พวกเขาสองพี่น้องสนิทกันมาก เข้าใจรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดียิ่งกว่าอะไร ฉู่ซินรุ่ยเห็นเขาจ้องเขม็งแบบนั้น ก็เริ่มรู้สึกกดดันขึ้นมา
สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเลยลุกขึ้นยืนเดินไปอยู่ข้างๆ หลบออกจากสายตาฉู่อี้เจี่ยนแล้วถึงค่อยพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า
“การที่ฉู่เป้ยสงสัยเขา มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่กับเรา ก่อนที่พวกเรากับวังบูรพาจะต่อกรกันซึ่งๆ หน้า จำกัดเขาไม่ให้ก้าวก่ายไปมากกว่านี้ ย่อมเป็นผลดีกับเราอยู่แล้ว ข้ารู้ว่าพี่ห้าซาบซึ้งที่เขาเคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ท่านไม่มีทางเลือกแล้ว ในเขาเลือกที่จะอยู่ฝั่งเดียวกับวังบูรพา ปัญหาแบบนี้…หากไม่ตัดขาดความสัมพันธ์ในตอนนี้แล้ว ย่อมเกิดความวุ่นวายตามมาภายหลังแน่นอน!”
นางพูดประโยคนั้นออกมาด้วยท่าทางธรรมชาติและใจเย็นเป็นอย่างมาก
ถึงฉู่อี้เจี่ยนไม่เห็นสีหน้าอารมณ์ที่แท้จริงบนใบหน้านาง เขาก็พอเข้าใจอยู่แล้ว
เขาเลิกผ้าห่มออกมานั่งอยู่ที่ขอบเตียง ก้มควานหารองเท้าขึ้นมาสวมใส่ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “รุ่ยรุ่ย พูดตามตรงนะ ไม่ใช่ว่าพี่ห้าของเจ้ากังวลหรอก แต่เจ้าต่างหากล่ะที่ยังคงปล่อยวางไม่ลง!”
ฉู่ซินรุ่ยได้ยินดังนั้นเข้าก็ตกใจชะงักไป
หน้าของนางพลันแข็งทื่อ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นปกติอย่างว่องไว ถึงค่อยยิ้มเงยหน้าพูดขึ้น “พี่ห้า…”
นางรีบจะพูดอธิบาย ทว่าฉู่อี้เจี่ยนกลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้ปริปาก เขาลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้าจ้องสบสายตากับนาง แล้วพูดว่า “เรื่องบางเรื่องมันก็บังคับไม่ได้หรอกนะ เจ้าเป็นคนที่ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ต้องการความสมบูรณ์แบบ เอาแต่ดึงดันจะทำมันให้ได้ เรื่องนี้พี่ห้ารู้ดี แต่เรื่องบางเรื่องเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเราก็ควรหยุด อย่าปล่อยให้ตัวเองเดินอ้อมจนเสียเวลา”
ฉู่ซินรุ่ยคิดมาตลอดว่าตนแอบซ่อนความรู้สึกได้เป็นอย่างดี กลับคิดไม่ถึงว่าพี่ชายของตนนั้นเข้าใจนางดียิ่งกว่าอะไร มองปราดเดียวก็เห็นถึงไส้ถึงพุงของนางหมดแล้ว
“พี่ห้า ท่านเข้าใจผิดแล้ว…” นางพยายามหันหนีไปอีกฝั่ง
“ข้าเข้าใจผิดงั้นรึ?” ฉู่อี้เจี่ยนถามกลับ ทว่าเขากลับไม่รอให้นางตอบ พูดเบี่ยงประเด็นขึ้นอย่างเย็นชาต่อทันที “หากข้าเข้าใจผิดงั้นมันก็คงเป็นเรื่องดียิ่งกว่าอะไร อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ก็ใกล้จะถึงจุดจบแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ข้าก็จะช่วยเจ้าล้างภัยอันตรายที่แฝงอยู่ส่วนนี้้ิเอง”
ฉู่ซินรุ่ยได้ยินประโยคครึ่งแรกของเขา เดิมทีนางรู้สึกตื่นเต้น แต่เมื่อได้ยินประโยคหลังที่ตามมานางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจหวาดกลัว
นางเงยหน้ามองฉู่อี้เจี่ยนอย่างฉับพลัน จากนั้นถึงค่อยรู้สึกตัวว่าตัวเองมีปฏิกิริยาตกใจตื่นเต้นเกินควร จึงรีบเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “หรือว่าพี่ห้าไม่เคยคิดเลยงั้นหรือเจ้าคะ? ท่านวางแผนมาตั้งหลายปี เรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ถึงจะถูก!”
แววตาของฉู่อี้เจี่ยนส่องประกายเล็กน้อย จ้องมองนางหน้านิ่ง “เจ้ากลัวงั้นรึ?”
“ข้า…ไม่ได้กลัวสักหน่อย!” ฉู่ซินรุ่ยกล่าวพลางเผยรอยยิ้มออกมา ทว่าอย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ออกมาจากใจจริงเลยสักนิด
ที่นางบอกว่าตนไม่กลัวนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องใหญ่ขนาดนี้หากล้มเหลวขึ้นมา นั่นก็เท่ากับว่าต้องสิ้นชีพเนื้อตัวแหลกลานเลยทีเดียว
ฉู่อี้เจี่ยนเองก็ไม่ได้จี้นางต่ออีก ฮวนเกอเองก็พาข้ารับใช้คนอื่นถือสำรับอาหารเย็นเข้ามาพอดี เขาก็เลยหยุดเงียบไม่พูดอะไรต่ออีก จากนั้นก็มานั่งทานอาหารด้วยกันกับฉู่ซินรุ่ย
ฉู่อี้เจี่ยนกินไปได้แค่หน่อยเดียวก็ไปห้องหนังสือ โดยไม่สนใจฟังคำเกลี้ยกล่อมของฉู่ซินรุ่ย
ฉู่ซินรุ่ยจึงเดินเล่นอยู่ในเรือน
ในขณะเดียวกันตอนนั้นฟ้าก็มืดครื้มแล้ว นางหันไปมองแผ่นหลังที่อยู่ในบานหน้าต่างของหนังสือนั้นอย่างเป็นห่วงกังวล คิ้วบนใบหน้าขมวดเป็นปมไม่ผ่อนคลาย
ก่อนหน้านี้ชิงเกอคอยอยู่ข้างกายนางมาตลอด ได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาสองพี่น้องชัดเจนทุกถ้อยคำ เมื่อเห็นนางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะพูดปลอบ “ท่านหญิงเจ้าคะ ที่ท่านอ๋องพูดไปก็เพื่อประโยชน์ของพวกเราทุกคนเอง ท่านอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องที่ท่านอ๋องถูกท่านหญิงฉู่สวินหยางวางแผนใส่เรื่องนี้เรื่องเดียว เขาก็ไม่มีนิ่งนอนใจปล่อยไปโดยไม่ทำอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ!”
“ก็เพราะแบบนั้นนั่นแหละข้าถึงได้เป็นห่วง!” ฉู่ซินรุ่ยกล่าวพลางเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยตัวเองออกมา “ด้วยนิสัยของพี่ห้าที่เป็นคนแยกแยะบุญคุณและแค้นได้อย่างชัดเจนอย่างเขา เรื่องอื่นยังพอว่า แต่เรื่องคุณงามความดีที่เหยียนหลิงจวินเคยมีต่อเขานั้น หากเขาคิดสำนึกในบุญคุณนั้นขึ้นมา มันก็…”
“จะเป็นไปอย่างไร?” ข้ารับใช้สองคนหันมองหน้ากัน “ความแค้นที่ท่านอ๋องมีมากเสียยิ่งกว่าอะไร ท่านอ๋องไม่มีทาง…”
ฉู่ซิ่นตายในน้ำมือของฉู่สวินหยาง บวกกับความแค้นที่ถูกฆ่าล้างโคตรเหง้าตระกูลเมื่อหลายปีก่อนเข้าด้วยแล้ว นั่นก็เรียกได้ว่าแค้นยิ่งกว่าแค้น ฉู่อี้เจี่ยนจะยอมทิ้งมันไปกลางคันง่ายๆ แบบนี้ได้เยี่ยงไร
ฉู่ซินรุ่ยหันไปปรายตามองพวกนางสองคนหนึ่งที นางไม่ได้คิดในแง่ดีแบบนั้นหรอก
ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของฉู่อี้เจี่ยน แต่สำหรับนางแค่มองปราดเดียวก็มองเห็นแล้ว
อะไรคือการบอกว่าไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว? เมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดประโยคท้อแท้สิ้นหวังแบบนี้เลยสักนิด
หากจิตใจของฉู่อี้เจี่ยนสั่นคลอนแล้วจะทำอย่างไร?
ถึงแม้จะเป็นแค่ความคิด แต่มันก็ทำให้ฉู่ซินรุ่ยหวาดผวามากเหลือเกิน
“ไปกันเถอะ กลับไปกันก่อน!” ฉู่ซินรุ่ยออกแรงกำผ้าเช็ดมือแน่น แล้วหันหลังเดินออกจากเรือนไป
ส่วนทางด้านในวัง หลี่รุ่ยเสียงและองครักษ์เงาก็ทำงานร่วมกัน ช่วยกันปกปิดข่าวที่ฮ่องเต้สลบไม่ฟื้นไม่ปล่อยให้เล็ดลอดไปแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าในทุกวันตอนกลางคืน ‘ฮ่องเต้’ จะนั่งเกี้ยวไปยังอุทยานหลวงสถานที่ทำพิธีทุกคืน เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าฮ่องเต้สลบไปไม่ฟื้นมาหลายวันแล้ว
ช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นขุนนางในท้องพระโรงหรือจวนอ๋องทุกครัวเรือนต่างก็อยู่กันอย่างสงบสุขดี มีเพียงแค่คนคนเดียวที่ดูจะครึกครื้นกว่าปกติ
ซึ่งคนคนนั้นก็คือ องค์รัชทายาทหนานฮวาเฟิงเหลียนเซิ่งนั่นเอง
ในเมื่อเฟิงซวี่ถือโอกาสในคราวที่บ้านเมืองวุ่นวายหลบหนีไป แน่นอนว่ามันก็ไม่สามารถตามตัวกลับมาได้ง่ายๆ หลี่เหวยและคนของเฟิงอี้เองก็จับตัวพวกทหารองครักษ์ของเขาได้ แต่ทว่ากลับไม่พบตัวเขา จนสุดท้ายก็ทำได้แค่ปล่อยไป
ส่วนในช่วงหลายวันมานี้ เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็เริ่มไปมาหาสู่วังบูรพาอย่างเปิดเผยทุกวัน ไม่เพียงเท่านั้นยังหอบหิ้วของขวัญเพื่อมาสู่ขอนางถึงบ้านเลยด้วยซ้ำ
ตอนที่ชิงเถิงเดินเข้ามาส่งข่าวก็แทบจะร้องไห้อยู่แล้ว กระทืบเท้าอย่างร้อนรนใจ “องค์รัชทายาทหนานฮวาผู้นี้จะเอาอย่างไรกันแน่? รู้ทั้งรู้ว่าท่านหญิงไม่มีทางตอบรับคำขอของเขา ก็ยังมาสู่ขอท่านถึงที่อย่างโหวกเหวกโวยวายแบบนั้นอีก นี่เขาคิดจะทำลายชื่อเสียงของท่านชัดๆ นะเจ้าคะ!”
ในขณะเดียวกันตอนนั้นเองฉู่สวินหยางก็กำลังคลุมเสื้อคลุมเตรียมตัวจะออกจากเรือน เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าบึ้งตึง สั่งการอย่างขอไปทีว่า “ไล่ให้เขาไสหัวกลับไปซะ ข้าไม่แต่ง!”
“เจ้าคะ?” คำพูดเมื่อครู่มันหยาบคายมาก ทำให้ชิงเถิงที่ได้ยินตกใจชะงักจนไม่ทันตั้งตัว
ฉู่สวินหยางผูกเชือกเสื้อคลุมพลางหันมองนางอย่างไม่สบอารมณ์
ตอนนั้นชิงเถิงเองก็ยังไม่ลุกขึ้นมา แถมยังทำหน้าทำตากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดตะกุกตะกักว่า “ท่านหญิง ท่านสบายดีใช่ไหมเจ้าคะ จะว่าอย่างไรเขาคนนั้นก็ยังเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นหนานฮวานะเจ้าคะ ทำแบบนี้…”
เมื่อคำพูดเมื่อครู่เล็ดลอดออกไป นั่นก็เท่ากับว่าพวกเขาตบหน้าราชวงศ์หนานฮวาฉาดใหญ่ต่อหน้าผู้คนเลยทีเดียว
แต่เฟิงเหลียนเซิ่งยื่นหน้าเข้ามารับเอง เขาก็สมควรได้รับมัน หากภายหลังฮ่องเต้รู้เข้า เกรงว่าก็คงลดโทษให้นางมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป
“ข้าไม่ว่างไปสนใจเขาหรอก!” เมื่อพูดถึงคนแบบนั้นแล้วฉู่สวินหยางก็รู้สึกหงุดหงิด นางจัดแจงเสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เหล้ายาของเหยียนหลิงจวินมีสรรพคุณอัศจรรย์ วันก่อนเพิ่งใช้ทาไป วันรุ่งขึ้นอาการบวมก็ลดลงแล้ว จากนั้นก็ทาซ้ำต่ออีกประมาณห้าหกวัน ตอนนี้อาการข้อเท้าพลิกของนางก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่นานเหมือนกับที่เหยียนหลิงจวินบอกว่าจะต้องใช้เวลารักษาเป็นเดือนกว่าจะหาย
คำพูดที่ฉู่สวินหยางเพิ่งบอกไป ไม่ว่าอย่างไรชิงเถิงก็ไม่กล้าปริปากพูดออกไปเป็นแน่ ตอนนั้นนางจึงทำได้แค่วิ่งเหยาะๆ ตามฉู่สวินหยางออกจากเรือนไป
ในขณะนั้นเป็นเวลาช่วงเช้าพอดี ฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงเข้าวังยังไม่กลับมา ฉู่สวินหยางสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเรียบง่ายแล้วมุ่งเดินไปยังประตูใหญ่ มองเห็นเจิงจีกับเฟิงเหลียนเซิ่งคุยกันอยู่ไกลๆ
ฉู่สวินหยางเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลบหนี นางเดินสาวเท้าก้าวยาวเดินเข้าไป
“ท่านหญิง!” เมื่อเจิงจีเห็นนางเข้า สีหน้ากระอักกระอ่วนนั้นก็ยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่าเดิม
เฟิงเหลียนเซิ่งหันหน้ามา เห็นนางเดินเข้ามาอย่างกับสายลม ริมฝีปากของเขายกขึ้นยิ้มเริงร่า “ข้ามาหาท่านตั้งหลายวัน ได้ยินว่าท่านหญิงรักษาอาการป่วยอยู่ ดูท่าวันนี้ท่านหญิงอารมณ์ดี แสดงว่าหายป่วยแล้วสินะ?”
รอยยิ้มของเขามันช่างสบายใจไม่เสแสร้งเลยสักนิด
ฉู่สวินหยางเองก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม ปรายตามองเขาแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณองค์รัชทายาทที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว ทำไมรึ วันนี้องค์รัชทายาทหอบเอาของขวัญมาถึงที่นี่เพราะได้ยินว่าข้าหายดีจากการป่วยหนักแล้ว เลยคิดจะมาขอส่วนบุญขอให้ตัวเองปลอดภัยเช่นกันหรืออย่างไร?”
ระหว่างที่พูดอยู่นางก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าลง เดินผ่านหน้าเฟิงเหลียนเซิ่งไปที่ประตูใหญ่ทันที
ทั้งเจิงจีแและคนอื่นๆ เองก็งุนงงไปกับคำพูดเมื่อครู่นี้
ทว่าสีหน้าของเฟิงเหลียนเซิ่งกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว จากนั้นเขาก็เดินก้าวตามนางไปแล้วพูดไล่หลังอีกฝ่ายไปว่า “งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์วันนั้น บุญคุณที่ท่านหญิงช่วยชีวิตข้าไว้ ข้ายังคงไม่ลืมเลือน หากข้าอยากมอบกายเป็นสิ่งตอบแทนให้ท่าน ไม่ทราบว่าท่านมีความคิดเห็นเช่นไร?”