ไม่นานนักรถม้าก็ถูกส่งมา
หลี่รุ่ยเสียงไม่รั้งรออีกและหันตัวเข้าไปในลานตรงกลางก่อน
เหยียนหลิงจวินยืนอยู่ที่เดิมและหันกลับไปมองภาพเงาด้านหลังของเขาที่เดินอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
ความจริงที่วันนี้หลี่รุ่ยเสียงลงมืออย่างกะทันหันก็เพราะอยากเจอเขา เรื่องหนึ่งคืออยากยืนยันท่าทีของเขากันซึ่งๆ หน้า ส่วนอีกเรื่อง…
ก็คงมีแผนการอย่างชัดเจนแล้วจริงๆ
ลองคิดดูว่าหากวันนี้เขาจับตัวเหยียนหลิงจวินในที่เกิดเหตุ และเปิดโปงความจริงเรื่องยาพิษชนิดออกฤทธิ์ช้าในตัวฮ่องเต้ออกไป ด้วยความไว้วางใจที่ฮ่องเต้มีต่อเขานั้นต้องไม่มีใครสงสัยคำพูดของเขาอย่างแน่นอน
แล้วเมื่อก่อนเหยียนหลิงจวินก็สนิทกับจวนอ๋องรุ่ยชินจริงเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสามารถยัดเยียดโทษฐานเจตนาสังหารฮ่องเต้และชิงบัลลังก์ให้จวนอ๋องรุ่ยชินและบีบจวนอ๋องรุ่ยชินให้ถึงทางตันได้โดยตรง
ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ลงมือ แน่นอนว่าเพราะเห็นแก่ฉู่สวินหยาง แต่จากคำพูดและท่าทีของเขาก่อนหน้านี้ก็ตัดสินได้ไม่ยากว่า…
แผนการนี้อยู่ในกำมือของเขาตลอดเวลา หากไม่สามารถแก้ไขเรื่องของจวนอ๋องรุ่ยชินได้อย่างสมบูรณ์ สุดท้ายเขาก็ไม่ถือสาที่จะใช้เหยียนหลิงจวินเป็นบันไดที่จะก้าวไปสู่ความก้าวหน้า และจบเรื่องนี้ตามคำพูดของเขาเพียงประโยคเดียว
ตอนนั้นเพื่อไม่ให้ฉู่สวินหยางเสียใจ เขาก็เคยทุ่มเทวางแผนอย่างสุดกำลัง ไม่ให้เหยียนหลิงจวินลงใต้ จะได้หลบเลี่ยงคมดาบของฮ่องเต้
เวลานี้…
เพื่อแหวกวงล้อมของฉู่สวินหยางและวังบูรพา เขาก็วางยาฆ่าคนและส่งเหยียนหลิงจวินไปเป็นบันไดที่จะก้าวไปสู่ความก้าวหน้าได้ลงคอเช่นกัน
ว่ากันตามความจริงแล้ว ใต้หล้านี้เขาก็สนใจแค่คนเพียงคนเดียว…
นั่นก็คือฉู่สวินหยาง!
ตอนที่สถานการณ์เอื้ออำนวย เขาก็จะวางแผนจัดการแทนนางทุกเรื่อง เขาถึงขั้นทำใจไม่ได้ที่นางจะต้องเสียใจและเปลืองใจไปกับเรื่องภายนอก ทว่าหากถึงยามฉุกเฉิน…
ใครก็ขวางทางนางไม่ได้ทั้งนั้น!
หลี่รุ่ยเสียงไม่สนใจชีวิตของฮ่องเต้ที่อยู่ในมือเขาด้วยซ้ำ และตอนที่เอ่ยถึงฉู่อี้อันก็ไม่เห็นเขาจะเคารพสักเท่าไรพอจะเห็นได้ว่าเขาก็ไม่ใช่คนของฉู่อี้อันเช่นกัน
เขาสนใจแต่ฉู่สวินหยางและกำลังตั้งใจกรุยทางให้นาง
การกระทำของคนนี้ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ยากมากจริงๆ
เหยียนหลิงจวินนั่งพิงอยู่ในรถม้า พลางยกมือนวดระหว่างคิ้ว มุมปากค่อยๆ ยกยิ้มอย่างไม่เข้าใจ
หลังออกมาจากวัง เหยียนหลิงจวินก็กลับจวนเฉินทันที
ตอนที่กลับไปนั้นเลยเที่ยงไปแล้ว เขาเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชื้นครึ่งหนึ่งไป เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูด้านนอกก็มาแจ้งว่าองค์ชายเจี่ยนมาถึงแล้ว
“เชิญเขาเข้ามาเถอะ!” เหยียนหลิงจวินเห็นเขาเป็นคนกันเอง จึงนั่งลงบนเตียงที่อยู่หน้าหน้าต่างตามใจตนเอง
บนกระดานหมากรุกที่อยู่บนเตียงนั้นวางหมากรุกฆาตไว้ครึ่งหนึ่ง นั่นเป็นสิ่งที่เหลืออยู่จากคืนนั้นที่ฉู่สวินหยางมาค้างที่จวนของเขาก่อนจะไปเมืองฉู่
ช่วงนี้เขากำลังบำรุงรักษาร่างกายอย่างเงียบๆ ไม่มีจิตใจและแรงกายไปสนใจเรื่องอื่น จึงฉวยโอกาสตอนที่รอคนนี้หาตัวหมากมาเดินบนกระดานตามใจชอบ
ตอนที่ฉู่อี้เจี่ยนเข้ามาจากด้านนอกนั้นฝนหยุดแล้ว เพียงแต่ท้องฟ้ายังไม่ปลอดโปร่งเต็มที่ แสงในห้องก็เหมือนจะมืดในชั่วพริบตา
เหยียนหลิงจวินเงยหน้ามองเขาและส่งสายตาบอกไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามของตนเอง
ฉู่อี้เจี่ยนเดินเข้าไป พลางสะบัดชายเสื้อคลุมและนั่งลง
เหยียนหลิงจวินเอนตัวพิงหมอนนุ่มทางด้านหลังและเดินหมากอย่างเรื่อยเปื่อย พลางเอ่ยเหมือนจะหยอกล้อว่า “องค์ชายนี่ไม่ยอมให้ข้าอยู่อย่างสงบเลยจริงๆ บอกว่าจะมาหาถึงจวนก็มาไวมากจริงๆ”
ฉู่อี้เจี่ยนสีหน้าไม่ค่อยดี เหมือนจะไม่มีอารมณ์เล่นกับเขา และเอาแต่ขมวดคิ้วมองกระดานหมากรุกบนโต๊ะ ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไร
เหยียนหลิงจวินไม่สนใจเขาเช่นกัน เพียงแค่คิดหาทางฆ่าเวลาให้ตนเองมีความสุข
ฉู่อี้เจี่ยนเงียบไปนานมาก ทว่าตอนที่เขาจะวางหมากสีดำในมือลงไปอีก อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ยกมือมาทับกระดานหมากรุก และขวางตำแหน่งที่เขากำลังจะวางหมากเอาไว้
เหยียนหลิงจวินมองแต่กระดานหมากรุก และไม่สนใจสีหน้าของเขา
“เจ้ายังยืนกรานเช่นนั้นหรือ?” เสียงของฉู่อี้เจี่ยนดังขึ้น น้ำเสียงไม่หนักแน่น ฟังดูเหมือนมั่นคง แต่ด้วยการคาดเดาอย่างละเอียดกลับแยกออกได้ว่าตั้งใจยับยั้งอารมณ์ไว้ข้างใน “เจ้ารู้ว่าข้าเคยเห็นเจ้าเป็นเพื่อนสนิท เวลานี้…เจ้าจะแตกคอกับข้าตรงนี้จริงๆ หรือ?”
“เจ้าก็บอกว่าเคย!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยและใช้ปลายนิ้วคีบหมากตัวนั้นไว้ หมากสีดำตรงปลายนิ้วของเขายิ่งทำให้สีผิวของเขาแลดูซีดเซียว
เขามีสีหน้าสบายใจ ทว่าไม่เงยหน้าสบตากับฉู่อี้เจี่ยนสักนิด แค่ค่อยๆ เอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา มันไม่ได้มีค่าอะไร!”
“เช่นนั้นหรือ?” ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินแล้วกลับหัวเราะขึ้นมา
มือของเขาที่ทับอยู่บนกระดานหมากรุกสั่นเล็กน้อย รอยยิ้มบนหน้าระคนเศร้า แต่หลังจากหัวเราะแล้วสีหน้าที่เคยอ่อนโยนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาจนเกือบจะเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมในชั่วพริบตา เขาเอ่ยอย่างโมโหว่า “ที่บอกว่าเรื่องราวใต้หล้านี้กำลังเปลี่ยนไปตลอดจนแตกต่างกับในความทรงจำมาก อะไรนั่น ข้าว่าที่จริงแล้วเจ้าเตรียมพร้อมไว้ก่อนตั้งแต่แรกแล้ว ที่บอกว่าช่วยรักษาอาการป่วยให้ข้าก็เป็นเรื่องโกหก เพราะตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าแค่อยากจะใช้จวนอ๋องรุ่ยชินของข้าเป็นไม้กระดาน เพื่อหาโอกาสเหมาะๆ ให้เจ้าได้เข้าไปในราชสำนัก ความจริงแล้วข้าก็เป็นแค่บันไดที่จะก้าวไปสู่ความก้าวหน้าที่เจ้าเลือกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และให้เจ้าเหยียบไปใกล้ชิดฉู่สวินหยางอย่างเปิดเผยใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นโศกเศร้าปนเจ็บปวดรวดร้าว ท่าทางระหว่างที่พูดนั้นเคียดแค้นอย่างชัดเจน
เหยียนหลิงจวินปิดปากเงียบ และไม่พยายามโต้เถียงอะไรกับเขาเช่นกัน
ทว่าฉู่อี้เจี่ยนกลับอารมณ์เดือดพล่านกว่าเดิมอย่างไร้สาเหตุ และโบกมือปัดกระดานหมากรุกหล่นในทันใด
เสียงดังโครม ตัวหมากสีดำและสีขาวกระจัดกระจายเต็มพื้นและกลิ้งไปทั่วทุกที่
เขายืนขึ้นทันที ก้มหน้าชี้เหยียนหลิงจวิน และแทบจะกัดฟันถามด้วยความแค้นว่า “วันนี้ข้าจะถามเจ้าอีกเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะต้องบีบให้ข้าถึงทางตันจริงๆ หรือ?”