ตอนที่ 291-2 วังหลวงไฟไหม้ ไปจากเมืองหลวง

ชายาเคียงหทัย

“ได้ยินม่อตัวน้อยบอกว่า ก่อนหน้านี้ในอุทาน ฮูหยินของมู่หยางเสียมารยาทกับเจ้าหรือ” ม่อซิวเหยาผลักเรื่องของหลิ่วกุ้ยเฟยออกไปจากหัว ก่อนเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ

เยี่ยหลีปรายตามองม่อตัวน้อยที่เป็นผู้ร้ายชิงฟ้องก่อน ยิ้มเอ่ยว่า “ก็เป็นเพียงสตรีที่ถูกความหึงหวงทำให้เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น หรือว่าข้าจะต้องออกโรงไปเล่นงานนางด้วยหรือ ท่านวางใจเถิด เหยาจีก็มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ไม่มีทางปล่อยให้นางมีชีวิตที่เป็นสุขหรอก”

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยว่า “เดิมทีข้าปราณีและใจอ่อนกับจวนมู่หยางโหวมากเกินไปจริงๆ” เมื่อคิดถึงความโกรธแค้นบางเรื่องที่มีต่อจวนมู่หยางโหว ม่อซิวเหยาก็นึกเสียใจที่เดิมทีคิดวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากจวนมู่หยางโหว ให้เหยาจีกับมู่เลี่ยเข้ามาหลบซ่อนตัวในเมืองหลวง เพราะนั่นหมายความว่าเขายังไม่อาจลงมือทำอันใดจวนมู่หยางโหวได้ชั่วคราว แต่แค่เพียงได้พบคนของจวนมู่หยางโหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้พบตัวมู่หยางโหว เรื่องไม่ดีในอดีตบางเรื่องที่พยายามจะลืม ก็กลับผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง ทำให้ม่อซิวเหยาหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง

ในวันที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ในวังก็เกิดเหตุเพลิงไหม้จดแทบจะเผาวังจนวอดไปครึ่งหนึ่ง ข่าวเช่นนี้แพร่ออกไปในหมู่ชาวบ้านอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารย์ เกรงว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะไม่มีคุณธรรมจรรยาพอที่จะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ถึงทำให้สวรรค์ลงทัณฑ์กันไปต่างๆ นานา

ทุกคนในตำหนักติ้งอ๋องเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พอกันลอบหัวเราะอย่างขบขัน ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เพิ่งอายุได้เพียงหกเจ็ดปี จะรู้ได้อย่างไรว่ามีหรือไม่มีคุณธรรม

เพียงแต่เมื่อข่าวลือสะพัดขึ้นมาแล้ว คิดอยากจะหยุดข่าวนี้ก็คงไม่ง่ายเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่มีคนตั้งใจผลักคลื่นให้ลูกใหญ่ขึ้นไปอีก ข่าวลือจึงยิ่งสะพัดไปไกลและรวดเร็วประหนึ่งไฟลามทุ่ง

คนของตำหนักติ้งอ๋องมิได้ไปสนใจข่าวลือเหล่านี้ ด้วยเพราะพวกเขาต้องรีบเก็บสัมภาระเตรียมตัวเดินทางออกจากเมืองหลวงเพื่อกลับไปยังซีเป่ยอีกครั้ง ถึงแม้พวกเขาโดยมากจะเป็นคนที่เกิดและโตในเมืองหลวง แต่ตลอดหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลี ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนที่นั่นเป็นบ้านไปแล้ว ทุกคนจึงต่างเก็บสัมภาระเตรียมตัวออกเดินทางด้วยใบหน้าที่แช่มชื่น

ส่วนในราชสำนัก นอกจากหลีอ๋องจะได้กลายเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการคอยจัดการเรื่องในราชสำนักอย่างเป็นทางการแล้ว ขณะเดียวกัน ก็ได้ออกประกาศว่าฮองเฮาล้มป่วยจนสวรรคตและข่าวการร่วมฝังของหลิ่วกุ้ยเฟย ส่วนไทเฮาที่ควรขึ้นเป็นไทฮองไทเฮา ด้วยเพราะฮองเฮาของอดีตฮ่องเต้มาล้มป่วยจนสวรรคต ฮองไทเฮาพระองใหม่ยังไม่สามารถแบกรับภาระหน้าที่สำคัญได้ จึงทำให้ได้รับการละเว้นไม่ต้องไปร่วมฝัง ใช้เพียงเส้นผมแทนร่างกาย นำไปวางไว้ในสุสานหลวงก่อนเป็นการชั่วคราว ต่อไปเมื่อไทฮองไทเฮาสวรรคตแล้ว ค่อยนำร่างไปฝังไว้ในสุสานหลวง

ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องราวมากมายในเมืองหลวง สามวันให้หลังคณะของม่อซิวเหยาก็ออกเดินทางจากเมืองหลวงกลับซีเป่ย แต่บนรถม้าของพวกเขา มิได้มีเพียงสตรีวัยกลางคนที่รูปลักษณ์งดงามหมดจดเพิ่มขึ้นมาเพียงคนเดียว แต่ยังมีสตรีสาวที่ก็งดงามตรึงตราตรึงใจนางหนึ่งคนกับผู้อาวุโสที่ดูมีบารมีไม่ธรรมดาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

“เทียนเซียง” ในรถม้า เยี่ยหลียื่นมือไปจับมือเทียนเซียงที่ยังคงนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ พร้อมยิ้มน้อยๆ

ใบหน้าที่งดงามของฮว่าเทียนเซียง ยังเจือแววตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย นิ่งอึ้งมองเยี่ยหลีอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้พูดออกมาเบาๆ ว่า “หลีเอ๋อร์…ท่านน้า..”

ฮองเฮาพยักหน้า มือลูบผมดำขลับของนางด้วยความสงสาร ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “เทียนเซียง หลายปีนี้ลำบากเจ้าแล้ว”

เดิมทีนางเป็นหลานสาวสายหลักของฮว่ากั๋วกง หลานสาวแท้ๆ ของฮองเฮา เดิมทีเป็นสตรีที่สาวๆ ที่ยังไม่ออกเรือนต่างพากันอิจฉา แต่ก็ด้วยเพราะฐานะเช่นนี้ของนาง ทำให้นางที่อายุกว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ออกเรือน สตรีธรรมดาทั่วไป หากอยู่ในวัยนี้ คงช่วยกันอมรมเลี้ยงดูบุตรกับสามี และจัดการเรื่องภายในตระกูลไปแล้ว แต่นางกลับต้องหลีกเลี่ยงการเป็นที่สะดุดตา ด้วยวิธีการเช่นว่า ไปสวดมนตร์ขอพรให้กับท่านย่า หรือไม่ก็บอกว่าไปถือศีลทำบุญที่วัด

ฮว่าเทียนเซียงส่ายหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านน้าพูดอันใดเช่นนี้ ข้ากินดีอยู่ดี ลำบากเสียที่ใดกัน ท่านน้าสิ ข้ามองดูท่านแล้วช่าง…” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่อ่อนไหว ฮว่าเทียนเซียงก็ตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เดิมทีนางได้ยินข่าวตอนอยู่ที่วัดจืออวิ๋น นางก็คิดว่าท่านน้าเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ เช้าวันนี้ขณะที่นางทบทวนบทเรียนอยู่ในห้องของตนตามปกติ จู่ๆ ก็กลับถูกทำให้หมดสติไป คิดไม่ถึงว่าพอตื่นขึ้นมาจะได้เห็นท่านน้าที่นึกว่าจากไปแล้ว กับสหายรักที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเสียนานหลายปีอีก และพวกนางก็กำลังอยู่บนรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังซีเป่ยอีกด้วย ก็ไม่แปลกหากนางจะต้องใช้เวลาตั้งสติอยู่เป็นนาน

“หลีเอ๋อร์ ท่านน้า ข้า…” เมื่อมองทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ฮว่าเทียนเซียงก็คิดอยากถามบางอย่างด้วยความงุนงงสงสัย แต่ไม่รู่ว่าจะเริ่มถามจากที่ตรงใดดี

เยี่ยหลียื่นมือไปจับมือนางไว้ ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยว่า “ฮว่ากั๋วกงมอบเจ้าให้กับข้าแล้ว ต่อไปคุณหนูใหญ่ฮว่าคงต้องลำบากท่านไปใช้ชีวิตอย่างยากแค้นที่ซีเป่ยแล้ว”

“เป็นท่านปู่…” ฮว่าเทียนเซียงเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น นึกขึ้นมาได้ทันทีว่า เมื่อหลายวันก่อนท่านปู่มาเยี่ยมตน ทั้งยังได้เอ่ยสั่งอันใดแปลกๆ ยามนั้นนางมิได้คิดอันใดมาก ที่แท้ท่านปู่ก็คิดจะยกนางให้เยี่ยหลีเป็นคนจัดการมานานแล้วอย่างนั้นสิ

ฮองเฮาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านปู่เจ้าก็ทำเพื่อเจ้า ยามนี้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว หลีอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการ หลายวันก่อนหลีอ๋องยังได้เอ่ยเป็นนัยๆ ว่าหมายใจจะรับเจ้าเข้ามาเป็นชายารอง ถึงแม้ท่านพ่อจะได้บอกปฏิเสธไปแล้ว แต่หากเจ้ายังไม่ออกเรือน อย่างไร…”

ฮว่าเทียนเซียงเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าท่านปู่ทำเพื่อข้า แต่หากพวกเราไปกันหมด…ท่านตา…”

“วางใจเถิด ฮว่ากั๋วกงเป็นคนมีคุณธรรมสูงและมีเกียรติยศที่ดีงาม ม่อจิ่งหลีเพิ่งเข้ามากุมอำนาจ ไม่มีทางทำอันใดฮว่ากั๋วกงแน่นอน เพียงแต่ เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก เจ้าเปลี่ยนชื่อไปเลยน่าจะดีกว่า และฮองเฮา เอ้อ…พี่ฮว่าก็ด้วย”

ทั้งสองพยักหน้า สิ่งที่เยี่ยหลีเอ่ยพวกนางย่อมเข้าใจดี ถึงแม้คนที่เคยพบพวกนางจะมีอยู่ไม่มากนัก แต่สิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันไว้ก่อน อย่างไรก็ยังต้องทำ หากให้คนรู้ว่าในเมืองหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำหนักติ้งอ๋องมีคนที่ไม่ควรไปปรากฏตัวขึ้นที่นั่นจำนวนมากเช่นนี้ ไม่ว่าจะต่อตำหนักติ้งอ๋องหรือตระกูลฮว่าก็ล้วนไม่ดีทั้งสิ้น

ฮว่าเทียนเซียงคิดไปคิดมา ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “ตระกูลฝ่ายท่านตาข้าแซ่หยาง กับผู้อื่นก็เรียกรั่วฮว่าก็แล้วกัน”

ฮองเฮาหัวเราะน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอยืมแซ่ของเทียนเซียง เรียกข้าว่าหยางฮูหยินก็แล้วกัน” ที่นางเอ่ยเช่นนั้น ก็เท่ากับแม้แต่ชื่อนางก็ยังไม่ยอมตั้ง

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ มองฮองเฮาด้วยความเป็นห่วง

ฮองเฮายิ้มเอ่ยว่า “แค่สามารถปลดพันธนาการของฮองเฮาออกมาได้ ก็เป็นความโชคดีที่ข้าไม่มีวันคาดคิดของชีวิตแล้ว อีกอย่างเมื่อไปถึงซีเป่ยแล้ว ก็ยังมีฉางเล่ออยู่ ทุกอย่างจะดีเอง”

“ข้าเกรงแค่ว่าเฟิ่งซาน…” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว

ตั้งแต่เฟิ่งหวายถิงถูกเฟิ่งจือเหยาโน้มน้าวใจให้เดินทางกลับซีเป่ยกับพวกเขาสำเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่างเฟิ่งจือเหยาพ่อลูก ก็ค่อยๆ ดีขึ้นไม่แข็งกร้าวใส่กันอย่างก่อนหน้านี้อีก

เฟิ่งหวายถิงมิได้เหมือนกับฮว่าเทียนเซียง เขาเป็นคนที่ม่อซิวเหยาประกาศกร้าวแก่ม่อจิ่งหลีและนำตัวเขามาอย่างเปิดเผย ม่อจิ่งหลีสูบสมบัติตระกูลเฟิ่งไปจนหมดแล้ว ย่อมไม่สนใจชายชราอายุใกล้หกสิบปีอย่างเฟิ่งหวายถิงอีก แม้แต่คนอื่นๆ ของตระกูลเฟิ่ง เขาก็ยังเอ่ยอย่างใจกว้างว่าสามารถพาตัวไปพร้อมกันด้วยได้ แต่บุตรชายสายหลักทั้งสองของตระกูลเฟิ่ง กลับไม่ยอมไปอยู่ซีเป่ยเพื่อไปอยู่ภายใต้การดูแลของน้องชายสายรอง อีกทั้งยามนี้พวกเขาก็กำลังเป็นบุคคลสำคัญที่ยังทำประโยชน์ให้หลีอ๋อง เฟิ่งฮูหยินโกรธจัดกับการตัดสินใจของผู้เป็นสามี ย่อมยืนอยู่ข้างบุตรชาย คนทั้งตระกูลเฟิ่ง นอกจากบ่าวไพร่ที่จงรักภักดีกับบุตรชายบุตรสาวสายรองที่อายุยังน้อย ก็ไม่มีผู้ใดยินดีที่จะติดตามเฟิ่งหวายถิงที่ไม่มีทรัพย์สมบัติติดกายแล้ว ไปลำบากที่ซีเป่ย

“แต่นายท่านเฟิ่ง…” ถึงแม้เฟิ่งหวายถิงจะไม่ได้พูดออกมาอย่างเปิดเผย แต่ท่าทีที่เขามีต่อเรื่องราวระหว่างเฟิ่งจือเหยากับฮองเฮานั้น เยี่ยหลีก็ยังมองออก

ฮองเฮาส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “อาเหยาไม่มีบิดามารดาคอยดูแลมาตั้งแต่เล็กๆ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องความรักมากกว่าผู้อื่น ต่อไปเมื่อมีบิดาเขาคอยดูแล เขาก็จะค่อยๆ เข้าใจเอง หลายปีมานี้…ข้าก็เหนื่อยแล้ว ขอเพียงต่อไปเทียนเซียงมีชีวิตที่ดี ฉางเล่อมีชีวิตที่ดี ข้าก็ไม่มีอันใดต้องเสียใจแล้ว”

เยี่ยหลีนิ่งไป เรื่องความรักความรู้สึกเช่นนี้ เป็นเรื่องที่คนนอกยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้ เรื่องระหว่างเฟิ่งจือเหยากับฮองเฮา พวกเขาคงต้องแก้ไขกันเองแล้ว

ฮว่าเทียนเซียงมองทั้งสองด้วยความงุนงง แต่ก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศเริ่มหนักอึ้งขึ้น จึงจับมือทั้งสองพลางส่งยิ้มให้ “พวกเราต้องมีชีวิตที่ดีแน่ๆ ทุกคนจะต้องมีชีวิตที่ดีมากๆ ท่านน้าเรียกข้าว่ารั่วฮว่าก็แล้วกัน เผื่ออีกหน่อยไม่ทันระวังแล้วจะเรียกผิด”

ทั้งสามพากันระบายยิ้มออกมา เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “ถูกต้อง พวกเราจะต้องมีชีวิตที่ดีมาก”

ณ มุมหนึ่งที่มืดสลัวของเมืองหลวง มีร่างของสตรีที่อยู่ในสภาพผ่ายผอมและดูไม่ได้คนหนึ่ง อยู่ในชุดซอมซ่อสีเทา บนศีรษะมีเพียงไม้หน้าตาหยาบๆ เสียบแซมอยู่ จนแทบจะมองรูปลักษณ์เดิมไม่ออก

นางซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังเล็กเก่าๆ ผุๆ ในซอยแคบที่แทบจะไม่มีคนเดินผ่านไปมา ดวงตาที่ฉายอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เป็นประกายคมกล้าอย่างที่ทำให้รู้สึกหนาวสั่น

“ติ้งอ๋องไปจากเมืองหลวงแล้วหรือ”

“ถูกต้อง เช้าวันนี้ ติ้งอ๋องได้พาพระชายากับซื่อจื่อออกจากเมืองไปแล้ว” เสียงแหบพร่าต่ำๆ ของบุรุษดังขึ้นเบาๆ

“นี่ก็ตั้งหลายวันแล้ว เจ้ายังหาวิธีส่งข้าออกจากเมืองไม่ได้อีกหรือ!” น้ำเสียงแหลมของสตรีเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ

บุรุษผู้นั้นถูมือพลางเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ทุกวันนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีการอารักขาอย่างแน่นหนา ได้ยินว่าวันที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ในวังเกิดไฟไหม้ขึ้น แล้วยังได้ครอกใบหน้าขององค์หญิงเจินหนิงจนเสียโฉม เกรงว่าเบื้องบนคงกำลังตามจับนักฆ่าอยู่”

“?” สตรีนางนั้นเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ด้วยเพราะไม่ได้พบแสงอาทิตย์มาหลายวัน ทำให้ใบหน้าดูซีดขาว และเผยให้เห็นแววตระหนกได้ง่ายขึ้น

บุรุษผู้นั้นคงคิดว่านางตกใจกลัว จึงรีบเข้าไปจับมือนางไว้พลางเอ่ยปลอบขวัญว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ไม่ว่าอย่างไรนักฆ่าก็ไม่มีทางมาที่นี่ได้หรอก”

เขามองสตรีตรงหน้าที่แม้จะอยู่ในชุดผ้าหยาบๆ สีซีดๆ แต่ก็ยังคงงดงามอย่างน่าใจหาย สายตาบุรุษผู้นั้นเปลี่ยนไป ขยับเข้าใกล้นางอย่างไม่รักษากฎระเบียบทันที

ใบหน้าของสตรีนางนั้นมีแววรำคาญใจ สะบัดมือเขาออกพลางเอ่ยว่า “ออกไป ข้าไม่มีอารมณ์!”

“ที่รัก…อย่าเพิ่งใจร้อน อีกไม่นานพวกเราก็จะมีวิธีออกจากเมืองหลวงเอง ที่รัก…” บุรุษผู้นั้นรวบเอวสตรีนางเข้ามา พลางอุ้มขึ้นไปกดตัวนางลงบนเตียง นัยน์ตาเป็นประกายหื่นกระหายอย่างน่าตกใจ ซุกหน้าลงกับร่างของสตรีพลางซุกไซร้อย่างรุนแรง

สตรีนางนั้นข่มความรังเกียจในใจลง ปล่อยให้บุรุษผู้นั้นกระทำการจาบจ้วงบนร่างกายนางตามอำเภอใจ แต่จิตใจกลับลอยหายไปไกลเสียแล้ว

เป็นไปได้อย่างไร…เหตุใดเจินหนิงถึงได้ถูกไฟครอกได้ ถึงแม้ยามนั้นนางจะนึกกังวลว่าเจินหนิงจะทำให้นางเสียแผน ถึงได้วางยาสลบนาง แต่นางก็สั่งไว้แล้วนี่ว่า เมื่อนางไปแล้ว ให้พาตัวเจินหนิงออกไปแล้วค่อยวางเพลิงตำหนักชิวเหลียง

แต่นางกลับไม่รู้ว่า นางจำเป็นต้องมีหนึ่งคนที่ถูกไฟครอกอยู่ในนั้นแทนนาง มิใช่ไฟครอกคนที่ตายไปแล้ว แต่เป็นไฟครอกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คนที่คอยจัดการเรื่องนี้แทนนางก็เป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ ไฉนเลยจะยินยอมสละตนเองไปตาย หรือสละคนใกล้ชิดของตนเองไปตาย องค์หญิงเจินหนิงที่ถูกหลิ่วกุ้ยเฟยวางยาสลบด้วยตนเอง จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด มิเช่นนั้นหากปล่อยให้องค์หญิงเจินหนิงตื่นขึ้นมาแล้วนำเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น พวกเขาก็คงหนีไม่พ้นเช่นกัน

เจินหนิง…เจ้าอย่าได้โทษแม่เลย แม่ไม่ได้คิดที่จะให้ไฟครอกเจ้า นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ ผู้ใดใช้ให้เจ้า…

“ที่รัก เหตุใดเจ้าถึงใจลอย” บุรุษผู้นั้นเอ่ยด้วยความไม่พอใจ บนใบหน้าที่ราบเรียบเต็มไปด้วยเลือดฝาด เขาจูบแรงๆ ลงบนริมฝีปากแดงๆ เรียวบางนั้น

สตรีนางนั้นปิดตาลงด้วยความรังเกียจ เมื่อเทียบกับบุรุษที่หน้าตาดุร้ายตรงหน้าแล้ว ม่อจิ่งฉีเรียกได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามเลยทีเดียว แต่ยามนี้ นางจำต้องพึ่งพาบุรุษผู้นี้เพื่อให้นางหลบหนีออกจากเมืองหลวงไปได้ ม่อซิวเหยา…เยี่ยหลี เป็นเพราะพวกเจ้าทั้งนั้น! เป็นเพราะพวกเจ้าทั้งนั้น

“ที่รัก เจ้าช่างสวยจริงๆ…” บุรุษผู้นั้นฉีกทึ้งเสื้อผ้าของสตรีอย่างหยาบคาย ชั่วชีวิตเขาไม่เคยพบสตรีที่รูปโฉมงดงามเช่นนี้มาก่อน หากเป็นเมื่อก่อน สตรีที่งดงามเช่นนี้ แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิด แต่ยามนี้ สิ่งล้ำค่าที่งดงามผู้นี้เป็นของเขาแล้ว ต่อไปก็จะกลายเป็นภรรยาของเขา

ลึกเข้าไปในตรอกแคบๆ ภายในห้องเล็กๆ ที่มืดสนิท มีเสียงหอบหายใจด้วยคลื่นอารมณ์และเสียงต่อยตีดังขึ้น แล้วไม่นานก็มีเสียงครวญครางอย่างอ่อนหวานของสตรีดังตามมา…