เหยียนหลิงจวินนอนอยู่บนเตียง ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม แสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านหน้าต่างทอดลงใบหน้าของเขา รอยยิ้มนั้นยังคงสดใสเหมือนที่ผ่านมา
ฉู่อี้เจี่ยนปลีกตัวออกมาจากห้องของเหยียนหลิงจวิน จากนั้นก็เดินปลิวออกจากจวนเฉินไปอย่างว่องไวราวกับสายลม
ฉู่ซินลุ่ยยืนอยู่ตรงหัวตรอกถนนอีกฝั่ง มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของเขาเดิมมุ่งตรงเข้ามา จู่ๆ ในแววตาของนางก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวตกใจขึ้น
แทบไม่ต้องคิดให้มากความ นางรีบถลกกระโปรงแล้วเดินตรงไปยังประตูจวนเฉินอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้นเองข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ก็กำลังเตรียมจะปิดประตูลง เมื่อเห็นหญิงสาวแปลกหน้าในชุดเสื้อผ้าหรูหราปรากฏตัวขึ้นก็ตกใจชะงักไป พลางเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านหญิงผู้นี้ ท่านคือ…”
“ข้า…” ฉู่ซินรุ่ยจิตใจกระวนกระวาย เดิมทีอยากบุกเข้าไปด้านใน แต่เมื่อได้ยินเสียงของเขา ถึงได้เหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน นึกถึงสถานะตัวตนของตัวเองได้ขึ้นมา
“ข้าคือท่านหญิงฉางหนิงจากจวนอ๋องรุ่ยซิน ข้าต้องการขอพบใต้เท้าเหยียนหลิง!” นางสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติให้มั่นแล้วถึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างใจเย็น
ข้ารับใช้ผู้นั้นเห็นท่าทางของนางก็หยุดลังเลไปชั่วขณะ แล้วพูดขึ้นว่า “รบกวนท่านหญิงรอสักครู่นะขอรับ ข้าน้อยขออนุญาตไปแจ้งข่าวให้ด้านในทราบก่อน”
ฉู่ซินรุ่ยพยักหน้า
ข้ารับใช้คนนั้นจึงรีบหันหลังวิ่งเข้าไปด้านใน
ฉู่ซินรุ่ยยืนรออยู่ด้านนอกประตู มองไปยังการประดับตกแต่งบนผนังที่เรียบง่ายของจวนเฉินแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกสับสนวุ่นวายใจขึ้นมา
ตั้งแต่คืนเมื่อวันก่อน นางก็เริ่มรู้สึกสังเกตเห็นว่าฉู่อี้เจี่ยนผิดปกติไปจากเดิม
ตอนแรกนางคิดว่าเขาโมโหที่นางตัดสินใจทำไปโดยพลการ เลยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่ภายหลังพอนางรู้อย่างไม่ตั้งใจว่า เขาไม่ไม่ได้งานเลี้ยงในวังเมื่อคืนก่อนก็เพื่อมาพบเหยียนหลิงจวิน…
วินาทีนั้นจู่ๆ ก็เริ่มมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่เรื่องที่เมืองฉู่ ก็ถือได้ว่าเหยียนหลิงจวินแตกหักกับจวนอ๋องรุ่ยชินของพวกเขาแล้ว แค่ฉู่อี้เจี่ยนมาหาเหยียนหลิงจวินแบบนี้มันก็น่าสงสัยมากพออยู่แล้ว แถมยังไม่ไปงานเลี้ยงเพราะเรื่องแบนนี้อีก
เพราะงั้นตอนที่ฉู่อี้เจี่ยนออกจากจวนวันนี้ นางถึงได้แอบตามหลังเขามา
ทว่ากลับคิดไม่ถึงเลยว่า…
พี่ชายของตนจะมาหาเหยียนหลิงจวิน
เวลานี้แบบนี้ เขามาหาเหยียนหลิงจวินทำไม? อีกอย่างทำไมตอนออกมาจากที่นั่น ยังดูลุกลี้ลุกลนแบบนั้น?
ในใจของฉู่ซินรุ่ยสับสนวุ่นวาย กำผ้าเช็ดหน้าแน่นยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูจนเหม่อลอย
ขนาดของจวนนี้ไม่ใหญ่มากนัก ข้ารับใช้ผู้นั้นวิ่งเข้าไปได้ไม่ทันไรก็รีบวิ่งกลับออกมา พลางกล่าวขอโทษขอโพยนาง “ขอโทษด้วยขอรับท่านหญิง ใต้เท้าเหยียนหลิงบอกว่าวันนี้ไม่รับแขก ขอเชิญท่านกลับไปเถอะขอรับ!”
ฉู่ซินรุ่ยขมวดคิ้วมองไปยังแผ่นป้ายอันคร่ำครึบนประตูจวนเฉิน ไม่รู้เหมือนกันว่านางคิดอะไรอยู่
นางไม่ยอมกลับไป ข้ารับใช้ผู้นั้นก็ไม่กล้าปิดประตู ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน กลัวว่าฉู่ซินรุ่ยดึงดันจะขอเข้าพบให้ได้
ฉู่ซินรุ่ยยังยืนนิ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ตรงหน้าประตูตรงนั้นไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
สุดท้ายในตอนที่ข้ารับใช้คนนั้นกำลังจะทนไม่ไหวแล้วตอนนั้น จู่ๆ นางก็เดินหันหลังออกไปอย่างเหม่อลอย
ข้ารับใช้คนนั้นจ้องมองแผ่นหลังของนาง พลางปิดประตูลงอย่างฉงนงุนงง จากนั้นก็หันหลังกลับไปแจ้งข่าวให้
เหยียนหลิงจวินทราบ
ในขณะเดียวกันตอนนั้นเหยียนหลิงจวินก็ทานอาหารเสร็จแล้ว กำลังใช้ผ้าเปียกเช็ดมือ ได้ยินคำบอกเล่าจากเขาก็โพล่งหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ท่านหญิงฉางหนิงผู้นี้ก็ชอบทำให้คนอื่นรู้สึกแย่อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยจังเลยนะเนี่ย!”
พูดจบก็โยนผ้าเช็ดมือผืนนั้นลงไปในอ่างล้างหน้า แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอนไปพักผ่อน
ปล่อยให้ข้ารับใช้ผู้นั้นยืนอึ้งมึนงงอยู่ตรงนั้นอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว จากนั้นถึงค่อยช่วยเขาเก็บกวาดอาหารที่ทานเหลือไว้บนโต๊ะออกไป
หลังจากที่ฉู่อี้เจี่ยนกลับออกไปจากจวนเฉินแล้วก็ไม่ได้มีเรื่องราวพิเศษอะไรเกิดขึ้นอีก มีก็แต่เมื่อครู่เกิดเรื่องขึ้นในพระราชวัง ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกหวาดกลัว บรรยากาศภายในเมืองหลวงก็เลยอึมครึมพอสมควร ทุกครัวเรือนต่างปิดประตูลงกลอนแน่นหนา ขนาดคนรู้จักพูดคุยกันแท้ๆ ยังพยายามพูดเสียงเบา
ทั้งเมืองหลวงดูเหมือนจะสงบสุข ทว่าแท้จริงแล้วกลับมีมรสุมกำลังขับเคลื่อนเข้ามา
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น เหยียนหลิงจวินตื่นนอนขึ้นมาในช่วงยามห้า[1]ของวัน เมื่อเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยเพื่อไปเข้าวัง
คนจากในวังที่มาต้อนรับวันนี้ยังคงเป็นเย่าสุ่ยเหมือนเดิม
เมื่อเห็นเขามา สีหน้าของเย่าสุ่ยก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย เดินหน้าเข้าไปทำความเคารพแล้วพูดว่า
“ใต้เท้าเหยียนหลิง ขอโทษด้วยขอรับที่ไม่ได้บอกท่านไว้ก่อน เห็นนายท่านบอกว่าช่วงนี้ท่านร่างกายไม่ค่อยสบาย ให้ท่านพักผ่อนได้อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องตรวจอาการเจ็บป่วยให้ฮ่องเต้เรื่องนั้น…ข้าน้อยได้สั่งให้คนไปเชิญท่านหมออาวุโสเฉินไปทำธุระนั้นแทนให้เรียบร้อยแล้วขอรับ!”
“งั้นรึ?” เหยียนหลิงจวินยิ้ม ทว่าในใจของเขากลับรู้ดี นี่ไม่มีทางเป็นฝีมือของหลี่รุ่ยเสียงแน่นอน แต่น่าจะเป็นความต้องการขององครักษ์เงาพวกนั้นมากกว่า
เมื่อวานเขาเพิ่งออกมาจากวัง สองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนกับฉู่ซินรุ่ยก็มาหาเขาถึงบ้าน แต่ตอนสุดท้ายไม่รู้ว่าฉู่ซินรุ่ยนึกครึ้มอะไร ถึงได้ยืนอยู่หน้าประตูบ้านเขาราวกับมีคิดเรื่องอะไรอยู่นานสองนาน…
เย่าสุ่ยเห็นสีหน้าของเขาปกติดี ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรถึงค่อยโล่งอก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉินเกิงเหนียนพร้อมด้วยลูกศิษย์เดินออกมาจากในเรือนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดเลยว่าอารมณ์เสียเพราะถูกขัดจังหวะในขณะที่กำลังนอนหลับฝันหวาน
เฉินเกิงเหนียนอายุเยอะแล้ว นิสัยอารมณ์เองก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
เย่าสุ่ยเห็นดังนั้นก็หวาดกลัวตกใจ พลางหันไปปราดตามององครักษ์เงาที่ปลอมตัวเป็นองครักษ์ธรรมดาสองคนนั้น
เฉินเกิงเหนียนเดินลูบเคราเข้ามา แล้วถลึงตามองเหยียนหลิงจวินอย่างโหดเหี้ยมพูดกับเขาว่า “รู้ว่าข้าต้องเข้าวังทำไมไม่บอกข้าก่อน จนทำให้ธุระของฮ่องเต้ล่าช้าไปแบบนี้ เจ้ารับผิดชอบหรือไง?”
เย่าสุ่ยได้ยินดังนั้นในที่สุดก็วางใจลง
เหยียนหลิงจวินยิ้มส่งพวกเขา เมื่อรถม้าเลี้ยวออกจากตรอกไปแล้ว เขาถึงค่อยหันหลังเดินหน้ากลับเข้าไปในจวน
จากคำพูดของเย่าสุ่ย สามารถวิเคราะห์ได้ว่าฮ่องเต้คงไม่ได้ฟื้นขึ้นมา จากนั้นเขาก็เข้าเรือนไป โดยที่ไม่เอาเรื่องนั้นเก็บมาคิดเลยสักนิด
ส่วนทางด้านในวัง พวกเขาก็ไม่ได้ป่าวประกาศว่าฮ่องเต้ประชวร จึงเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถออกว่าราชการตอนเช้าได้ หลี่รุ่ยเสียงเป็นคนเดินทางไปหาฉู่อี้อันและองค์ชายคนอื่นๆ เชิญพวกเขาไปยังอุทยานหลวง สถานที่เกิดเหตุเมื่อคืนวันก่อนด้วยตนเอง
ขุนนางแห่งสำนักหอดูดาวหลวงหยางเฉินกังตามมาภายหลัง เมื่อคำนวณวิเคราะห์ออกมาได้แล้ว ก็บอกว่าสถานที่แห่งนี้เปรอะเปื้อนคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ซึ่งจะไม่เป็นมงคลต่อตระกูลฉู่ขององค์ฮ่องเต้ จำเป็นต้องเชิญ
พระอาจารย์มาทำพิธีเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อชะล้างความอัปมงคลนี้ไป
ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในรถได้ยินดังนั้น จึงมีพระราชโองการให้หยุดทั้งสิ้นเป็นเวลาเจ็ดวัน จากนั้นก็เชิญพระอาจารย์จากวัดฮู่กั๋วเข้ามาทำพิธี
ฮ่องเต้นั่งคุมประจำอยู่วังหลัง ส่วนเรื่องว่าราชการทางด้านวังหน้าก็ปล่อยให้ฉู่อี้อันรับผิดชอบไป
ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คนส่วนใหญ่ต่างเชื่อและเคารพในการมีอยู่ของเทพเจ้าปีศาจ และก็รู้ว่าฮ่องเต้เป็นคนประจำการอยู่ที่สำนักหอดูดาวหลวงด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นนอกจากฉู่สวินหยางแอบสืบรู้ความจริงจากเหยียนหลิงจวินมาได้แล้ว ข่าวเรื่องฮ่องเต้สลบไสลไม่ได้สติก็ถูกปิดเก็บเป็นความลับอย่างแน่นหนา
ฉู่อี้อันเองก็ไม่พูดถึงป่าวประกาศความลับนั้นออกไป ทำเป็นไม่รู้เรื่อง พยายามแสดงบทบาทเป็นองค์รัชทายาทออกมาให้ดีที่สุด
สถานการณ์ภายในเมืองหลวงสงบสุข ไม่มีเรื่องวุ่นวายใดเลยสักนิด มีก็แต่งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์วันที่สองช่วงบ่าย องค์ชายเจี่ยนแห่งจวนรุ่ยชินอ๋องไม่สบายเพราะอากาศหนาวเย็น พอเขาเจ็บไข้ได้ป่วยไปก็เหมือนกับภูเขาพังทลายลง กลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงลุกไปไหนไม่ได้เสียอย่างนั้น
ฉู่อี้เจี่ยนเจ็บป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหัน นอนสลบไปสองวันสองคืนกว่าจะฟื้นขึ้นมา
ฉู่ซินรุ่ยนั่งเฝ้าเขาอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ในที่สุดเขาก็ลืมตาฟื้นขึ้นมาในตอนกลางคืน นางดีใจอย่างสุดซึ้งรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาแล้วกล่าวอย่างประทับใจว่า “พี่ห้า ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว”
ฉู่อี้เจี่ยนเอนตัวนอนอยู่บนเตียง เผยสีหน้าสับสนมึนงงอยู่นานสองนาน นอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งปะติดปะต่อเรื่องราวความทรงจำที่มีเข้าได้อีกครั้ง ถึงค่อยเอ่ยถามออกมาอย่างยากลำบากว่า “ข้าสลบไปนานเท่าไร?”
“สองวันแล้วเจ้าค่ะ!” ฉู่ซินรุ่ยกล่าว เมื่อเห็นเขาลุกขึ้นมาก็รีบเข้าไปช่วยประคอง พลางหันไปสั่งฮวนเกอว่า “ไปบอกให้ทางห้องครัวเตรียมสำรับอาหารเย็นเสีย บอกว่าพี่ห้าฟื้นแล้ว ให้พวกเขาทำอาหารที่รสไม่จัดมาให้เขากิน”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ฮวนเกอรับคำสั่ง
ฉู่อี้เจี่ยนลุกขึ้นมานั่งพิงหมอนภายใต้การช่วยเหลือของนาง มือของเขาลูบจับอยู่บนขาสองข้างที่อยู่ใต้ผ้าห่มนั้น สีหน้ายังคงซีดเซียวอยู่พอสมควร…
ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน เพื่อจะยืนหยัดขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนแรกที่เขาเสียขาทั้งสองข้างไปแล้วต้องหัดเดินใหม่ตอนนั้นเลย เขาต้องเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน ขนาดสามารถกลับมาเดินเหินได้แล้ว เขายังต้องแบกรับความเจ็บปวดอยู่ทุกครั้งที่ก้าวเดิน
เขาไม่ได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง มีแค่เหยียนหลิงจวินคนเดียวเท่านั้นที่รู้
เนื่องด้วยพิษร้ายได้เข้าไปกัดกร่อนกระดูกของเขา ตอนแรกเหยียนหลิงจวินก็ได้แจ้งแล้วว่า เขาสามารถรักษาตนให้กลับลุกมาขึ้นมายืนได้อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันตัวเขาเองก็ต้องเตรียมใจยอมรับกับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นด้วย
ตอนนั้นเขาคิดเพียงแค่ว่าอย่างที่เลวร้ายที่สุดก็แค่อาการทรุดหนัก กลับไปอัมพาตอีกครั้งก็เท่านั้น
แต่สุดท้ายเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า…
การที่หลับไปสองวัน มันกลับเหมือนว่าได้เกิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง
ฉู่อี้เจี่ยนขยับปากขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มขมขื่นออกมา
ฉู่ซินรุ่ยยังคงนั่งจ้องมองทุกกิริยาท่าทางของเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นเขาทำหน้าแบบนั้น นางก็ตกใจพลางเอ่ยถามด้วยใบหน้าซีดขาว “ท่านพี่เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? วันก่อนท่านหมอมาตรวจอาการ เขาบอกว่าท่านพี่กังวลคิดมากเกินไป ทั้งยังถูกกระตุ้นกดดันเลยทำให้ร่างกายรับไม่ไหวจนเจ็บป่วยขึ้นมา วันนั้นท่านไปที่จวนเฉิน…ท่านได้คุยกับอะไร
เหยียนหลิงจวินหรือเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว ดึงสติกลับมา ใบหน้าค่อยๆ กลับมานิ่งสงบเหมือนปกติ แล้วเอ่ยถามนางว่า “สองวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวังรึ? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ฉู่ซินรุ่ยกล่าวจากนั้นก็พลันทำหน้าจริงจังขึ้นมา “ทางสำนักดูดาวหลวงบอกว่าเกิดเหตุฆ่าฟันกันที่อุทยานหลวง ทำให้สถานที่นั้นเป็นที่อัปมงคล ฮ่องเต้จึงมีพระราชโองการให้หยุดทั้งสิ้นเป็นเวลาเจ็ดวัน ช่วงหลายวันมานี้ก็ได้เชิญพระอาจารย์จากวัดฮู่กั๋วเข้ามาทำพิธีขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในวังด้วยเจ้าค่ะ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วเจ้าค่ะ!”
“งั้นรึ?” ฉู่อี้เจี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติจึงเอ่ยถามต่อว่า “แล้วพวกองครักษ์เงาล่ะ?”
“ยังจับตามองพวกเขาอยู่เจ้าค่ะ!” ฉู่ซินรุ่ยกล่าว “สองวันนี้บริเวณรอบข้างของจวนเฉินมีทหารเฝ้ายามหนาแน่น
ดูท่าฮ่องเต้คงนึกสงสัยพวกเขาขึ้นมาอีกแล้ว”
นางพูดพลางก็กระตุกมุมปาก ก้มเล่นผ้าเช็ดหน้าในมือ
ตอนแรกฉู่อี้เจี่ยนไม่คิดอะไรมาก แต่ภายหลังเห็นนางพยายามทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงเผลอทำหน้าบึ้งขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าหรือเปล่า?”
เดิมทีฉู่ซินรุ่ยก็ก้มศีรษะคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อได้ยินเขาพูดเข้าก็ตกใจขึ้นมา เงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าตกตะลึง
ฉู่อี้เจี่ยนไม่ได้ซักไซ้ เขาเพียงแต่จ้องมองนางอยู่เงียบๆ
———————————————-
[1] ยามห้าม หรือเวลาช่วง 03:01 – 05:00 น.