์ก้มลงตรวจสอบดู ก่อนบอกว่า “นางถูกวางยาสลบ น่าจะเป็นเพราะถูกของที่ติดไฟบางอย่างหล่นใส่ใบหน้า นางถึงได้ได้สติขึ้นมา แล้วถึงได้ตะเกียดตะกายคลานออกมาพ่ะย่ะค่ะ”

“นี่คือ…” เยี่ยหลีมองใบหน้าข้างที่ยังสมบูรณ์ดีของเด็กสาว ถึงแม้จะไม่ได้พบหน้ากันหลายปี อีกทั้งตอนนั้นนางก็อายุยังน้อย แต่ด้วยความจำอันเป็นเลิศของเยี่ยหลี ย่อมจำได้ว่าสาวน้อยตรงหน้านี้คือผู้ใด นางก็คือบุตรสาวของหลิ่วกุ้ยเฟยกับม่อจิ่งฉี องค์หญิงรองแห่งต้าฉู่

“องค์หญิงเจินหนิง”

องค์หญิงเจินหนิงที่อยู่ที่พื้นพยายามฝืนลืมตาขึ้น ถึงแม้จะมีฤทธิ์ของยาสลบอยู่ แต่รอยแผลไฟไหม้ขนาดเท่าฝ่ามือบนใบหน้า กับอาการตื่นตระหนกและหมดหวังจากความตายที่เพิ่งหลีกหนีมาได้ ก็ทำให้นางได้สติขึ้นมาหลายส่วน

เยี่ยหลีก้มลงมองเด็กสาวที่อยู่บนพื้น นางแทบไม่เคยเห็นเด็กสาวอายุเท่านี้มีดวงตาที่เหงาหงอยและไร้แวววูบไหวเช่นนี้มาก่อน เมื่อครู่เพิ่งเอาชีวิตรอดออกมาได้ แต่กลับเปลี่ยนเป็นซึมเซาอย่างไม่มีอารมณ์เลยแม้แต่น้อย

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองตำหนักชิวเหลียงที่เปลวเพลิงกำลังโหมกระหน่ำ แล้วหันกลับมามององค์หญิงเจินหนิงที่ตัวสั่นน้อยๆ อีกครั้ง เยี่ยหลีก็แทบจะคาดเดาได้ทันทีว่าเกิดอันใดขึ้น

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา

องค์หญิงเจินหนิงมองนางนิ่งๆ ขยับปากแต่กลับไม่ได้พูดอันใดออกมา ก่อนหยาดน้ำตาอุ่นๆ จะไหลจากหางตาเข้าสู่กลุ่มเส้นผมสีดำขลับ