บทที่ 286 ไม่ชอบมาพากล
“พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?”
บรรดาลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ต่างๆ พากันนั่งงงเป็นไก่ตาแตก
ถ้าจะปิดบังความสามารถที่แท้จริง สมาชิกกลุ่มของหลินเป่ยเฉินก็ปิดบังมาอย่างยาวนานโดยแท้
แม้แต่ผู้คนที่รู้จักมี่หรู่หยาน ฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุนและเยว่หงเซียงเป็นอย่างดี พวกเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้กับภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
ทุกคนไม่ทราบว่าเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามี่หรู่หยานเป็นลูกศิษย์ต่างสถาบัน
ฝีมือที่ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียงและไป๋ชินหยุนแสดงออกมาในขณะนี้ เปิดเผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่มีมากกว่าเดิม 3-4 เท่า
โดยเฉพาะเยว่หงเซียงกับไป๋ชินหยุน พวกนางยังไม่ได้เปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุ ระดับพลังยังไม่ได้ขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ แต่พวกนางก็สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่มีพลังระดับปรมาจารย์ได้ถึง 3 คน โดยใช้เวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น
“ให้ตายสิ” ฉู่เหินยกมือขยี้ดวงตาด้วยความไม่อยากเชื่อ
“หวังว่าเจ้าเด็กดื้อพวกนี้คงไม่ได้อุตริรับประทานยาเพิ่มพลังลมปราณเข้าไปนะ ถ้าทำเช่นนั้นก็ถือว่าผิดกฎการแข่งขันแล้ว” พานเว่ยหมินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
หลิวฉีไห่ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอก ถึงหลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนจะเอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้ ทว่าฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงคงไม่ยินยอมให้เจ้าแกะดำทำผิดเช่นนั้น…”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเขาเก่งขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ชายชราทั้ง 3 คนหันมามองหน้าเฒ่าทะเลเป็นตาเดียว
ผู้ถูกจ้องมองได้แต่ทำสีหน้าลำบากใจ “พวกเจ้าจะมามองข้าทำไม? ข้ามีหน้าที่แค่ช่วยฝึกหลินเป่ยเฉินเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเด็กคนอื่นๆ เสียหน่อย”
คณะอาจารย์และลูกศิษย์คนอื่นๆ จากสถานศึกษากระบี่ที่สามกำลังส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ลูกศิษย์สาวๆ
หลายนางพร้อมใจกันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
นับตั้งแต่ที่เริ่มการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง สถานะของสถานศึกษากระบี่ที่สามในเมืองหยุนเมิ่ง ก็ถูกยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ เวลาที่มีใครแต่งกายด้วยเครื่องแบบของสถานศึกษากระบี่ที่สามเข้าไปเดินในตัวเมือง แม้แต่สุนัขสักตัวก็ไม่เหลียวหน้ามอง มิหนำซ้ำ บ่อยครั้งยังมีคำพูดกระทบกระเทียบลอยมาเข้าหู
ตัวอย่างเช่น เวลาที่พวกเขาเดินผ่านย่านที่มีผู้คนจอแจ บิดามารดาที่จูงลูกน้อยมาด้วยก็จะยกมือชี้ชวนให้ดูพวกเขาพร้อมทั้งสั่งสอนบุตรของตนเองว่า โตขึ้นถ้าไม่ตั้งใจเรียน ก็จะต้องกลายเป็นเศษขยะไร้ค่า ได้แต่เข้ารับการศึกษาที่สถานศึกษากระบี่ที่สามเท่านั้น…
แต่บัดนี้เล่า?
ไม่ว่าเดินไปไหนมาไหนก็ได้รับการเคารพยกย่อง
ทุกคนสามารถสวมใส่เครื่องแบบของสถาบันได้อย่างภาคภูมิใจ
เด็กๆ ทั้งหลายต่างก็รบเร้าบิดามารดาว่าเมื่อโตขึ้น พวกเขาจะศึกษาที่สถาบันเดียวกับหลินเป่ยเฉินและฮันปู้ฟู่… ซึ่งก็คือสถานศึกษากระบี่ที่สามนั่นเอง
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว
บัดนี้ เวลาที่ลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามเข้าไปเดินในตัวเมือง พวกเขาก็จะรับรู้ได้ถึงสายตาแห่งความอิจฉาริษยาที่จ้องมองมา ซึ่งชีวิตของพวกเขาไม่เคยมีความสุขมากขนาดนี้มาก่อน
“ข้าไม่น่าทำผิดต่อเขาเลยจริงๆ”
อู๋เสี่ยวฟางอดคร่ำครวญออกมาไม่ได้
เขาเคยมีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับหลินเป่ยเฉินแล้วแท้ๆ และเขาก็น่าจะใช้โอกาสนั้นเกาะติดเจ้าแกะดำเพื่อกลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง อย่างเช่นที่ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียงและไป๋ชินหยุนได้รับโอกาส
แต่โชคร้ายที่อู๋เสี่ยวฟางทำทุกอย่างพังทลายด้วยน้ำมือของตนเอง
ทุกอย่างเป็นเพราะนังแพศยาคนนั้นแท้ๆ
เขาไม่น่าไปยุ่งเกี่ยวกับนางเลย
นางเป็นคนบอกให้เขารังแกหลินเป่ยเฉิน
ในเวลาเดียวกันนี้ กวนเฟยตู้อยู่ข้างกายบิดาบนที่นั่งสำหรับแขกระดับสูง
บิดาของเขาเป็นหัวหน้าตระกูลกวน ซึ่งถือเป็น 1 ใน 4 ตระกูลใหญ่ประจำเมืองหยุนเมิ่ง ตัวเขาเองเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยและมีอำนาจ จึงวาดหวังว่ากวนเฟยตู้จะสามารถสร้างชื่อเสียงในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองอย่างโดดเด่น และช่วยยกระดับตระกูลกวนให้สูงส่งมากกว่าเดิม
แต่ที่ไหนได้ นอกจากไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันได้แล้ว กวนเฟยตู้ยังถูกไล่ออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม นั่นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด เพราะตระกูลที่ร่ำรวยอย่างพวกเขาสามารถส่งบุตรชายไปร่ำเรียนที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว ทว่า เหตุผลที่ทำให้กวนเฟยตู้ต้องถูกไล่ออกเป็นเพราะว่าเขาไปมีปัญหากับหลินเป่ยเฉิน ส่งผลให้ภาพลักษณ์ประจำตัวกวนเฟยตู้ในขณะนี้กลายเป็นตัวตลกในสายตาชาวเมือง และเด็กหนุ่มก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งจมอยู่ในความเศร้าไปวันๆ เท่านั้น…
“ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าไม่ควรมีปัญหากับหลินเป่ยเฉินเพราะมู่ซินเยว่คนเดียวเลยจริงๆ”
กวนเฟยตู้คิดด้วยความเสียดายจับใจ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าบัดนี้หลินเป่ยเฉินแสดงความเฉิดฉายมากมายขนาดไหน อนาคตในภายภาคหน้า เขาจะต้องกลายเป็นคนใหญ่คนโตในจักรวรรดิแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น กวนเฟยตู้ก็ทำได้เพียงรอคอยให้หลินเป่ยเฉินกลับมาคิดบัญชีแค้นกับเขาจนถึงแก่ความตายเท่านั้นเอง
เมื่อความคิดนั้นผุดวาบเข้ามาในหัว กวนเฟยตู้ก็รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น
“โชคดีที่หลินเป่ยเฉินเดิมพันชีวิตเอาไว้กับเฉาพั่วเถียน บัดนี้ เราก็ได้แต่หวังว่าเฉาพั่วเถียนจะสามารถฆ่าเขาได้สำเร็จก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังหน้าจอถ่ายทอดสดอีกจอหนึ่ง
มันกำลังฉายภาพการต่อสู้บนเรือไป๋หยุน
การต่อสู้ที่จบลงอย่างรวดเร็ว
เฉาพั่วเถียนและลูกสมุนสามารถเอาชนะจุนเมิงฮั่นได้อย่างราบคาบ น่าเสียดายที่เจิ้งโจวกับมู่อวี่ซุนไม่สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้เพียงลำพัง หลินอี้กับตงฟางจันจึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ…
ครั้งนี้ เฉาพั่วเถียนก็ยังไม่ต้องแสดงฝีมืออยู่ดี
“เจ้ามีความแข็งแกร่งไม่ใช่เล่น”
เฉาพั่วเถียนยืนมองหน้าจุนเมิงฮั่นด้วยแววตาลวนลามจากระยะไกลและกล่าวว่า “ข้าจะมอบทางเลือกให้แก่เจ้า จงยอมแพ้และกลายเป็นผู้ติดตามของข้าซะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่เมืองไป๋หยุน และเจ้าอาจจะมีสิทธิ์ได้กลายเป็นลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนก็เป็นได้”
“เฮอะ” จุนเมิงฮั่นหัวเราะเย้ยหยันตอบกลับ “ถ้าข้าอยากจะเป็นลูกศิษย์เมืองไป๋หยุน ข้าขอใช้ความสามารถของตนเอง ดีกว่าขอรับส่วนบุญจากพวกเจ้า”
“ฮ่าฮ่า เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
เฉาพั่วเถียนหัวเราะในลำคอ พลิ้วกายกระโดดเข้าไปหาจุนเมิงฮั่น และเมื่อเขาลอยตัวขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง เลือดสีแดงสดก็ฉีดพุ่งราวน้ำพุ สาดกระเซ็นไปรอบทิศทาง
“ช่วยไม่ได้นะ ในเมื่อเจ้าคิดที่จะใช้ความสามารถของตนเอง…ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นจริงได้หรือเปล่า”
เฉาพั่วเถียนทิ้งตัวกลับลงมา รับธงประจำเรือมาจากมือของหลินอี้ แล้วหมุนตัวแล้วเดินจากไป
…
การแข่งขันดำเนินต่อ
เรือรบของผู้เข้าแข่งขันแล่นมาเผชิญหน้ากันและเกิดการต่อสู้
ศึกชิงธงดำเนินไปอย่างดุเดือด
ผู้ชมดูการถ่ายทอดสดด้วยหัวใจอันลุ้นระทึก
เมื่อล่วงเข้าสู่ยามบ่าย การแข่งขันชิงธงก็ดำเนินเข้าสู่รอบที่สอง
บัดนี้ มีเรือ 3 ลำที่สามารถเก็บชัยชนะได้ 2 ครั้งซ้อน ประกอบไปด้วย
เรือร้านขายอัญมณีหลิวไคของหลินเป่ยเฉิน
เรือไป๋หยุนของเฉาพั่วเถียน
เรือเทพีอวยชัยของเยว่เว่ยหยาง
โจวเค่อยังคงโชคร้ายอย่างต่อเนื่อง นางมุ่งมั่นที่จะกลับเข้าสู่การแข่งขันอีกครั้ง แต่ทว่าคู่ต่อสู้ที่ต้องพบเจอกลับเป็นเยว่เว่ยหยาง และกลุ่มของโจวเค่อก็ต้องพบกับความปราชัยเป็นครั้งที่สอง
โชคดีที่เยว่เว่ยหยางจัดการผู้เข้าแข่งขันที่เป็นฝ่ายตรงข้ามด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวล แม้ว่าโจวเค่อจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่นักบวชสาวก็ไม่ได้กระทำการดูถูกเหยียดหยามให้โจวเค่อต้องอับอายขายหน้าแต่อย่างใด
ทว่า นั่นก็เป็นความปราชัยที่ดับความหวังของโจวเค่อลงไปหมดสิ้น
เรือบุปผามรณะของนางต้องพ่ายแพ้ให้แก่เรือร้านขายอัญมณีหลิวไคและต่อด้วยเรือเทพีอวยชัย ยากที่จะสามารถสู้หน้าใครได้อีก ด้วยเหตุนั้น โจวเค่อจึงประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขันโดยทันที
ธงประจำเรือที่มีอยู่ 10 ผืน บัดนี้เหลืออยู่เพียง 2 ผืนที่ยังไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามยึดครอง ซึ่งก็คือธงประจำเรือของหวังซินอวี่กับเรือของเซียวปิง
ขณะนี้ การแข่งขันรอบที่สามเริ่มขึ้นแล้ว โดยไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มคนดูผู้รับชมได้มีเวลาไปเข้าห้องน้ำเลยสักนิด
หลิงจุนเซวียนนั่งรับชมการแข่งขันอยู่บนที่นั่งระดับสูงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ข้างกายเขา เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหลี่สงฟู่ กำลังพูดคุยและหัวเราะเฮฮาอยู่กับเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชา
แต่ในทันใดนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่จากจวนผู้ว่าวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาแจ้งข่าวแก่หลิงจุนเซวียนว่า “ท่านเจ้าเมืองขอรับ เจ้าหน้าที่สืบสวนจากทางมณฑลมาถึงท่าเรือแล้ว หัวหน้าหน่วยของพวกเขากลับเป็นถึงท่านผู้ตรวจการมณฑลถังกู่จิน…”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลิงจุนเซวียนก็แปรเปลี่ยนไปทันที
ปรากฏว่าเป็นคนผู้นี้เองสินะ
ตัวปัญหาของหลินเป่ยเฉินมาถึงแล้ว