บทที่ 103.1 ไล่ให้เขาไสหัวไปซะ ข้าไม่แต่ง!

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

“วันนี้ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะบีบบังคับให้ข้าหมดหนทางจริงๆ งั้นหรือ?” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว พยายามกลั้นอารมณ์ไว้จนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน

เหยียนหลิงจวินยังคงอยู่ในท่วงท่าเดิม เอนพิงหมอนอิงอย่างเอื่อยเฉื่อย

หมากบนกระดานถูกกวาดทิ้งจนหมด ทว่าหมากสีดำที่คีบอยู่ในมือของเขานั้นยังคงสนุกไม่น้อยลงเลยสักนิด ใบหน้าราวกับภาพวาด ขยับพลิกหมากในมือเล่นซ้ายขวาเล่นกับแสงสะท้อน

“ข้าไม่ได้เป็นทาสรับใช้จวนอ๋องรุ่ยชินของท่านสักหน่อย ที่ข้ากล้ารักษาท่านนั่นก็เพราะตอนแรกเราก็ตกลงกันดิบดีแล้ว ว่าพวกเราสองฝ่ายไม่ติดค้างอะไรกันอีก แต่ตอนนี้ท่านอ๋องกลับมาถามข้าถึงที่อีกครั้งแบบนี้ ไม่คิดว่ามันจะเป็นการอาศัยอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงคนอื่นหรืออย่างไรกัน?” เหยียนหลิงจวินยิ้มถาม ไม่สบตามองเขาโดยตรง “อีกอย่างข้าเองก็หาได้กลั่นแกล้งท่านไม่ ตอนแรกข้าก็บอกท่านแล้วว่า ขาทั้งสองของท่านถูกพิษร้ายแรงมาก หากจะรักษามันก็มีความเสี่ยง ตอนนั้นท่านเองก็ตกลง ข้าถึงได้ตรวจอาการรักษาให้ท่าน ตอนนี้ถึงท่านจะมาพูดกลับคำ…ท่านอ๋องคิดว่าทำแบบนี้มันดีจริงๆ งั้นหรือขอรับ?”

รอยยิ้มในแววตาของเขาส่องประกาย น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะละอองน้ำอันหนาวเย็นข้างนอกหรือเปล่า เพราะสีหน้าท่าทางนั้นมันทำให้คนที่มองรู้สึกหนาวเสียวสันหลังวาบเหลือเกิน

“เรื่องที่เมืองฉู่เมื่อครั้งก่อน…” ฉู่อี้เจี่ยนสูดหายใจเข้าลึก ถึงค่อยได้พูดออกมาอย่างสงบนิ่ง

“ตอนนั้นข้าเป็นคนบุกเข้าไปเอง มันไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย!” เหยียนหลิงจวินไม่ปล่อยให้เขาพูดจบก็พูดแทรกขึ้นในทันที ทั้งยังลืมตามองเขาพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการคำอธิบายของท่านหรอก และท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายด้วย มันเป็นคนละเรื่องกัน!”

“เพียงเพราะฉู่สวินหยางเท่านั้นเหรอ?” ฉู่อี้เจี่ยนสบสายตาอันมืดมนของเขา พ่นลมหัวเราะหึเย็นชาออกมา

เหยียนหลิงจวินยิ้ม นั่นก็หมายความว่ายอมรับ จากนั้นก็เบนสายตาไปมองที่อื่น

ฉู่อี้เจี่ยนมองสีหน้าอารมณ์สงบนิ่งของเขา ทว่าจู่ๆ ตอนนั้นเขาก็รู้สึกสับสนขึ้นมา…

คนคนนี้เคยมอบความหวังเดียวในความสิ้นหวังนี้ให้กับเขา

แต่ตอนนี้เมื่อเขายืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง คนคนนั้นกลับทิ่มแทงทำร้ายเขาอย่างไม่ไว้หน้า

คนที่เขาเคยคิดว่าเป็นผู้ช่วยชีวิต ความหวังที่เขาเคยมี พังทลายลงไปเพราะฉู่สวินหยางคนเดียว

ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ความรู้สึกที่เหยียนหลิงจวินมีต่อฉู่สวินหยาง แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะทำถึงขั้นนี้

หลังจากเกิดเรื่องที่เมืองฉู่ตอนนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี แต่ตอนนี้…

สถานการณ์มันย่ำแย่กว่าที่เขาคิดไว้มากนัก

ด้านนอกฝนตกมาทั้งคืน อากาศทั้งหนาวชื้นทั้งเหนียวเหนอะหนะ ขาทั้งสองข้างรู้สึกราวกับถูกแมลงมีพิษกัดก็ไม่ปาน ทั้งเจ็บชาและคันมากเหลือเกิน

ฉู่อี้เจี่ยนแอบกำหมัดขึ้นแน่น ไม่เผยอารมณ์ใดออกมาทางสีหน้า อดทนอยู่ได้สักพักถึงค่อยเปิดปากพูดอย่างยากลำบากว่า “ข้ายังมีชีวิตอยู่รอดได้อีกนานเท่าไร?”

เสียงพูดของเขาไม่ได้ดัง แต่มันกลับหนักแน่นทุกถ้อยคำ

เหยียนหลิงจวินเล่นหมากในมือ เฉยชาไม่พูดตอบเขา

ฉู่อี้เจี่ยนรออยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบจากเขา ความรู้สึกที่พยายามอดทนไว้แต่เดิมนั่นก็เริ่มควบคุมไม่ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหยียนหลิงจวินในวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่เขามาหาถึงที่นั่นก็เขาทำไปเพราะช่วยไม่ได้ การตอบสนองของอีกฝ่ายเองก็เป็นสิ่งที่เขาคิดเอาไว้

ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อจากออกไป เนื่องด้วยสะบัดเร็วเกินไป จึงทำให้ชายกระโปรงปลิวไสว จนเกิดเสียงได้ยินชัดเจน

เหยียนหลิงจวินยังคงนั่งพิงหมอนอิงอย่างไม่สนใจ ไม่ขยับร่างกายเลยสักนิด

ฉู่อี้เจี่ยนมุ่งหน้าเดินไปที่ประตูด้วยตนเอง แต่สุดท้ายก็ยังปล่อยวางไม่ลง ในขณะที่กำลังจะยกขาก้าวข้ามธรณีประตูไป ก็หยุดชะงักลง แล้วหันหลังกลับมามองไปที่เหยียนหลิงจวินอีกครั้ง แล้วซักถามให้แน่ชัดอีกครั้งว่า “ที่บอกว่าอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน ก็ไม่สามารถร่วมมือกันได้นั้น เจ้าเลยคิดจะแบ่งความสัมพันธ์ให้ชัดเจน เรื่องนั้นข้าไม่มีอะไรจะโต้แย้ง แต่ว่ายังมีอีกเรื่องที่ข้าอยากถามเจ้าให้มั่นใจ เจ้าทำกับข้าแบบนี้เพราะฉู่สวินหยาง หรือว่าเจ้าไม่ได้คิดที่จะ…”

ฉู่อี้เจี่ยนพูดไปได้ครึ่งเดียวก็หยุดชะงักลง ถือโอกาสใช้แขนเสื้อบังขาเอาไว้แล้วลูบขาขวาที่เจ็บชาจนแทบจะไร้ความรู้สึกนั่น

จากนั้นไม่นานใบหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไม่คิดจะรักษาข้าให้หายตั้งแต่แรกใช่หรือไม่?”

เหยียนหลิงจวินกับเฉินเกิงเหนียนจบมาจากสำนักเดียวกัน ถึงแม้เฉินเกิงเหนียนจะไม่สนใจเรื่องการใช้ยาพิษ แต่คำพูดที่เขาพูดหลังจากตรวจอาการให้ตนตอนนั้น ฉู่อี้เจี่ยนจำมันได้อย่างแม่นยำ…

เขาบอกว่าร่างกายของฉู่อี้เจี่ยนได้รับพิษ ทั้งยังแทรกซึมเข้ากระดูกไปแล้ว จากนั้นพิษนั่นก็กัดเซาะจากด้านในลามออกมาถึงด้านนอก อาการแบบนี้มันไม่มีทางรักษาให้หายได้

นั่นก็เป็นเพราะเขาละโมบโลภมาก ถึงได้เชื่อคำพูดของเหยียนหลิงจวินได้ง่ายๆ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้เขารักษา…

เมื่อตอนนี้กลับมาคิดถึงค่อยเข้าใจกระจ่างถ่องแท้

ที่บอกว่าใช้พิษถอนพิษนั่น ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับผิดชอบก็เป็นตัวเขาเองนั่นแล

“มาพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้มันจะมีความหมายอะไร?” เหยียนหลิงจวินถามกลับอย่างคลุมเครือ

ความโมโหโกรธแค้นในแววตาของฉู่อี้เจี่ยนยิ่งมากขึ้นมากกว่าเดิม เขากำหมัดแน่น จ้องมองใบหน้าเย็นชาแต่กลับโดดเด่นจนแยงตาอยู่นานสองนาน กัดฟันกรอดพูดออกมาอย่างโมโห “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะพังพินาศไปพร้อมกันหรืออย่างไร?”

“หากท่าต้องการ ข้าก็ยินดี!” เหยียนหลิงจวินกล่าวอย่างไม่สนใจ

“จะมากน้อยอย่างไรข้าก็ยังพอรู้จักนิสัยของฉู่สวินหยางอยู่บ้าง ถึงแม้เจ้าจะไม่สนใจไยดีกับเรื่องอื่น แต่หากนางบอกให้เจ้าใช้วิธีสกปรกเยี่ยงนี้ ใช้จิตใจเจ้าเล่ห์มาวางแผนการเช่นนี้…” ฉู่อี้เจี่ยนพูดเหมือนมีเรื่องสนุกให้ดูชม หัวเราะเยาะเย้ยออกมา “ถึงแม้เจ้าจะทำทุกอย่างไปเพื่อนาง แต่เหยียนหลิงจวิน คนที่ทำได้ทุกวิถีทางอย่างไม่สนความดีความชอบอย่างเจ้า เจ้ามั่นใจได้จริงๆ เหรอว่านางจะยังรู้สึกกับเจ้าเหมือนที่ผ่านมา? ไม่คิดว่านางจะหวาดกลัวจนปลีกตัวห่างออกจากเจ้างั้นหรือ? ข้าไม่ได้คิดจะพูดถากถางหรอกนะ แต่เท่าที่ข้ารู้มา…”

ฉู่อี้เจี่ยนพูดพลางแววตาก็มืดมนลงไปเล็กน้อย “นางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับฉู่ฉีเฟิงมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด เกรงว่าเจ้าเองก็ยังสู้เขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! เมื่อหยิบเอาความจริงอันน่าจะยากจะหยั่งรู้ออกมาพูดแบบนี้ เจ้าไม่กลัวว่าสถานการณ์มันจะพลิกจนทำให้ไม่อาจถอยหลังกลับได้หรืออย่างไร?”

“เดิมทีข้าก็ไม่ได้เป็นหมอนักบุญใจดีที่ช่วยเหลือคนอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว” เหยียนหลิงจวินยิ้มเงยหน้านอนลงบนเตียง ริมฝีปากของเขาขยับขึ้นยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม ดีดนิ้วหนึ่งที ปล่อยให้หมากในมือกระเด็นออกไป ตกลงไปในบ่อน้ำนั่น

ฉู่อี้เจี่ยนหันไปมองตามหมากตัวนั้นจนเผลอเหม่อลอย

ภายในห้อง เหยียนหลิงจวินยังคงยิ้มเริงร่า

รอยยิ้มของเขายังคงเป็นเหมือนเดิม ขอเพียงเขายินยอม เขาก็สามารถเผยให้เห็นได้ตลอดเวลา

“อย่าเอาบรรทัดฐานของนักบุญใจดีมาชี้วัดตัวข้าเลย มือของข้า…มันไม่เคยใสสะอาดมาตั้งแต่แรกแล้ว!” เหยียนหลิงจวินกล่าวพลางแววตาก็เผยให้เห็นความรู้สึกเยาะเย้ยขึ้นมา

ใบหน้ายังคงเป็นเหมือนเดิม ถึงขนาดรอยยิ้มก็ยังโค้งเหมือนเดิมไร้ซึ่งความผิดปกติ

แต่ตอนนี้เมื่อมองหน้าเขา ฉู่อี้เจี่ยนกลับรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า

ถึงแม้เขาจะรู้ว่าชายหนุ่มที่ยิ้มแย้มคนนี้จะมีความจริงที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลัง แต่ท่าทางเย็นชาชั่วร้ายแบบนั้น มันก็ทำให้คนรู้สึกตกใจไม่เบาเหมือนกัน

สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางอันสง่างามและใบหน้าอันหล่อเหลาของคนคนนี้ มันคือความรู้สึกแบบใดกันแน่?

ฉู่สวินหยางเคยเห็นเหยียนหลิงจวินที่เป็นแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า?

ไม่กลัวว่าคนคนนั้นจะเจ้าเล่ห์จอมแผนการแค่ไหน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่ไม่มีวันรู้จักตัวตนที่แท้จริง ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ต่างหาก

จู่ๆ ความคิดนั้นก็แล่นเข้ามาในหัวแล้วก็มลายหายไป

ฉู่อี้เจี่ยนตั้งสติให้มั่นแล้วสาวเท้ายาวก้าวเดินออกไป

เขารีบเดินออกไปอย่างรีบร้อน ถึงขนาดเหยียบย่ำเดินผ่านไปโดยไม่สนใจหลบหลีกแอ่งน้ำขังบนพื้นเลยสักนิด