ตอนที่ 292-1 จลาจลกำลังมาเยือน

ชายาเคียงหทัย

ณ เมืองหลี

ในการประชุมของห้องหนังสือใหญ่ คุณชายชิงเฉินในชุดขาวทั้งร่างนั่งอยู่เก้าอี้ตัวแรกด้านล่างของตำแหน่งประธาน มองที่นั่งว่างตรงหน้าเขาจึงยิ้มออกมาอย่างงดงาม ท่าทางสบายดั่งเทพเซียน แต่คนที่นั่งอยู่ด้านล่างของเขา กลับสั่นอย่างช่วยไม่ได้ คุณชายชิงเฉินเป็นเช่นนี้…ช่างน่ากลัวเสียจริง

“คุณชายชิงเฉิน ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อไรหรือ เดือนกว่ามานี้ชายแดนของซีหลิงเพิ่มกำลังทหารอยู่ตลอด…” คนอื่นมองไปที่ผู้พูดราวกับมองคนโง่เขลา ไม่เห็นว่าคุณชายชิงเฉินกำลังหัวเสียกับการที่ท่านอ๋องไม่ยอมกลับหรืออย่างไร ยังไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรพูดอีก! แต่จะว่าไปแล้ว ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อไรกันแน่เนี่ย ดูเหมือนว่าจะเกิดสงครามขึ้นที่ชายแดนซีหลิง แต่ท่านอ๋องก็ไม่ยอมกลับมาเสียที ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะรบไม่ได้หากไม่มีท่านอ๋อง เพียงแค่ถ้าไม่มีท่านอ๋องพวกเขามักจะรู้สึกว่าไม่มีความมั่นใจ

สวีชิงเฉินหันกลับไปด้วยรอยยิ้ม คิ้วดาบยกขึ้นเล็กน้อย “เที่ยวสนุกจนพอแล้ว…ท่านอ๋องก็จะกลับมาเองละ”

“เช่นนั้นซีหลิง…”

“พวกเราก็เพิ่มกำลังทหารแล้วไม่ใช่หรือ ซีหลิงต้องการลองเชิงเท่านั้น ต่อให้ต้องรบ…เมื่อถึงเวลาเปิดศึกจริงๆ ก็คือเวลาที่ท่านอ๋องควรกลับมา” ถ้าม่อซิวเหยากลับมาหลังจากเปิดศึกไปแล้วจริงๆ เขาจะเอาม่อซิวเหยาไปทิ้งที่สนามรบ! แน่นอน หลีเอ๋อร์ต้องอยู่ประจำการณ์ที่เมืองหลีสิ

ทุกคนนิ่งเงียบ คุณชายชิงเฉินผู้นี้เก่งไปหมดทุกอย่าง เขาจัดการเรื่องการบ้านการเมืองได้มีประสิทธิภาพมากกว่าท่านอ๋องเสียอีก ในเมื่อคุณชายชิงเฉินไม่เคยแอบอู้เฉกเช่นท่านอ๋อง นอกจากนี้หลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ เพียงแค่เขาพูดไม่กี่คำตามที่ต้องการ ก็สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้ในทันที สิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียวก็คือ หน้าตาของคุณชายผู้นี้หน้าตางดงามเกินไปอีกทั้งท่าทางดั่งเทพเทวดานั้น เมื่อเขายิ้มอย่างสง่างามเบาๆ ให้ คนส่วนใหญ่จะกลืนสิ่งที่พวกเขาต้องการจะพูดในตอนแรกไป ไม่สามารถตอบโต้เขาได้แม้แต่น้อย เมื่อรอยยิ้มของคุณชายผู้นี้ดูเย็นชา ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับติ้งอ๋องของพวกเขา ทุกคนจะรู้สึกหนาวเสมือนสายลมในฤดูหนาวพัดผ่าน

“รายงานคุณชายชิงเฉิน ท่านอ๋องและพระชายากลับมาแล้วขอรับ!” องครักษ์ด้านนอกประตูรายงานเสียงดัง

ใบหน้ารูปงามของสวีชิงเฉินปรากฏรอยยิ้มสดใสเล็กๆ เฉกเช่นพื้นที่ตรงนี้มีดอกไม้บานสะพรั่งโดยฉับพลัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ก็ตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ ยามคุณชายชิงเฉินแสดงรอยยิ้มเช่นนี้ โดยปกติแล้วจะเป็นเวลาที่มีคนโชคร้าย

“ดี ดีมาก” สวีชิงเฉินพยักหน้าและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยืนขึ้นพลางมองไปยังผู้คนที่มาร่วมงาน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่าน เรามาต้อนรับการมาถึงของท่านอ๋องกันเถอะ”

หลังจากใช้เวลาส่วนใหญ่ในฉู่จิง ติ้งอ๋องก็กลับมาถึงซีเป่ย ยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอ เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมการการประชุมโดยกุนซือผู้ควบตำแหน่งพี่เขยที่น่าเชื่อถือที่สุดของตนเอง แต่เดิม เยี่ยหลีรู้สึกผิดมากที่โยนทุกอย่างไปที่สวีชิงเฉินในช่วงเวลานี้ จึงตัดสินใจจะเข้าไปช่วยด้วย อย่างไรก็ตามความโกรธของคุณชายสวีนั้นมุ่งเป้าไปที่ติ้งอ๋องเพียงผู้เดียว จึงปฏิเสธความช่วยเหลือของเยี่ยหลีอย่างนุ่มนวลและบอกให้ลูกพี่ลูกน้องไปพักผ่อนอย่างเต็มที่หลังจากเดินทางมาเหนื่อยๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ…ท่าน อ๋อง จะ จัดการ ให้ เสร็จ เอง

เยี่ยหลีรู้สึกว่าตอนที่พี่ชายบอกว่าท่านอ๋องจะจัดการให้เสร็จเอง อันที่จริงกำลังกัดฟันอยู่ แน่นอนว่าพี่ใหญ่ไม่มีทางทำท่าทางที่ไม่สูงส่งเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่เยี่ยหลียังคงตัดสินใจไปพักผ่อนตามคำสั่งของพี่ใหญ่ เพราะนางยังมีแขกอีกสองสามคนที่ต้องคอยต้อนรับอีก

ลานรับแขกส่วนลึกด้านในของจวนติ้งอ๋องเดิมทีว่างเปล่าทว่าตอนนี้มีคนรออยู่นานแล้ว เยี่ยหลีพาฮองเฮาและฮว่าเทียนเซียงไปที่ประตูของลาน มีคนรีบวิ่งออกมารอจากด้านใน “พระชายาติ้งอ๋องๆ!…ท่านแม่ของข้า…ท่านแม่ๆ มาหรือยัง” องค์หญิงฉางเล่อผู้ที่ไม่ได้เจอมานานในชุดสีม่วงอ่อนที่ปักด้วยดอกกล้วยไม้ รีบวิ่งออกมาจากด้านใน เพิ่งเห็นฮองเฮาเดินอยู่ข้างกายเยี่ยหลีจึงจำต้องยืนอยู่ที่ประตู

“ฉางเล่อ…” ฮองเฮามองลูกสาวที่ไม่ได้เจอมาเกือบหนึ่งปี สูงขึ้นไม่น้อยและมีสีหน้าดีขึ้นกว่าตอนที่อยู่ในวัง แม้จะได้ยินเยี่ยหลีบอกเรื่องราวของลูกสาวตอนอยู่ซีเป่ยมาตลอดทาง แต่เมื่อเจอจริงๆ นัยน์ตาฮองเฮาก็รื้นขึ้นอย่างอดไม่ได้

“ทะ…ท่านแม่…แม่!” องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตา ในที่สุดก็ได้สติ ก่อนจะร้องดีใจพลางกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนฮองเฮา เด็กสาวอายุสิบห้าปีเตี้ยกว่าท่านแม่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงอ้อนด้วยรอยยิ้มเสมือนเด็กน้อยเจ็ดแปดขวบเมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา

ฮว่าเทียนเซียงยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มพลางมององค์หญิงฉางเล่อ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉางเล่อแค่เห็นท่านแม่ของเจ้า ก็ลืมพี่สาวเช่นข้าแล้วหรือ”

เหตุนี้ถึงทำให้องค์หญิงฉางเล่อเงยหน้าขึ้น มองฮว่าเทียนเซียงซึ่งกำลังมองมาที่ตนด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดอย่างเขินอาย “ท่านพี่เทียนเซียง”

“ท่านพี่อู๋โยว ข้าด้วยๆ…” ม่อเสี่ยวเป่ายื่นมือน้อยๆ ออกมาโดยไม่เต็มใจ ต้องการที่จะดึงดูดสายตาขององค์หญิงฉางเล่อ องค์หญิงฉางเล่อและม่อเสี่ยวเป่ามีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด โน้มตัวลงไปบีบแก้มของเขาพลางยิ้ม “ที่แท้ก็คือเสี่ยวเป่านี่เอง อยู่ที่ฉู่จิงสนุกไหม นี่คือเด็กที่เจ้าเพิ่งรู้จักหรือ” เหลิ่งจวินหันยืนอยู่ข้างๆ ม่อเสี่ยวเป่า ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ มองพี่สาวแสนสวยตรงหน้า องค์หญิงฉางเล่อถูกซาลาเปาสีชมพูอันนุ่มนวลที่เต็มไปด้วยน้ำตาตรงหน้าดึงดูดเข้าแล้ว เมื่อเทียบกับความฉลาดแสนซนของซาลาเปาม่อเสี่ยวเป่าที่บางครั้งแม้แต่ตัวนางเองก็ถูกหลอก เด็กน้อยตัวอมชมพูและอ่อนนุ่มตรงหน้านี้เป็นที่รักใคร่ของเหล่าหญิงสาวมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างทางแม้แต่ฮองเฮาและฮว่าเทียนเซียงเองก็ชอบที่จะกอดและสัมผัสตัวเหลิ่งจวินหัน ซึ่งทำให้มั่วเสี่ยวเป่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

“ไม่สนุก…แต่ข้ามีของขวัญให้ท่านพี่อู๋โยวด้วย นี่คือเหลิ่ิ่งเสี่ยวไตเพื่อนใหม่ของข้า” ม่อเสี่ยวเป่าเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวัง

“อย่างนั้นหรือ มีของขวัญให้แค่พี่อู๋โยวเท่านั้น แล้วพวกเราเล่า” เสียงหัวเราะดังชัดมาจากประตู สวีฮูหยินทั้งสองปรากฏตัวขึ้นโดยจูงมือลูกของฉินเจิงที่หน้าประตู ยิ้มและมองม่อเสี่ยวเป่า

ม่อเสี่ยวเป่าร้องดีใจทันทีพลางพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของสวีฮูหยินใหญ่ “ท่านยายใหญ่ ยายรอง ป้ารอง เสี่ยวเป่าก็คิดถึงพวกท่านเช่นกัน มีของขวัญมาให้พวกท่านด้วย น้องจือรุ่ยก็มีของขวัญเช่นกัน” สวีจือรุ่ยที่เพิ่งจะสี่ขวบส่งเสียงฮึออกมาอย่างหยิ่งผยอง ก่อนจะเข้าไปอยู่ในอกแม่ “ข้าไม่อยากได้ของขวัญจากเจ้าหรอกนะ” ใครใช้ให้เจ้าไปฉู่จิงโดยที่ไม่พาข้าไปด้วย!

มั่วเสี่ยวเป่ากรอกสายตา ยิ้มตาหยีก่อนเอ่ย “เจ้าไม่เอาก็ช่าง ข้าได้ยินมาว่าใกล้ถึงวันเกิดของลูกชายคนเล็กของท่านแม่ทัพหลี่ว์แล้ว อีกไม่กี่วันข้าจะให้คนเอาไปส่งให้เขา! ข้าลืมเตรียมของขวัญวันเกิดให้เขาพอดี” ไม่ว่าสวีจือรุ่ยจะฉลาดแค่ไหนแต่ก็เป็นเพียงเด็กวัยสี่ขวบตัวเล็กๆ ที่อ่อนต่อโลก ซึ่งแตกต่างจากการม่อเสี่ยวเป่าผู้มีเล่ห์เหลี่ยมโดยเนื้อแท้ ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ ตาดวงเล็กก็ชื้นขึ้นทันที “ท่านแม่…”

ฉินเจิงลูบลูกชายอย่างช่วยไม่ได้ พลางปลอบโยน “พี่เขาหยอกลูกเล่น”

“ใช่ๆ ล้อเล่นละ ของที่จะให้เจ้า ข้าจะเอาไปให้คนอื่นได้อย่างไร อีกเดี๋ยวข้าให้คนเอามาให้เจ้าดีไหม” ได้รับสายตาเตือนจากแม่ของตน ม่อเสี่ยวเป่าจึงได้แต่เอ่ยปากทองคำเพื่อปลอบซาลาเปาน้อยด้วยตัวเอง เมื่อมองเด็กสองคนที่อายุต่างกันไม่ถึงสองขวบ ซึ่งถูกผู้ใหญ่อุ้มไว้ในอ้อมแขน คนหนึ่งที่กำลังปลอบใจกับอีกคนที่ถูกปลอบใจ ทำให้ทุกคนต่างอดที่จะปิดหน้ายิ้มไม่ได้