เขาพูดเสียงดังฟังชัดดังก้องไปทั่ว
เดิมทีที่เขาหอบเอาของขวัญต่างๆ นาๆ รวมถึงพาคนมาถึงจวนนางแบบนี้ คนรอบข้างก็เริ่มสนอกสนใจเข้ามามุงดูอยู่แล้ว ยิ่งทำแบบนี้ซอยหน้าวังบูรพาเองก็ถูกปิดล้อมจนไม่เหลือทางเดิน
เขาตั้งใจทำแบบนี้ชัดๆ
ฉู่สวินหยางรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้หวังดี ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำให้นางดูเสียหน้าในสายตาผู้คนขนาดนี้
ผู้คนที่มุงดูอยู่สองข้างทางเริ่มส่งเสียงซุบซิบกันขึ้นมา
ฉู่สวินหยางหยุดชะงักลง ขาข้างที่ก้าวขึ้นเหยียบกำลังจะขึ้นหลังม้านั้นก็ค้างเติ่งอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน
เฟิงเหลียนเซิ่งในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าวังบูรพาอย่างไม่เกรงกลัว
เดิมทีหน้าตารูปโฉมของเขาก็โดดเด่นอยู่แล้ว ตอนนี้ยังตั้งใจฉีกยิ้มทำให้คนหลงใหลแบบนั้นอีก ภายใต้แสง อาทิตย์ที่สาดส่องลงมา ก็ราวกับว่าเครื่องหน้าของเขาถูกเคลือบไปด้วยทองอร่าม ดูแล้วช่างสูงส่งหล่อเหลาเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเด็กหญิงหรือหญิงสาวตรงนั้นต่างก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเป็นแถบๆ จ้องมองเขาตาค้างอย่างตกตะลึง
เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็ใจกว้างปล่อยให้พวกเขาชื่นชมอย่างง่ายดาย เขาเห็นแผ่นหลังที่แข็งทื่อนั้นของฉู่สวินหยางเข้า ก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก..
ทำให้นางควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่ได้สักครั้งแบบนี้มันไม่ง่ายเลยทีเดียว
ตอนนี้เองเขาก็รู้สึกได้ถึงว่าตนประสบความสำเร็จมากถึงมากที่สุด
ฉู่สวินหยางถือแส้ม้าเอาไว้ในมือ หลับตาลงอย่างโมโหในมุมที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น ทว่าสุดท้ายกลับก็ปีนขึ้นหลังม้าไปด้วยท่าทางคล่องแคล่วโดยไม่แม้แต่หันหลังมอง
เฟิงเหลียนเซิ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางปีนขึ้นหลังมาไปแล้วทอดมองลงมาที่เขา ใบหน้านั้นไร้อารมณ์ พูดอย่างเป็นทางการขึ้นว่า
“องค์รัชทายาทนี่ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริงนะเจ้าคะ ท่านเป็นแขกพิเศษของราชวงศ์และองค์ฮ่องเต้ การที่ทหารองครักษ์ของข้าถวายการอารักขาดูแลท่านนั้นก็เพราะเป็นคำสั่งขององค์ฮ่องเต้ ความดีความชอบนี้ข้าไม่อาจรับไว้คนเดียวได้หรอกเจ้าค่ะ หากท่านต้องการตอบแทนหนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิต ก็เข้าวังไปหาองค์ฮ่องเต้เลยเสียจะดีกว่า!”
พูดจบนางก็บังคับม้าให้กลับหลังหัน กระแอมไออกมาหนึ่งที จากนั้นก็ฟาดแส้ลงม้า มุ่งหน้าเลี้ยวออกไปตรอกด้านขวาทันที
ไปตอบแทนฮ่องเต้งั้นรึ? มอบกายให้ฮ่องเต้งั้นรึ?
ในบรรดาฝูงชนพวกคนที่เข้าใจได้ไวก็เริ่มทำหน้ากรุ้มกริ่มกันขึ้นมาเล็กน้อย
มุมปากที่ยกขึ้นยิ้มบนใบหน้าของเฟิงเหลียนเซิ่งยังไม่ทันหุบลง แววตาของเขาก็พลันเย็นชาขึ้นมา จากนั้นก็หันหลังไปหัวเราะพูดกับเจิงจีว่า “ในเมื่อข้าหอบเอาของขวัญมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยกกลับไป อีกอย่างเองก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้บอกว่าจะสู่ขอท่านหญิงสวินหยางแล้ว เพราะงั้นของพวกนี้ก็ให้พวกท่านแล้วกัน”
“องค์รัชทายาท…” เจิงจีถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ เฟิงเหลียนเซิ่งก็กระตุกยิ้มมุมปากพูดติดสนุกขึ้นว่า “เรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลาให้เจ้ามาตัดสินใจแทนเขาต่อหน้าข้าหรอก”
เมื่อพูดจบเฟิงเหลียนเซิ่งก็เดินลงบันได แล้วปีนขึ้นหลังม้าหันหลังแล้วมุ่งหน้าออกไปยังตรอกด้านขวานั้นเช่นเดียวกัน
สถานภาพของชายผู้นี้พิเศษกว่าใครอื่นนัก เจิงจีเองก็ไม่กล้าทำลามปามไม่ให้ความเคารพกับเขาต่อหน้าผู้คน เมื่อเห็นคนที่เขาพามาก็กลับไปหมดแล้ว จึงทำได้แค่เรียกคนออกมายกกล่องเข้าไปไว้ในเรือนก่อนอย่างช่วยไม่ได้
เฟิงเหลียนเซิ่งเลี้ยวออกจากตรอกมา แต่ไม่ได้กลับไปยังเรือนของเขาหลังนั้นในทันที แต่กลับฟาดแส้เร่งบังคับให้ม้าไล่ตามฉู่สวินหยางไป
ด้วยความที่อยู่ในพระราชฐานชั้นใน ตอนอยู่ในตรอกฉู่สวินหยางเลยบังคับม้าให้วิ่งเร็วพอสมควร แต่เมื่อออกมาถึงถนนแล้ว ก็ต้องลดความเร็วลงค่อยๆ เดินหน้าไป
เมื่อเห็นเฟิงเหลียนเซิ่งในเสื้อผ้าอาภรณ์เต็มยศไล่ตามมาเข้า ฉู่สวินหยางก็ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด หันไปมองตาขวางแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “องค์รัชทายาท ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ทางที่ดีท่านควรจะหยุดแต่เพียงเท่านี้เถิดเจ้าค่ะ!”
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร?” เขารู้ทั้งรู้ว่านางไม่ได้ล้อเล่น แต่เขาก็ยังกลับทำเป็นไม่สนใจ แถมยังยิ้มแล้วจับบังเหียนบังคับม้าให้เดินขึ้นมาขนาบข้างนางอีก แล้วหันไปมองคนรอบด้านตรงนั้นพลางเอ่ยพูดขึ้นว่า “ท่านก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร ในเมื่อพวกท่านไม่ยอมให้ความร่วมมือ งั้นข้าก็ต้องออกแรงพยายามสักหน่อย จะได้จัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ไวขึ้นไง!”
ฉู่สวินหยางเห็นเขาคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายแบบนั้น จู่ๆ ความโมโหที่มีก็พลันหายไปแต่กลับรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน หันไปมองใบหน้าด้านข้างอันสง่างามใบนั้นของเขา แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เดิมทีข้าไม่ได้คิดอยากจะถามหรอกนะเจ้าคะ แต่การที่ท่านมากุข่าวสร้างสถานการณ์จอมปลอมพวกนี้ไม่หยุดหย่อนแบบนี้ พยายามทำให้เขาออกหน้าเพื่อยุติเรื่องนี้ให้สงบ พยายามรั้งเขาให้อยู่ในแคว้นซีเยว่ต่อไปแบบนี้ องค์รัชทายาท…ในมือของเขามีของอะไรที่ทำให้ท่านหวาดกลัว ถึงขนาดที่ทำให้ท่านยอมเสียชื่อเสียงเพื่อบีบบังคับควบคุมเขาให้อยู่ซีเยว่ต่อในฐานะเหยียนหลิงจวินให้ได้งั้นหรือเจ้าคะ?”
เฟิงเหลียนเซิ่งทำดีกับนางหลายต่อหลายครั้ง และช่วงนี้ยังยิ่งแสดงออกมายังเปิดเผยไม่กลัวเกรงด้วย
คนที่ไม่รู้เรื่องจะเข้าใจผิดว่าเขามีใจให้นาง ส่วนเฟิงซวี่คนที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องราวภายในดีกว่าใครก็คิดว่าเขาให้เกียรติฉู่สวินหยาง อยากใช้วิธีแต่งงานเพื่อหยิบยืมอำนาจก็เท่านั้นเอง
ทว่าฉู่สวินหยางกลับรู้ดี ว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีความคิดแบบนั้นเลยสักนิด
ด้วยสถานภาพที่สูงส่งมาตั้งแต่เกิด เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็มีนิสัยถือตนเองเหนือกว่าผู้อื่นเช่นเดียวกัน รู้ทั้งรู้ว่านางกับเขานั้นเทียบกันไม่ติด ถึงจะแต่งงานกันไปจริงๆ ก็ใช่ว่าจะสามารถช่วยเขาได้ เพราะเขาบ้าไปแล้วต่างหากถึงได้บุกเข้าหาไม่หยุดแบบนั้น
การที่เขาเข้ามาทำดีกับนางอย่างเปิดเผยแบบนี้หลายต่อหลายครั้ง นั่นก็เพราะต้องการทำให้เหยียนหลิงจวินเห็นก็เท่านั้นแหละ อยากบีบบังคับทำให้เหยียนหลิงจวินทนไม่ได้ จนไปเอ่ยปากสู่ขอนางกับฮ่องเต้ด้วยตัวเอง
หากดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว ถ้าเหยียนหลิงจวินอยากไปทูลขอให้ฮ่องเต้มอบฉู่สวินหยางให้แต่งงานกับตนจริง เขาก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้ ทำได้แค่ใช้ตัวตนที่ชื่อ ‘เหยียนหลิงจวิน’ นี้สู่ขอนางเท่านั้น
แล้วเมื่อเหยียนหลิงจวินสู่ขอนาง นั่นก็หมายความว่าเขาลงเรือลำเดียวกับวังบูรพาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาก็ต้องปิดบังตัวตนของตัวเองต่อไป ไม่งั้น…
ถึงแม้ในอนาคตฮ่องเต้จะสวรรคตแล้วฉู่อี้อันขึ้นครองราชย์ พูดถึงแค่เรื่องของเหยียนหลิงจวิน ผู้เป็นบุตรแห่งตระกูลสูงส่งที่ไม่เป็นสองรองใครในแคว้นหนานฮวา ปิดบังตัวตนแล้วมีความข้องเกี่ยวกับวังบูรพาเรื่องนี้เรื่องเดียว มันก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดโกลาหล ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นขอเพียงแค่บีบบังคับให้เหยียนหลิงจวินแต่งงานกับฉู่สวินหยางด้วยสถานภาพตัวตนในตอนนี้ นั่นก็หมายความว่าเฟิงเหลียนเซิ่งควบคุมเขาไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว ลดความน่าจะเป็นที่เขาจะกลับไปยังแคว้นหนานฮวาในช่วงเวลานี้ไปได้อีก
เฟิงเหลียนเซิ่งผู้ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาพยายามวางแผนจัดการเหยียนหลิงจวินอย่างสุดความสามารถแถมยังบีบบังคับให้อีกฝ่ายอยู่ภายใต้อำนาจของตนแบบนั้นด้วย?
ก็คงพูดได้แต่ว่าเหยียนหลิงจวินอาจจะรู้อะไรในสิ่งที่เป็นภัยกับตัวเขา
เรื่องนี้เฟิงเหลียนเซิ่งแสดงมันออกมาอย่างเห็นได้ชัดตั้งนานแล้ว ไม่เคยคิดว่าจะปิดบังใครเอาไว้ได้อยู่แล้ว เวลานี้ถูกฉู่สวินหยางจับได้ เขาเองก็ไม่รู้สึกแปลกใจ จึงเม้มปากขึ้นยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ในเมื่อรู้ทั้งรู้อยู่แล้วจะพูดออกมาทำไม ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ทั้งสองทางก็เป็นทางของวังบูรพาทั้งนั้น ข้าเองก็ไม่เห็นฮ่องเต้มาหลายวันแล้ว ดูท่าวันที่องค์รัชทายาทจะขึ้นครองราชย์คงใกล้เข้ามาแล้วใช่ไหม?”
เฟิงเหลียนเซิ่งพูดพลางก็มองฉู่สวินหยางอย่างลึกซึ้งหนึ่งที
เขาเดาออกงั้นรึ? ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยเขาก็เดาเรื่องภายในออกไม่น้อยเลยทีเดียว
แววตาของฉู่สวินหยางมืดมนลงเล็กน้อย ไม่เอ่ยปากพูดคำใด
เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็ไม่ได้เก็บเอาไปคิด ยังคงยิ้มแล้วพูดอย่างไม่สนใจขึ้นว่า “หากวันที่ท่านพ่อของเจ้าได้ขึ้นครองราชย์ตอนนั้น ข้าค่อยสู่ขอเจ้ามันก็มีแต่ข้อดีมากกว่าข้อเสีย ถึงแม้เจ้าจะไม่ยอมช่วยข้า แต่มันก็ยังทำให้เจ้าหกกับคนพวกนั้นตกใจได้ไม่เบา อย่างไรก็ตามข้าก็ไม่เสียหายเลยสักนิด! ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าเขาจะเลือกทำอย่างไร!”