ระหว่างที่เอ่ยนั้นเฟิงเหลียนเซิ่งกลับเลิกคิ้วอย่างได้ใจ

ฉู่สวินหยางมองก็รู้ว่าหาความจริงใจจากคำพูดของเขาไม่ได้ จึงไม่คิดจะเสียเวลากับเขาเช่นกัน นางหันหน้าไปทางอื่นและเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “องค์รัชทายาทจะไปทำตัวให้เป็นจุดสนใจก็ไปคนเดียวเถอะ ข้ายังมีธุระต้องจัดการ เจ้าอย่ามาขวางข้า!”

เฟิงเหลียนเซิ่งก้มมองเสื้อผ้าบนตัวของตนเอง

ถึงจะไม่ใช่ชุดองค์รัชทายาทเต็มยศ แต่สีเหลืองสว่างสดใสทั้งตัวก็สะดุดตาพอสมควร

สีเหลืองสว่างสดใสเป็นสิทธิพิเศษของราชนิกุล เวลานี้คนของพวกเขาผ่านไปตรงไหน พวกชาวบ้านก็จะหลบและเปิดทางให้เอง โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเปิดทางด้วยซ้ำ

เฟิงเหลียนเซิ่งเหลือบมองฉู่สวินหยางที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างว้าวุ่นใจ และอดที่จะยิ้มไม่ได้ว่า “ท่านหญิงกลัวเป็นจุดสนใจด้วยหรือ?”

คนๆ นี้ไม่มีทางที่จะพูดจาดีๆ กับเขาได้เลย

ฉู่สวินหยางหลับตาลงและทำเหมือนเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้วขี่ม้าต่อไปอย่างไม่แยแสราวกับไม่มีใครอยู่ข้างกาย

จริงอย่างที่เฟิงเหลียนเซิ่งว่า…

นางไม่สนใจว่าจะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์หรือมุงดูจริงๆ

ในเมื่อเฟิงเหลียนเซิ่งตัดสินใจแล้วว่าจะไปกับนาง ฉู่สวินหยางก็ขี้เกียจจะพูดกับเขาอีกเหมือนกัน คนทั้งกลุ่มขี่ม้าไปทางนอกประตูเมืองทิศตะวันออก

ออกนอกเมืองมาได้ไม่ไกลนัก เจี๋ยหงที่รออยู่ตรงนั้นก็ขี่ม้าเข้ามาหาว่า “ท่านหญิง!”

“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นเต็มที่แล้ว จึงส่องโดนตัวจนรู้สึกร้อนเล็กน้อย นางจึงยกแขนเสื้อขึ้นมาบังเอาไว้

เจี๋ยหงรายงานเองโดยไม่รอให้นางถามว่า “ฤกษ์ดีของวันนี้คือยามเหม่า[1] คนตระกูลฮั่วออกนอกเมืองไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้ว เวลานี้น่าจะอยู่ระหว่างทางกลับเมืองแล้วเจ้าค่ะ”

วันนี้ฝังศพฮูหยินฮั่ว แต่ฮ่องเต้จงใจกักตัวผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างฮั่วชิงเอ๋อร์เอาไว้ จึงไม่มีทางพาศพของนางกับฮั่วกังกลับไปฝังที่บ้านเกิดได้ และทำได้เพียงรีบซื้อที่ฮวงจุ้ยดีๆ ตรงชานเมืองเฉิงตงเท่านั้น

เฟิงเหลียนเซิ่งคอยติดตามอยู่ข้างๆ ราวกับไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่นิดเดียวที่ฉู่สวินหยางจะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ พลางมองเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง

เจี๋ยหงมองเขาอย่างระแวดระวัง แล้วถามความเห็นฉู่สวินหยางว่า “ข้าสอบถามเรื่องภูมิประเทศระหว่างทางมาจนรู้แน่ชัดหมดแล้ว หุบเขากรวดที่อยู่อีกสองลี้[2] ข้างหน้าเดินทางลำบาก หากจะเกิดเรื่อง…ก็น่าจะเป็นตรงนั้นเจ้าค่ะ”

“ไปเถอะ!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าและขี่ม้าต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก

เจี๋ยหงและคนอื่นๆ รีบตามไป

หุบเขากรวดนั้นเพียงเห็นชื่อก็คิดไปถึงความหมายแฝงที่มีชื่อเสียงมาจากยุคสมัยที่สังคมวุ่นวาย

ปกติแล้วการเลือกที่ตั้งสุสานจะไม่เลือกสถานที่ที่ใกล้เมืองมากเกินไป เพราะเสียงผู้คนจอแจจะรบกวนการพักผ่อนอย่างสงบของผู้ตาย

หุบเขากรวดอยู่ห่างออกไป เส้นทางแคบและขรุขระ ดินและหินกองพะเนินสองข้างทาง คนที่มาด้วยกันกลุ่มใหญ่เดินทางลำบากมาก

ฉู่สวินหยางและคนอื่นขี่ม้าไป ทว่าเพิ่งจะเข้าใกล้ปากทางเข้าหุบเขา อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าแผ่นดินสั่นไหวและได้ยินเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นอย่างไม่ชัดนักในเวลาเดียวกัน

ม้าตกใจจนร้องออกมาอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย

“แย่แล้ว!” เจี๋ยหงร้องออกมา “เหมือนพวกเราจะมาช้าไปแล้วเจ้าค่ะ!”

ฉู่สวินหยางเม้มปาก แล้วขี่ม้าเข้าไปในหุบเขาทันทีโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“ท่านหญิง!” เฉี่ยนลวี่ร้อนใจขึ้นมาในทันใด จะขวางนางก็สายไปแล้ว จึงจำเป็นต้องขี่ม้าตามไป

ฉู่สวินหยางเข้าไปในหุบเขา ทว่าเพิ่งจะผ่านทางเข้ามาก็ได้ยินเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นดังติดต่อกันมาจากด้านหน้าอย่างไม่ค่อยชัดอีกและยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ นางเงยหน้ามองไปก็เห็นกำแพงดินและหินทั้งสองฝั่งถล่มลงมาอย่างกะทันหัน

ถล่มจากในหุบเขาลึกลามไปถึงปากทางเข้าหุบเขาตลอดทาง

กำแพงดินและหินทั้งสองฝั่งพังลงมา ก้อนหินและดินโคลนกลิ้งหล่น จนเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว และปิดตายเส้นทางในหุบเขาทั้งสายในชั่วพริบตา

ฉู่สวินหยางดึงบังเหียนเอาไว้ทันที พลางพยายามทำให้ม้าศึกที่ตกใจและนางนั่งอยู่สงบลง แล้วมองไปรอบด้านด้วยสายตาคมกริบ

“พาคนเข้าไปค้นหาทางหนีตรงหน้าผาทั้งสองด้าน หากมีคนน่าสงสัยก็จัดการได้ทันที ไม่ต้องออมมือ ตัดหัวพวกเขามาให้ข้า” ฉู่สวินหยางสั่งเสียงเย็นเยียบ

“เจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงรับคำสั่ง แล้วโบกมือพาองครักษ์ของวังบูรพาแยกย้ายกันไปตามเส้นทางในหุบเขาทั้งสองฝั่ง

เพราะเฟิงเหลียนเซิ่งอยู่ที่นี่ ถึงจะรู้ว่าเขาไม่กล้าทำอะไรฉู่สวินหยาง แต่เฉี่ยนลวี่ก็ยังอยู่ที่เดิม

“ทางถูกทำลายเช่นนี้ก็ไม่มีทางผ่านได้แล้ว!” เฟิงเหลียนเซิ่งขี่ม้าตามเข้ามาทางด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน พลางเบ้ปากมองภาพเละเทะตรงหน้า

ฉู่สวินหยางมองเขาและถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่รู้ว่ากลุ่มของแม่นางฮั่วจะเป็นอะไรหรือเปล่า ข้าพาคนมาไม่พอ ขอยืมคนที่ติดตามองค์รัชทายาทมาได้หรือไม่?”

“เชิญตามสบาย!” เฟิงเหลียนเซิ่งยิ้มและใจถึงเช่นกัน

ฉู่สวินหยางยิ้มและกระโดดลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว นางเดินเหยียบไปในถนนเล็กที่เต็มไปด้วยกองกรวดและดินโคลนเป็นรอยเท้าทั้งลึกและตื้น

เฟิงเหลียนเซิ่งไม่ยอมลดเกียรติลงไปทำให้ตนเองลำบากเช่นนั้น ทว่าพอเห็นนางค่อยๆ เดินไปไกล เขาก็ลังเลแล้วลังเลอีก จนในที่สุดก็ตามลงจากม้าไปและเดินลึกเข้าไปในหุบเขากรวดด้วยกัน

“ไม่กี่วันก่อนฝนเพิ่งจะตกหนัก เดิมทีดินและหินก็แช่น้ำจนดินอ่อนอยู่แล้ว ถึงตอนที่รายงานแค่บอกว่าฝนตกหนักทำให้ดินถล่มลงมาจากภูเขาทั้งสองฝั่งและต้องสืบหาคนก่อเหตุ ส่วนภัยวันนี้น่ะ…ก็ต้องยอมรับว่าโชคร้ายเองแล้ว”

เฟิงเหลียนเซิ่งขมวดคิ้วและพยายามเลือกเหยียบหินก้อนที่สะอาด เขาพูดไม่หยุดโดยไม่สนใจว่าฉู่สวินหยางจะตอบหรือไม่ ท่าทางเขาชอบใจมาก เขาพูดจนสุดท้ายก็เริ่มเดาะลิ้นอย่างไม่จริงใจและยิ้ม “ซื่อจื่ออ๋องหนานเหอทำงานได้เยี่ยมจริงๆ ถึงเขาจะไม่คิดอะไรกับแม่นางฮั่ว แต่ทำไมต้องลงมือโหดทำลายชีวิตคนทั้งเป็นด้วย? เสียดายหญิงงามเช่นนั้นจริงๆ!”

ฉู่สวินหยางฟังคำพูดไม่จริงใจของเขา พลางถอนหายใจและมุมปากกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

เฟิงเหลียนเซิ่งเห็นนางเงียบมาตลอด กลับไม่รู้สึกเก้อเขิน ทั้งยังตามเข้าไปใกล้นาง เขาหันไปมองใบหน้าด้านข้างของนางและซักไซ้ว่า “เจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าแม่ลูกคู่นั้นแสร้งทำดีเพื่ออำพรางเจตนาชั่วร้ายเอาไว้ ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วเจ้าอยากจะช่วยแม่นางฮั่วหรือแค่ทำไปงั้นๆ กันแน่?

ฉู่สวินหยางไม่แม้แต่มองเขาด้วยซ้ำ นางสนใจแต่จะเดินไปข้างหน้า

ทว่าเฟิงเหลียนเซิ่งกลับไม่ท้อถอย เขาลูบคางของตนเองและวิเคราะห์ต่อไปว่า “หากบอกว่าเจ้าอยากจะช่วยคน ทำไมไม่เตรียมการไว้ก่อน? ต้องรอให้เกิดเรื่องให้ได้ก่อนถึงค่อยรีบมา? หากบอกว่าแค่ทำไปงั้นๆ…ก็ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้ไปให้ใครดูอีก?”

เขาเองยิ่งพูดก็ยิ่งใจร้อน จนท้ายที่สุดก็เหมือนจะวางท่าอย่างย่ามใจ

ฉู่สวินหยางหันกลับไปมองเขาอย่างเย็นชา แล้วยกยิ้มมุมปากเหมือนยิ้มและไม่ยิ้ม “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

“ข้าหรือ?” เฟิงเหลียนเซิ่งเอ่ย รอยยิ้มในดวงตายิ่งฉายแววดีใจมากขึ้น

เขาเงยหน้ามองไปรอบด้าน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ตอบคำถามของฉู่สวินหยาง แต่ส่งเสียง ‘เฮ้อ’ ออกมา แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “เจ้าว่าซื่อจื่ออ๋องหนานเหอจะมาเองหรือไม่? เวลานี้…เขาจะคอยมองพวกเราจากตรงไหนสักแห่งแถวนี้หรือเปล่า?”

ระหว่างที่พูดนั้นเขาจงใจขยับเข้าไปใกล้ฉู่สวินหยางและโน้มตัวไปกระซิบใกล้หูนางเหมือนกลัวว่าใครจะได้ยินเข้า

กลิ่นหอมของอำพันทะเลบนตัวเขาฉุนมาก คล้ายกับกลิ่นบนตัวของฮ่องเต้ยิ่งนัก

ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วอย่างรังเกียจและหยุดฝีเท้า

เฟิงเหลียนเซิ่งไม่ทันสังเกตและยังคงเดินต่อไปเช่นเดิม

“ท่านหญิง ข้างหน้าเจ้าค่ะ!” ทันใดนั้นเฉี่ยนลวี่ก็ชี้ถนนที่ดินและหินทับถมกันตรงหน้าแล้วร้องอย่างตกใจ

ธงสีขาวที่หักโค่นและชุดไว้ทุกข์สีขาวกระจัดกระจายอยู่ระหว่างดินโคลนและหินกรวดตรงนั้น

เฉี่ยนลวี่เผลอกลั้นหายใจและรีบวิ่งเข้าไปตรวจดูก่อนอย่างรวดเร็ว นางกลับมาหลังจากนั้นเพียงชั่วครู่และเอ่ยด้วยสีหน้าเคารพมากว่า “ท่านหญิง ทั้งขบวนแห่ศพถูกหินกรวดทับไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่ายังมีผู้รอดชีวิตหรือไม่เจ้าค่ะ”

ฉู่สวินหยางไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นางเลิกคิ้วให้เฟิงเหลียนเซิ่งว่า “รบกวนองค์รัชทายาทแล้ว!”

“อะไรนะ?” เฟิงเหลียนเซิ่งอึ้งและโพล่งถามออกไป

————————————————–

[1] ช่วงเวลา 05.00-06.59 น.

[2] 1 ลี้ = 500 เมตร ดังนั้น 2 ลี้ = 1 กิโลเมตร