บทที่ 335 - คำสัญญา (5)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 335 – คำสัญญา (5)

ลำแสงที่พุ่งจากปากของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้กลืนกินความเมตตาอันบิดเบี้ยว และพุ่งทะลวงไปถึงท้องฟ้า หากมองจากไกลๆแล้วอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสาแสงยักษ์ที่ตกลงมาจากบนฟ้าได้เลย

อ๊ากกกกกกกก!

เสียงกรีดร้องแหลมสูงได้ดังทะลุลำแสงออกมา นี่คือเสียงร้องของความเมตตาอันบิดเบี้ยวอย่างไม่ต้องสงสัย

ความสงบนิ่งภายใต้การปลดผนึกพลังเทพออกมาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่่เธอจะดูถูกได้เลย นอกเหนือจากผลข้างเคียงที่ค่อนข้างจะพิเศษสำหรับเขาแล้ว ในด้านพลังของเขาไม่ได้อยู่ห่างจากความเมตตาอันบิดเบี้ยวมากนัก นอกไปจากนี้ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ยังถูกโจมตีโดยไม่ได้เตรียมตัวอีกด้วย

ไม่นานนักลำแสงก็ค่อยๆลดลงจนหายไป สิ่งที่ซอลจีฮูได้เห็นก็คือความเมตตาอันบิดเบี้ยวกำลังส่ายไปมาเหมือนกับถูกสายลมพัด

เธอไม่ได้ร่วงลงมาตรงๆ เธอพยายามทรงตัวเอาไว้ แต่ก็ยังค่อยๆร่วงลงมาเป็นเส้นโค้งเหมือนนกที่ปีกหัก

ตึง เท้าซ้ายของเธอได้แตะเข้ากับพื้น และตัวเธอได้แกว่งไปมาอย่างรุนแรง

ฟู่ววว! ควันสีขาวได้ลอยขึ้นจากร่างที่ร้อนระอุของเธอ

“กรอดดด…”

แม้ว่าจะมีสภาพที่น่าสังเวชแบบนี้ แต่สีหน้าที่กำลังหอบหนักของเธอกลับยิ่งหน้ามอง

สีหน้าที่สง่างามสูงส่งได้หายไปแล้ว สายตาที่ภาคภูมิใจได้หายไปเหลือไว้เพียงดวงตาสีขาว มันดูเหมือนเธอจะคลั่งไปแล้ว

ในตอนนั้นเองร่างกายที่กำลังส่ายไปมาของเธอได้ชะงักไป ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ฝืนรักษาสมดุลร่างกายกลับมาได้ ก่อนที่สายตาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“แค่ก แค่ก แค่กๆ ๆ!”

บาดแผลเธอสาหัสขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ไอออกมาอย่างหนัก

“ฟู่ววว…”

ไม่นานนักในที่สุดเธอก็ยืดหลังตรงกลับมาได้ แต่ว่า…

วูมมม!

สิ่งที่เธอเห็นเมื่อยืดหลังตรงกลับขึ้นมาก็คือร่างยักษ์ที่กำลังพุ่งเข้ามาใส่เธอ

ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ง้างเท้าเตรียมเตะความเมตตาอันบิดเบี้ยวราวกับเธอเป็นลูกฟุตบอล

ปัง! ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็กระเด็นไปอีกครั้งก่อนที่เธอจะตั้งตัวได้ซะอีก เลือดจำนวนมากได้กระจายออกมาทั่ว พร้อมกับร่างเธอก็พุ่งลอยหายไปไกลในทันที

เธอได้กระแทกเข้ากับต้นไม้ และก้อนหินนับสิบก้อนที่จะไปหยุดลงที่เชิงผา

ตึง! คลั่งของความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่กระแทกกับเชิงผาได้งอลง เลือดจำนวนมากได้ไหลออกมาทั้งจากจมูกและปากของเธอ

“แค่กๆ! อ้วกกก!”

เธอได้เบิกตากว้างไอออกมาอย่างหนัก บางทีอาจจะเพราะแรงกระแทกได้ทำให้สติที่พร่ามัวของเธอกลับมาชัดเจนขึ้น

ตึง ตึง ตึง เธอได้เหลือบตาขึ้นมองในทันทีที่ได้ยินเสียงสั่นสะเทือน เมื่อเห็นร่างยักษ์กำลังวิ่งเข้ามา ใบหน้าเธอก็กลายเป็นบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

“แก!!!!!”

เสียงดังสนั่นได้ดังขึ้น และม่านตาเธอก็กลายเป็นดุดันขึ้น

พอสิ่งต่างๆกลายมาถึงจุดนี้แล้ว ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ได้ตัดสินใจว่านี่คือสถานการณ์ที่ต้องสู้หรือตาย แม้ว่าเธอจะไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอได้ตัดสินใจไปแล้วว่าความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งไม่ใช่มิตรอีกต่อไป

“เจ้าโง่! เจ้าไม่ได้รู้ตัวเลยงั้นเหรอว่าถูกเจ้าหนอนแมลงพวกนั้นปั่นหัว!?”

เมื่อเห็นความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งที่ย่นระยะห่างเข้ามาแล้ว และกำลังยกแขนขึ้น เธอก็ชักดาบคู่ออกมา

“ก็ได้! ถ้าเจ้าต้องการ ข้าก็จะเล่นไปกับเจ้าด้วย!”

คลื่นกระแทกน่าตกตะลึงได้พุ่งออกมาจากตัวความเมตตาอันบิดเบี้ยว ดาบคู่ของเธอได้้ตวัดออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้า จนทำให้มันปะทะเข้ากับหมัดที่กำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ย่าห์!!”

“กรรรร!”

พลังของทั้งสองได้ปะทะกันอย่างรุนแรง กลุ่มแสงได้กระจายออกมาเต็มไปหมดจนทำให้รอบๆพร่ามัวราวกับมีพระอาทิตย์ตกลงมา และพื้นที่โดยรอบที่ทนกับการปะทะกันของพลังทั้งสองไม่ไหวก็เริ่มพังทลายลง

ในที่สุดแล้วพื้นที่โดยรอบก็กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า

ในขณะที่การปะทะกันอย่างรุนแรงที่ไม่มีฝ่ายใดด้อยกว่าดำเนินไป ดาบคู่ของความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ขยับไปข้างหน้าเล็กน้อย ในตอนนั้นเองความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็เปล่งเสียงคำราม และสะบัดแขน

เมื่อดาบคู่ของเธอได้ตวัดตัดกันในแนวแทยงมุม พลังของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็แยกออกเผยให้เห็นช่องว่าง

พลังงานรุนแรงที่มีเต็มไปหมดจู่ๆก็หายไปอย่างกระทันหัน ร่างยักษ์ได้เอียงไป และความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็ต้องถอยกลับ

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ใช้พละกำลังของเธอหยุดความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง

และเธอก็รีบพุ่งเข้าไปโดยไม่ยอมพลาดโอกาสนี้

ฉั๊วะ! แขนหนาๆ ของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งถูกตัดออกเหมือนกับเต้าหู้

“เป็นแค่สิ่งมีชีวิตมิติวิญญาณกล้าดียังไงมาต่อกรกับข้า!?”

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้ว่าเธอจะวางแผนใช้โอกาสนี้สร้างข้อได้เปรียบให้กับตัวเองมากยิ่งขึ้นอีก แต่ว่า…

‘!’

ก่อนที่เธอจะได้ทันเหวี่ยงดาบยาว เธอก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น

ร่างกายความสงบนิ่งอันบ้าตลั่งได้ขยายใหญ่ขึ้นก่อนเธอจะรู้ตัว และตอนนี้มันดูเหมือนกับจะระเบิดออกได้ตลอดเวลา

วูมมมมม วูมมมมม!

ออร่าระเบิดได้ไหลออกมาจากร่างมันเช่นเดียวกัน ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่ตกตะลึงได้รีบกางปีกพุ่งถอยในทันที

ในเวลาเดียวกันร่างกายของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็ได้ขยายขนาดยิ่งกว่าเดิม และเปล่งประกายเจิดจ้า

แสงเจิดจ้าได้ส่องออกมาจนทั่วเหมือนกับดาวตก และเกิดระเบิดขึ้นอย่างกระทันหัน

“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!”

ชัดเจนว่านี่เป็นการโจมตีแรกชีวิตที่ไม่สนใจในความปลอดภัยของผู้ใช้งานเลย! ด้วยตัวตนที่เป็นภูติปีศาจของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง ทำให้มันจะไม่เป็นอันตรายหลังจากปล่อยพลังงานอันมหาศาลออกมาในคราวเดียว

ยังไงก็ตามการโจมตีที่ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ในอันตรายนั่นก็มีพลังทำลายล้างอันมหาศาล แม้กระทั่งความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกัดฟันหลบหนีออกไป

สำหรับทีมปฏิบัติการก็เช่นเดียวกัน แรงกระทบหลังการโจมตีที่ไม่ใส่ใจของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ถูกส่งมาที่พวกเขามากมาย แม้ว่ามันจะเป็นแค่คลื่นกระแทกเล็กๆ แต่มันก็มีพลังมากพอจะกำกัดคนนับสิบได้อย่างง่ายดายแล้ว

“ระวัง!”

เมื่อคลื่นกระแทกที่ฉีกกระชากกำแพงดินได้พุ่งเข้ามา ซอยูฮุยได้เค้นพลังร่ายเวทย์บาเรียออกมา เธอคือตำนานแห่งพาราไดซ์ และยังเป็นหนึ่งในสองชาวโลกระดับ 8 คนที่คู่ควรจะป้องกันคลื่นกระแทกนี้มีแค่เธอเท่านั้น

ยังไงก็ตามถึงจะแค่ชั่วคราว แต่ไม่นานนะบาเรียก็ได้เริ่มสั่นขึ้นอย่างชัดเจน

“ทำ… อะไรสักอย่าว…!”

ซอยูฮุยที่เหงื่อซกได้กัดฟันพูดออกมา

ฟิลิป มูเลอร์รีบร่ายเวทย์ขึ้น วงเวทย์ได้ลอยขึ้นจากหนังสือ และล้อมรอบทีมปฏิบัติการในทันที

จนกระทั่งถูกเทเลพอตออกมาแล้วเท่านั้น ทีมปฏิบัติการถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

‘ฟู่วว…’

ซอลจีฮูก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าเมื่อมองกลับไปด้านหน้า เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก

ทั้งโลกกำลังสั่นสะเทือนจากเส้นลำแดงที่ตกลงมา หลังจากปูพรมระเบิดไปทั่วแล้ว แสงระเบิดก็สว่างจ้าขึ้นจนกลายเป็นเมฆระเบิดดอกเห็ด

ซอลจีฮูไม่อาจจะละสายตาไปจากภาพอันน่าขนลุกนี้ได้เลย นี่คือเววลาเหมาะที่สุดที่จะสังหารความเมตตาอันบิดเบี้ยวแล้ว

แต่ยังไงก็ตามไม่นานนักเขาก็ต้องลบความคิดนี้ออกไปจากหัว

‘เป็นไปไม่ได้…’

การต่อสู้ระหว่างตัวตนระดับเทพกำลังเกิดขึ้น

เป็นการต่อสู้แลกชีวิตของเทพที่ไกลเกินกว่าตัวตนธรรมดาจะอาจเอื้อม มันไม่ใช่แค่โลกเท่านั้นที่สั่นไหว แต่กระทั่งมิติก็ยังเกิดการฉีกขาด

โลกนี้กำลังจะระเบิดขึ้นแล้ว อย่าได้คิดถึงการเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้นี้เลย หากพลาดแม้แต่น้อยก็ทำให้พวกเขาตายได้ง่ายๆแล้ว

จากนั้นเอง

ปัง! ซอลจีฮูได้เห็นความเมตตาอันบิดเบี้ยวถูกกระแทกกลับไปพร้อมเสียงดัง

“กรอดดด!”

เธอได้กระทืบพื้นก่อนจะกัดฟันแน่น ระหว่างที่เธอกำลังหลบหนีออกจากการโจมตีของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งทำให้เธอถูกโจมตีขึ้น

เธอได้ฝืนยืนขึ้น และคำรามขึ้นจากความเจ็บปวดที่มีอยู่ทั่วร่าง

เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้

มันไม่ใช่เธอเชื่อว่าเธอจะแพ้หรอก แต่ว่าการโจมตีที่ไม่สนใจผลย้อนกลับของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งมันทำให้เธอมีทางเลือกแค่ต้องหลบเท่านั้น

เธอยังต้องระวังทีมปฏิบัติการอีก และยิ่งกว่านั่นก็ยังมีเรื่องต้นไม้โลกที่กำลังโตขึ้นด้วยความเร็วอันน่ากลัว

เสียเปรียบ นี่คือสถานการณ์ที่เสียเปรียบเกินไป

‘เป็นแบบนี้ไมได้’

เธอต้องตัดสินใจแล้ว ถึงเธอจะรู้ว่าเธอไม่ควรทำ แต่สถานการณ์ได้ทำให้เธอต้องตัดสินใจ

ในตอนที่เธอเหม่ออยู่นี้เอง ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นอีกครั้ง

ถูกบังคับ? นี่ข้าถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจ?

เธอไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลย มันไม่ใช่แค่นับตั้งแต่เธอได้รับพลังความเป็นเทพ แต่มันตั้งแต่ในตอนที่เธอฝักออกจากไข่แล้ว

ตึง ตึง ตึง ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งพุ่งเข้าใส่เธอโดยไม่ยอมให้เธอได้พักเลย

‘ช่างแม่งงง!’

ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ตัดสินใจ

เธอโยนดาบยาวในมือซ้ายขึ้นท้องฟ้า และในทางกลับกันก็โยนดาบยาวในมือขวาลงพื้น ดาบคู่ได้ลอยขยับด้วยตัวเองราวกับมีความคิด

ไม่นานนักเรื่องน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น

ดาบยาวได้ละลาย และเปลี่ยนเป็นของเหลวเหมือนเลือด จากนั้นมันก็กระจายออกหมือนกับหยดสีลงไปในแก้วน้ำ และวงเวทย์สองวงที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ลึกลับซับซ้อนก็ถูกสร้างขึ้น

ในเวลาเดียวกันกับที่ร่างยักษ์วิ่งผ่านวงเวทย์ทั้งสองเข้ามา ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ยกมือขึ้นสูง

“จงมา อาณาจักรแห่งความปรารถนาทั้งหก!”

แคว๊กกกกกกก!

เสียงมิติถูกฉีกกระชากได้ดังออกมา ต่อจากนั้นวงเวทย์ที่กำลังหมุนปล่อยเลือดอยู่ได้เปล่งประกายสีเลือดอันน่ากลัวออกมา จากนั้นสายฟ้าสีเลือดก็พุ่งออกมาจากจุดยอดของหกแฉก

-กรรรรรรรรรรรรรรร

ในที่สุดแล้วยักษ์ที่พุ่งเข้ามาเหมือนกับกระทิงก็หยุดลง กระแสสายฟ้าสีเลือดได้เข้าปกคลุมร่างมันเอาไว้ และตัวมันก็เริ่มชักกระตุกราวกับถูกช็อต

“เฮือก!”

ในเวลาเดียวกันเลือดก็แทบจะทะลักออกมาจากริมฝีปากของความเมตตาอันบิดเบี้ยว

ในตอนนี้วงเวทย์ที่อยู่บนพื้นได้เปลี่ยนเป็นสีแดง แยกออกซ้ายขวาเหมือนมอนสเตอร์ที่กำลังอ้าปาก และมันได้เริ่มดูดยักษ์เข้าไปเหมือนหลุมดำ

-กรรรรรรรรรร!

ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้พยายามดิ้นรน แต่ว่าขาของมันได้ถูกดูดเข้าไปแล้ว

“ฮ่าาาาห์!”

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวยังคงเพิ่มพลังใส่เข้าไปอีกอย่างสุดกำลัง

“กลับไปมิติวิญญาณซะเจ้าตัวน่ารังเกียจ!”

ในที่สุดแล้ววงเวทย์ก็ได้กลืนร่างยักษ์ไปกว่าครึ่ง ที่สำคัญไปกว่านั้นคือหลุมดำได้ดูดเข้าไปเพียงแค่ความมืดภายในเท่านั้น

จริงๆแล้วสิ่งที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวกำลังทำอยู่คือการฝืนบังคับแยกพลังสองอย่างออกจากในตัวความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง

การเปิดอาณาจักรแห่งความปรารถนาทั้งหกที่ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเทพสวรรค์ระดับหกเพื่อดักจับพลังแห่งเทพ และจากนั้นก็เปิดประตูอาณาจักรภูติเพื่อทำให้ภูติปีศาจกลับคืนสู่ร่างจริง ด้วยแบบนี้พลังแห่งเทพที่สูญเสียที่อยู่ก็น่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมไปเอง

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเดาถูก

เมื่อความมืดถูกดูดเข้าไปจนหมด ออร่าพลังรุนแรงของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็ค่อยๆลดลงไปอย่างรวดเร็ว มันได้เล็กลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งเหลือเพียงวัตถุทรงกลมเล็กๆที่ตกอยู่กับพื้น

จากนั้นความเมตตาอันบิดเบี้ยวถึงได้ลดมือลง

และเพราะแบบนี้ทำให้วงเวทย์หายไปหลงเหลือไว้เพียงความเงียบกริบ นอกจากนี้แล้วก็มีเพียงกองขี้เถ้าเท่านั้น

นี่มันเหมือนเป็นภาพที่เกิดขึ้นจากสงครามนิวเคลียร์อย่างแท้จริง

‘ไม่มีทาง…’

ซอลจีฮูอ้าปากค้างออกมา

ระหว่างดูการต่อสู้ เขาก็รู้สึกคาดหวังอยู่เล็กน้อย แต่แล้วความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็ถูกกำจัด และกลับสู่ต้นดำเนิด

ในท้ายที่สุดความเมตตาอันบิดเบี้ยวคือผู้ชนะ

แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเช่นเดียวกัน

“กรอด!”

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เซไปมาก่อนที่สุดท้ายจะทรุดตัวลงไปคุกเข่า ร่างกายของเธออยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างหนัก เลือดกำลังไหลออกมาจากทุกๆส่วนบนร่างกายเธอ

นอกไปจากนี้ผิวของเธอยังแตกแห้งออกมาจนทำให้เธอดูเหมือนเป็นกองเลือด

แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เธอได้ยืมพลังของอาณาจักรแห่งความปรารถนาทั้งหก ซึ่งเป็นหนึ่งในสามอาณาจักรสังสารวัฏมา และยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ยังฝืนเปิดมิติวิญญาณ

แต่ล่ะอย่างต่างก็เป็นเวทย์ที่เหนือไปกว่าเวทมนต์ระดับยิ่งใหญ่ เพราะงั้นแม้แต่ตัวตนระดับเธอก็ไม่อาจจะเมินเฉยต่อผลย้อนกลับได้

แน่นอนว่านับตั้งแต่ที่เธอตัดสินใจใช้วิธีนี้ เธอก็เตรียมรับผลกระทบไว้แล้ว

“…ฮ่าห์”

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เช็ดเลือดออกจากปากด้วยสีหน้าขมขื่น

‘การที่ฉันถูกกดดันมาถึงขนาดนี้…’

จากสถานการณ์ปัจจุบันของเธอ เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเลย

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวคือใครกัน?

เธอคือผู้บัญชาการกองทัพเพียงคนเดียวที่ราชินีปรสิตก็ยังให้ความเคารพ! เป็นตัวตนที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้บัญชาการกองทัพ นับตั้งแต่เกิดเธอก็อยู่คนล่ะระดับกับคนอื่นๆแล้ว

เธอคือสมาชิกของเผ่ามังกร เป็นเผ่าพันธุ์ครึ่งเทพเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล แม้กระทั่งในหมู่มังกรในพาราไดซ์ เธอก็ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดจนเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย

‘แล้วมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง…?’

แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เธอก็ยังประเมินร่างกายตัวเองอย่างสงบ

‘ด้วยร่างกายแบบนี้ มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะยุ่งอะไรกับอาณาจักรภูติ’

หรือก็คือเธอต้องเลือกสองทางเลือก หนึ่งคือหันหลังกลับไปทำลายต้นไม้โลกก่อนที่มันจะโตขึ้น และหลบหนี

สองคนฆ่าทีมปฏิบัติการโดยไม่สนใจต้นไม้โลก ไม่สิ แค่ฆ่าซอลจีฮูก็พอแล้ว

เธอไม่ต้องคิดให้นานเลย

หลังจากฝืนยืนกลับขึ้นมา เธอก็จ้องซอลจีฮูที่กำลังจ้องเธอกลับมาจากไกลๆ เธอรู้ว่าการทำลายต้นไม้โลกจะช่วยในการพังป้อมปราการไทกอล

ยังไงก็ตามความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ตัดสินใจแล้วว่าซอลจีฮูมีคุณค่าที่มากยิ่งกว่าต้นไม้โลก

จริงๆเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม

แต่การได้มาสู้กับเขาในวันนี้ ทำให้เธอมั่นใจได้หนึ่งเรื่อง

หากว่าเธอปล่อยชายคนนี้ไปล่ะ?

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเม้มปากแน่น

เธอไม่อาจจะคาดการได้เลยว่าในอนาคตเราจะอยู่ในระดับไหน และเขาจะมีอิทธิพลต่อแผนการของปรสิตมากน้อยขนาดไหนกัน

เพราะงั้นแล้วเธอจึงตัดสินใจ ยังไงก็ตามเธอก็ยังคงลังเลอยู่

เธอได้เผยไพ่ตายออกไปเกือบหมดแล้ว ถึงจะยังมีไพ่ตายใบสุดท้ายอยู่ แต่การใช้มันก็จะเท่ากับว่าเธอไม่หลงเหลืออะไรที่เก็บซ่อนไว้อีกแล้ว

หากว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อีก…

‘ไม่’

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวกัดฟันสบัดความกังวลออกไป

‘ข้าต้องต้องเขา ไม่ว่ายังไงนี่คือตัวเลือกที่ถูกต้อง’

เธอรู้สึกอย่างรุนแรงว่าการปล่อยให้ชายคนนี้ไปเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่มั่นใจแล้วได้กางปีกขึ้น

ซอลจีฮูที่เห็นเธอค่อยๆบินขึ้นมาได้สงบลมหายใจลง

“ข้าขอยอมรับ”

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ไกลออกไป แต่เสียงของเธอก็ส่งไปถึงอย่างชัดเจน

“ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะถูกกดดันจนถึงขนาดนี้ เพราะงั้นพวกเจ้าควรจะภูมิใจ”

ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น

‘ภูมิใจงั้นเหรอ?’

พูดตามตรงแล้วทีมปฏิบัติการก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก พวกเขาต่างก็ถึงขีดจำกัดต้องแต่ตอนที่ปราบยูนิคอร์นได้แล้ว หรือก็คือการต่อสู้กับความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เกินกว่าขีดจำกัดพวกเขาไปแล้ว

แต่ถึงแม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพอิดโรย แต่สถานการณ์ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก

ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้ซื้อเวลาให้พวกเขาอย่างเหลือเฟอ และมันชัดเจนมากว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนะ อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะสามารถฆ่าเธอได้อีกคน

นี่คือสิ่งที่ซอลจีฮูคิด

“เกิดอะไรขึ้น?”

แต่แล้วเสียงร่าเริงก็ดังขึ้น

“เจ้าคิดว่ามีแต่เจ้าที่มีไพ่ตายงั้นเหรอ?”

‘อะไรนะ?’

ซอลจีฮูเบิกตาโพลง จากนั้นเอง

ซ่าาาห์! แสงเจิดจ้าได้เปล่งขึ้นมาจากบนท้องฟ้า

ทั้งร่างของความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ถูกล้อมไปด้วยแสงสว่าง ยังไงก็ตามคราวนี้มันต่างไปจากของความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง แสงเจิดจ้าที่เกิดขึ้นนั้นสงบนิ่งไร้ซึ่งเสียงใดๆ

นี่มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวสามารถควบคุมพลังของเธอได้อย่างสมบูรณ์

รูปร่างสุดท้ายนั่นก็คือมังกรกระดูก

จากหัวถึงหางของมังกรที่ยาวเกือบ 10 เมตรล้วนเป็นกระดูก

“ชะ เชี้ย! ปลดผนึกพลังเทพอีกคน!?”

มาเลียสบถขึ้น

เธอทั้งพูดถูกและผิดในเวลาเดียวกัน นั่นก็เพราะความเมตตาอันบิดเบี้ยวควบคุมพลังเทพของเธอได้อยู่แล้ว การปลดผนึกพลังไม่ได้ทำให้ความเป็นเทพของเธอพุ่งสูงขึ้น

แต่ว่าเธอได้เผยร่างที่แท้จริงออกมาจริงๆแล้ว

แม้ว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวจะสู้ด้วยร่างมนุษย์มาตลอด แต่ว่าร่างที่แท้จริงของเธอคือมังกร

มนุษย์และมังกรมีโครงสร้างพื้นฐานทางร่างกายที่ต่างกัน ในตอนนี้เปลี่ยนร่างไป มันจึงเป็นธรรมดาที่พลังที่ออกมาจากเธอจะเปลี่ยนตามไปด้วย

-กรรรรรรร!

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเงยหน้าขึ้นคำรามออกมา

มังกรคำราม นี่คือความสามารถที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเชื่อฟัง

“อึก!”

“กรอดดด!”

สมาชิกทีมปฏิบัติการได้ปิดหูลงเมื่อทั้งโลกดูเหมือนจะคำรามใส่พวกเขา ในท้ายที่สุดหลังจากดิ้นรนอยู่นานพวกเขาก็ต้องล้มลงไป

ต่อจากนั้นดวงตากลวงของมังกรกระดูกก็เป็นประกายขึ้น

“อ๊ากกกกกก!”

ฟิลิป มูเลอร์ที่เตรียมตัวจะใช้การเทเลพอตได้กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“คุณฟิลิป มูเลอร์!”

ซอลจีฮูเรียกออกมาด้วยสีหน้าหม่นมอง แต่ก็ไม่มีอะไรี่เขาทำได้ ฟิลิป มูเลอร์กำลังล้มชักอยู่กับพื้นพร้อมสายฟ้าสีเลือด

แต่นั่นก็ยังไม่จบ เมื่อมองย้อนกลับไปซอลจีฮูก็รู้สึกได้ถึงพลังอันน่ากลัวถูกรวบรวมไว้อยู่

มังกรที่กำลังบินได้อ้าปากกว้างใส่ทีมปฏิบัติการอยู่ ภายในปากของมันมีลูกบอลแสงทรงกลมถูกบีบอัดเอาไว้แน่น

กว่าซอลจีฮูจะได้รู้ตัวนี้…

-นั่นมัน!

ฟิ้วววววววววว!

เส้นลำแสงขนาดใหญ่ได้ยิงออกมาจากปากของมังกรกระดูกไปแล้ว

แม้ว่าลำแสงจะไม่ได้สัมผัสโดนพื้น แต่ในทุกๆจุดที่ลำแสงผ่านไปต่างก็ลุกขึ้นเป็นไฟกองใหญ่ เพลิงมังกรได้พุ่งเข้าหาทีมปฏิบัติการราวกับจะเผาพวกเขาไปพร้อมๆกันกับพื้นที่โดยรอบ

ลำแสงนี้ได้พุ่งผ่านระยะหลายร้อยเมตรเข้ามาในทันที

ซอลจีฮูยังไม่ได้ทันแม้แต่จะคิดหลบด้วยซ้ำ

ซอยูฮุยได้กระโดดเข้ามาขวางหน้าเขาไว้ และสร้างบาเรียขึ้น

“ไม่นะ!”

และแบคแฮจูได้เข้ามากอดเขาเอาไว้

ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกตัวถึงอย่างอื่นเลย

เขาเพียงแค่มองขึ้นไปยังลำแสงที่กำลังพุ่งเข้ามา

จากนั้นเอง

วูบบบ!

สายลมรุนแรงได้พุ่งเข้ามา

ผมด้านหน้าของเขาได้ปลิวกระทบกับเปลือกตาอย่างรุนแรง

ต่อจากนั้นมีบางอย่างกระโดดผ่านไปจากไหล่เขา

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ต้องตกใจ

เขาแค่กระพริบตาครั้งเดียวเท่านั้น

แต่แล้วกลับมีบางอย่างมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา

แม้ว่ามันจะโปร่งแสงไป แต่หากเขามองไม่ผิด มันก็คือลูกเจี๊ยบ

ใช่แล้วลูกเจี๊ยบได้บินผ่านซอยูฮุยไป

‘นาย…’

ลำแสงกำลังใกล้เข้ามา ลูกเจี๊ยบที่เผชิญหน้ากับเพลิงทำลายล้างนี้ได้กางปีกเล็กๆขึ้น

ในเวลาเดียวกันแสงห้าสีก็ย้อมร่างกายเล็กๆของมัน และมันได้เปิดจงอยปากเล็กๆขึ้น

“แกว๊กกกกกก!”

ลูกเจี๊ยบร่างโปร่งแสงได้คำรามขึ้น