ตอนที่ 291-1 วังหลวงไฟไหม้ ไปจากเมืองหลวง

ชายาเคียงหทัย

สิ่งก่อสร้างในวังหลวงโดยมากคโครงสร้างทำมาจากไม้ทั้งหมด ส่วนด้านนอกใช้ปูนและการลงสีต่างๆ พร้อมเคลือบเงาในการประดับตกแต่ง เมื่อเกิดไฟลุกขึ้น ย่อมยิ่งไหม้ยิ่งรุนแรง ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ยังไม่ต้องพูดถึงตำหนักชิวเหลียงก็โอบล้อมไปด้วยทะเลเพลิง แม้แต่ตำหนักที่อยู่โดยรอบก็เริ่มลามไฟกันไปด้วย

คณะของเยี่ยหลีทั้งสามเพียงพาตัวองค์หญิงเจินหนิงหลบไปยังอุทยานแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากตำหนักชิวเหลียง ก่อนวางตัวองค์หญิงเจินหนิงไว้ยังพื้นราบโปร่งๆ มีลมพัดผ่านข้างทะเลสาบ มองไปไกลๆ ก็เห็นว่าจุดที่มีเปลวไฟเริ่มมีคนวางไปดับแล้ว จึงเอ่ยสั่งว่า “ไปเชิญหมอหลวงมา”

“อาหลี” หมอหลวงยังไม่ทันมาถึง ม่อซิวเหยาที่อยู่ในชุดขาวทั้งชุดก็กระโดดลอยเข้ามาประหนึ่งสายลม เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีไม่เป็นอันใด ก็เบาใจลงทันที แต่เมื่อปรายตาไปเห็นองค์หญิงเจินหนิงที่อยู่ด้านข้าง จึงหันไปเลิกคิ้วให้เยี่ยหลี

เยี่ยหลีส่ายหน้าโดยไม่ได้พูดอันใด การเอ่ยเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าองค์หญิงเจินหนิงในยามนี้มิใช่เรื่องที่เหมาะสม ทางด้านหลัง ม่อตัวน้อยมีองครักษ์อุ้มตามมา ด้านหลังยังมีเหลิ่งจวินหานที่มีคนอุ้มตามมาด้วยเช่นกัน

“ท่านแม่…” ม่อตัวน้อยทิ้งตัวลงจากวงแขนขององครักษ์พร้อมวิ่งเข้าใส่เยี่ยหลีด้วยความยินดี แต่ระหว่างทางกลับถูกม่อซิวเหยาคว้าคอเสื้อจากด้านหลัง ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ เตะขาต่อยอากาศให้วุ่นไปหมด “ท่านแม่ ท่านแม่…ลูกเป็นห่วงท่านแม่มาก…เสด็จพ่อใจร้าย ปล่อยข้า! ข้าจะหาท่านแม่…”

เยี่ยหลีรับตัวเขาจากมือม่อซิวเหยาอย่างเห็นเป็นเรื่องน่าขัน ตบหลังเขาพลางเอ่ยปลอบยิ้มๆ ว่า “แม่ไม่เป็นอันใด ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้วนะ เด็กดี…”

ม่อตัวน้อยดิ้นอยู่ในวงแขนเยี่ยหลีด้วยความพอใจ ไม่หันมองใบหน้าที่บึ้งตึงของม่อซิวเหยาอีก เขาพยักหน้าติดๆ กัน “ท่านแม่ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว ลูกรักท่านแม่ที่สุดเลย…”

องค์หญิงเจินหนิงที่นั่งพิงภูเขาจำลองอยู่ มองม่อตัวน้อยที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ในอ้อมแขนเยี่ยหลี ก่อนจะหันมองรอยยิ้มบางๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนของเยี่ยหลี นัยน์ตานางก็ฉายแววอิจฉาและขมขื่น

เยี่ยหลีเห็นแววตาของนาง จึงวางม่อตัวน้อยลงกับพื้น ย่อลงไปเอ่ยถามเบาๆ ว่า “องค์หญิงเจินหนิง ท่านยังไหวหรือไม่”

องค์หญิงเจินหนิงพยักหน้า เอ่ยเบาๆ ว่า “ขอบคุณมาก…ขอบคุณพระชายามากที่ช่วยชีวิต” กับสตรีที่เรียบร้อยและอ่อนหวานผู้นี้ นางไม่มีหน้าไปสู้นางจริงๆ สิ่งที่เสด็จแม่ของนางทำไว้ นางย่อมรู้ดี แต่ชายาติ้งอ๋องกลับไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสด็จแม่ และมาช่วยชีวิตนางไว้ ส่วนมารดาผู้ให้กำเนิดนาง กลับไม่เพียงหลอกใช้ประโยชน์จากนาง แต่นางถึงขั้นเกือบทำร้ายนางจนตาย เหตุใด…เพราะเหตุใดมารดาของนางถึงเป็นคนเช่นนี้

“พี่สาว! พี่สาว!” มีน้ำเสียงร้องเรียกด้วยความร้อนใจดังขึ้น ฉินอ๋องได้รับแจ้งข่าวก็พาน้องชายที่เพิ่งอายุได้แปดขวบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทันที คนที่ตามมาด้านหลังพวกเขา ยังมีเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ชนชั้นสูงในราชสำนักอย่างม่อจิ่งหลีตามมาด้วย

ไฟที่ไหม้ตำหนักชิวเหลียงไม่ใช่เล็กๆ ถึงแม้จะมีคนไปช่วยดับแล้ว แต่ด้วยเพราะวันนี้มีลมอ่อนๆ พัดอยู่ตลอด จึงทำให้ไฟยิ่งลุกลามอย่างรวดเร็ว ยามนี้น่าจะลามไปอีกสามสี่ตำหนักแล้ว ถึงแม้ยามนี้พวกเขาจะอยู่กันที่มุมตรงข้ามของตำหนักชิวเหลียง แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงไอร้อนจากเปลวเพลิงที่กำลังระอุ

ม่อซู่อวิ๋นรีบพุ่งตัวเข้ามา กวาดตามองก็เห็นองค์หญิงเจินหนิงที่นั่งอยู่กับพื้นทันที จึงรีบพุ่งเข้าไปหา “เสด็จพี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหรือไม่”

องค์หญิงเจินหนิงรีบยกมือปิดบาดแผลบนใบหน้าของตน “ไม่…ไม่เป็นอันใดมาก…”

แต่บาดแผลสดๆ นั้น มีหรือที่นางจะสามารถใช้มือปิดบังไว้ได้ ทุกคนต่างพากันสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เด็กสาวที่เดิมทีเรียบร้อยและงดงาม บนใบหน้ากับมีรอยแผลขนาดเท่าฝ่ามือเพิ่มเข้ามา และตอนนี้รอยแผลนั้นยังเป็นเนื้อกับเลือดสดๆ ปะปนกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าถูกไฟไหม้จนเกรียมมากทีเดียว แค่เพียงมองดูก็ทำให้รู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาทันที ฮูหยินและคุณหนูที่ตามมาอีกจำนวนไม่น้อย ต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและพากันก้าวถอยหลังไปคนละหลายก้าว

องค์หญิงเจินหนิงยิ่งหน้าเสีย ก้มหน้าลงคิดอยากให้ผมปรกลงมาบดบังรอยแผลบนใบหน้านั้นของนางเสีย

“อย่าให้โดนผม ผมไม่สะอาด หากโดนแผลเข้าจะยิ่งติดเชื้อได้ง่าย” มีมือเรียวบางข้างหนึ่งยื่นเข้ามากดไหล่นางไว้อย่างอ่อนโยน พร้อมกดมือที่นางคิดจะยื่นไปยับผมมาปิดแผลไว้เบาๆ

องค์หญิงเจินหนิงอึ้งไป เงยหน้านิ่งงันขึ้นมองสตรีตรงหน้าที่ตรงริมฝีปากมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ นางมิได้ดูรังเกียจและหวาดกลัวบาดแผลบนใบหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย แต่ภาพที่สะท้อนอยู่ในสายตาที่อบอุ่นและเป็นประกายใสของนาง กลับทำให้เห็นถึงความอัปลักษณ์ของตน องค์หญิงเจินหนิงจึงตัวสั่นเทิ้ม รีบก้มหน้าหลบทันที

เยี่ยหลีระบายลมหายใจออกเบาๆ หยิบผ้าไหมเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งขึ้นมา บรรจงผูกไว้บนใบหน้าขององค์หญิงเจินหนิงเพื่อบดบังรอยแผลฉกรรจ์นั้น “ไว้รอให้หมอหลวงมาถึงแล้วจ่ายยารักษาบาดแผลให้ เดี๋ยวก็ไม่เป็นอันใดแล้ว”

สตรีที่ยังไม่ออกเรือนในตระกูลที่มีการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัดของต้าฉู่ เมื่อออกไปข้างนอกก็ต้องมีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าไว้ ดังนั้นเมื่อองค์หญิงเจินหนิงใส่ผ้าโปร่งปิดหน้าไว้เช่นนี้ ถึงแม้เมื่ออยู่ท่ามกลางสตรีที่ยังไม่ออกเรือนที่เปิดเผยใบหน้า จะดูแปลกตาอยู่บ้าง แต่ก็มิได้ดูประหลาดแต่อย่างใด

ทุกคนที่อยู่โดยรอบพากันถอนใจ พวกนางโดยมากล้วนเป็นสตรีที่เลี้ยงดูอยู่กันแต่ในเรือน ไฉนเลยจะเคยพบเห็นรอยแผลเช่นนี้ ยามนี้เมื่อปิดบังแผลเหล่านั้นไปแล้ว อย่างไรก็ถือว่าดี

ขณะเดียวกัน ก็มีสายตาคนจำนวนมากหันมองไปยังสตรีในชุดขาวที่อ่อนโยนและงดงาม พร้อมมองสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปแม้สักนิดของชายาติ้งอ๋องด้วยความเลื่อมใส

“นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” ม่อจิ่งหลีเหลือบมองเยี่ยหลีที่กลับไปยืนข้างม่อซิวเหยา พลางเอ่ยถามเสียงขรึมขึ้น

องค์หญิงเจินหนิงกัดริมฝีปากเบาๆ ไม่ยอมพูด ม่อจิ่งหลีจึงหันไปถามเยี่ยหลี

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกข้าก็ด้วยเพราะเห็นเปลวงเพลิงจากในอุทยานถึงได้รีบไปที่นั่น ทันเพียงช่วยองค์หญิงเจินหนิงออกมาเท่านั้น ด้านในยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่ พวกข้าไม่อาจรู้ได้”

ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “องค์หญิงเจินหนิง เหตุในถึงไปอยู่ในตำหนักชิวเหลียงในเวลานี้ได้”

องค์หญิงเจินหนิงไม่ยอมพูด

ม่อซู่อวิ๋นสูดหายใจเขาลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นตบหลังน้องชายที่หลบอยู่หลังตนอย่างขลาดกลัว พลางเอ่ยว่า “เสด็จย่าจับเสด็จแม่ของข้าขังไว้ในตำหนักชิวเหลียง เสด็จพี่ที่ไปก็เพื่อไปเยี่ยมเสด็จแม่”

“ถูกต้อง เป็นข้าเองที่จับนางขังไว้ในตำหนักชิวเหลียง” ไทเฮาค่อยๆ เดินเข้ามาท่ามกลางนางกำนัลและขันทีกลุ่มหนึ่ง ก็ทันได้ยินสิ่งที่ม่อซู่อวิ๋นพูดพอดี จึงเอ่ยรับขึ้นเรียบๆ

ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยถูกขังอยู่ที่ตำหนักชิวเหลียง? เหตุใดข้าถึงไม่รู้”

ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น “นี่เป็นเรื่องของฝ่ายใน เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าต้องปรึกษากับหลีอ๋องเรื่องการลงโทษสนมของอดีตฮ่องเต้ที่ไม่รักษากฎระเบียบด้วย”

ม่อจิ่งหลีไม่มีอันใดจะพูด ถึงแม้เขาจะนึกไม่พอใจที่ไทเฮาจัดการเรื่องหลิ่วกุ้ยเฟยลับหลังเขา แต่ก็มิอาจพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัลจำนวนมากเช่นนี้ได้ เพราะถึงอย่างไร ต่อให้เขาเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ แต่ก็จัดการได้เพียงเรื่องในราชสำนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เรื่องวังหลังของอดีตฮ่องเต้ เขาก็ไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่งอย่างยิ่ง

นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนม่อจิ่งหลีจะเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…ไม่รู้ว่าหลิ่วกุ้ยเฟยยังอยู่ในกองเพลิงหรือไม่”

ทุกคนต่างพากันหันมองไปทางองค์หญิงเจินหนิง ยามนี้เพลิงยังไม่สงบลง นอกจากองค์หญิงเจินหนิงก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงสถานการณ์ด้านในอีก และไม่มีผู้ใดรู้ว่า หลิ่วกุ้ยเฟยถูกไฟครอกเสียชีวิตอยู่ด้านในหรือไม่ แต่องค์หญิงเจินหนิงกลับปิดปากเงียบไม่ยอมเอ่ยอันใดทั้งสิ้น ทุกคนจึงทำอันใดไม่ได้

สายตาของม่อซิวเหยา ค่อยๆ กวาดมองไปยังทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ในขณะที่ม่อจิ่งหลีคิดว่าเขากำลังจะเอ่ยเรื่องสำคัญอันใดนั้นเอง ก็ได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นในวัง เชื่อว่างานเลี้ยงนี้คงจัดต่อไปไม่ได้แล้ว ข้ากับพระชายาขอตัวกลับตำหนักก่อนก็แล้วกัน อีกอย่าง อีกสองสามวันข้ากับพระชายาก็จะออกเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว ถึงยามนั้นคงไม่ต้องมาขอตัวลาไปออกเดินทางอีก”

ม่อจิ่งหลีลอบเบาใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “เช่นนั้น ก็เชิญติ้งอ๋องไปก่อนเถิด”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า อุ้มม่อตัวน้อยขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างจูงมือเยี่ยหลีไว้ เตรียมจะเดินออกจากวัง

“ชายาติ้งอ๋อง” ม่อซู่อวิ๋นที่นิ่งเงียบมาตลอด จู่ๆ ก็เอ่ยปากาขึ้น เขาเดินเข้าไปหาเยี่ยหลีพลางเอ่ยเสียงขรึมว่า “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเสด็จพี่ไว้ บุญคุณที่ช่วยชีวิตไม่อาจตอบแทนได้ ขอได้โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย” พูดจบก็โค้งคำนับอย่างต่ำให้เยี่ยหลีทันที

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบสองสิบสามปี ทำการคารวะตนอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ เยี่ยหลีก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฉินอ๋องเกรงใจไปแล้ว แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉินอ๋องดูแลองค์หญิงเจินหนิงให้ดีก็แล้วกัน ข้าขอตัว”

เมื่อเห็นสามคนพ่อแม่ลูกเดินออกจากอุทยานไปพร้อมการอารักขาขององครักษ์ ม่อจิ่งหลีก็ถึงได้เบาใจ เมื่อครู่เขานึกเชื่อจริงๆ ว่า บางที่ม่อซิวเหยาอาจไม่สนใจเรื่องในต้าฉู่แล้วจริงๆ

บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าออกจากวัง เหลิ่งจวินหานที่ซบอยู่กับอกของเยี่ยหลี เหนื่อยอ่อนจนนอนหลับหายใจสม่ำเสมอไปเสียนานแล้ว ม่อตัวน้อยนั่งอยู่บนตักของม่อซิวเหยา ถึงแม้จะยังไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้กระปรี้กระเปร่าเช่นก่อนหน้านี้ยามที่อยู่ในวัง ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นเด็กน้อยอายุเพิ่งห้าหกขวบ วิ่งเล่นซุกซนอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ก็มากพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยอ่อน

เยี่ยหลีตบหลังเหลิ่งจวินหานเบาๆ พลางเอ่ยถามว่า “ซิวเหยา หลิ่วกุ้ยเฟยตายแล้วหรือ”

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ยังไม่แน่ หลิ่วกุ้ยเฟยกุมอำนาจวังหลังอยู่เป็นสิบปี ต่อให้เมื่อต้นไม้ล้ม ลิงกระจัดกระจาย แต่ก็ยังมีอิทธิพลที่ยังพอใช้ได้เหลืออยู่บ้าง วันนี้ในวังมีงานเลี้ยงใหญ่ มีผู้คนไปมา นางคิดอยากหลบหนีออกจากวังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อนางยังมีคนที่สามารถใช้ได้อยู่ แล้วเหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้นกับองค์หญิงเจินหนิง หรือว่านางคิดจะให้ไฟครอกองค์หญิงเจินหนิงจนตายไปจริงๆ”

เมื่อคิดถึงข้อนี้ เยี่ยหลีก็อดรู้สึกเย็นวาบขึ้นในใจไม่ได้ จิตใจต้องโหดเหี้ยมเพียงใดถึงจะสามารถทำเช่นนี้กับบุตรสาวในไส้ของตนเองได้ อย่าว่าบิดาของบุตรสาวผู้นี้เป็นคนที่นางไม่รักเลย แต่เด็กที่เกิดมาก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางอยู่นะ

องค์หญิงเจินหนิงเสี่ยงอันตรายจากการถูกไทเฮาลงโทษไปเยี่ยมนาง แต่กลับได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นการตอบแทน ก็ไม่แปลกเมื่อยามที่ช่วยนางออกมา แววตานางถึงได้ดูเศร้าสร้อยประหนึ่งคนตายไปแล้วกระนั้น

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ให้คนของเราคอยระวังไว้ หากสตรีนางนั้นปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด ให้ฆ่าทิ้งทันที!”

เขาไม่สนใจว่าหลิ่วกุ้ยเฟยจะต้องการให้ไฟครอกองค์หญิงเจินหนิงจริงหรือไม่ หรือเพราะเหตุใดนางถึงต้องการให้ไฟครอกองค์หญิงเจินหนิง แต่หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นหลิ่วกุ้ยเฟยก็จะต้องตายสถานเดียว! สตรีที่ใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้ หากเก็บเอาไว้ก็มีแต่จะเป็นภัยร้ายเท่านั้น

เยี่ยหลีพยักหน้าเงียบๆ นางไม่มีความสงสารหรือเห็นใจหลิ่วกุ้ยเฟยเลยแม้แต่นิดเดียว