บทที่ 336 – เครื่องมืออันบิดเบี้ยว
แทบจะทันทีที่ลำแสงมาอยู่ตรงหน้าเขา ซอลจีฮูก็หลับตาลง เสียงประกายไฟได้ดังขึ้นอยู่ข้างหูเขาจนเขาได้ยินเพียงแต่เสียงนี้เท่านั้น
ไม่นานนักซอลจีฮูก็ลืมตาขึ้น ก่อนที่จะเบิกตากว้าง
ซ่าาาาห์!
ลมหายใจเพลิงจากมังกรยังคงถูกยิงออกมาอยู่ แต่ว่ามันกลับมาไม่ถึงทีมปฏิบัติการ
สูงประมาณแปดเมตรได้ ร่างกายส่วนบนรวมถึงคอของมันยาวเหมือนกับเป็นยีราฟ และช่วงร่างเพรียวบางเหมือนกลาง นอกจากนี้ยังมีขนหางห้าสีที่ยืดยาวออกมาเหมือนเป็นหางนกยูง และมันยังมีจงอยปากที่เหมือนกับไก่
นี่คือนกอันงดงาม และสูงส่งคล้ายกับฟินิกซ์ มันได้กางปีกออกมาป้องกันลมหายใจเพลิงเอาไว้แทนพวกเขา
“พวกเราถอย!”
ในตอนนั้นเองเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นข้างหูพวกเขา
“ขอโทษที่มาช้า! แต่ว่าเราก็รีบกลับมาที่สุดแล้ว…!”
มาแชล จิโอเนียได้เท้าเข่าหอบหายใจออกมา
นี่มันหมายความว่า
‘ลูกเจี๊ยบ?’
ซอลจีฮูรู้สึกสับสนมาก
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็เป็นเช่นเดียวกัน เธอกำลังกระพือปีกกระดูกมองมาอย่างประหลาดใจ
-นี่มันใครกัน…
สถานการณ์นี่มันน่าขันมากไปแล้ว
เมื่อรู้ตัวว่าการจับปลาสองมือมันยากเกินไป เธอก็ได้เลือกจัดการกับซอลจีฮูแทน ถึงการโจมตีของเธอมันจะเร่งรีบไปหน่อย แต่เธอก็ควรจะทำสำเร็จแล้ว
-…
ยังไงก็ตามแค่ในวินาทีสุดท้ายนกผอมแห้งก็โผล่เข้ามาขว้างเอาไว้ซะก่อน
-บะ…
เรื่องทำนองนี้ได้เกิดขึ้นซ้ำๆหลายครั้งแล้ว มันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น?
-บ้าอะไรเนี้ย…
ในตอนนี้เองเธอก็เริ่มสงสัยแล้วว่าโลกนี้ที่มีชื่อว่าพาราไดซ์กำลังเข้าข้างชายคนนี้อยู่หรือเปล่า
เธอตกตะลึงจนหยุดลมหายใจเพลิงลงไปโดยไม่รู้ตัว
ศัตรูยังคงอยู่ในสภาพปกติดี แม้ว่าครึ่งร่างของมันจะถูกย้อมไปด้วยสีของเพลิง แต่สีนั่นก็ค่อยๆถูกกลืนกินลงไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นดวงตาของนกฟินิกส์ก็กลับมาเป็นเฉียบคมขึ้นในพริบตา มันได้กระพือปีกพุ่งเข้าใส่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวอย่างดุดัน
-กรอด!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้แต่ฝืนใจยอมรับการท้าทาย และเข้าปะทะกันอยู่กลางอากาศ
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่ได้บินขึ้นสูง และปล่อยลมหายใจเพลิงออกมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันเธอก็ลดระดับลง และทุบลงไปที่ฟินิกซ์อีกด้วย
คลื่นนนน
ผืนดินได้ถูกแรงกระแทกบดขยี้อย่างหนัก
ยังไงก็ตามถึงแม้ว่าจะทุบฟินิกซ์ลงไปได้สำเร็จ แต่ว่าเธอก็รู้สึกว่าขาของเธอร้อนขึ้น
เธอไม่ได้คิดไปเอง คอยาวที่เหมือนยีราฟของนกฟินิกซ์ได้ยื่นออกมาเผชิญหน้ากับความเมตตาอันบิดเบี้ยว มันได้อ้าปากปล่อยคลื่นเพลิงสีแดงเจิดจ้าออกมาจากจงอยปาก
-!?
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวตกใจมาก กระดูกของเธอที่ถูกเพลิงปกคลุมกำลังปล่อยควันสีขาวพร้อมละลายลง
แม้ว่าเธอจะรีบพยายามดับเพลิงพวกนั้นแล้ว แต่เพลิงก็กลับมาติดขึ้นอีกครั้งในทันที และสร้างความทรมานให้เธอไม่หยุด แม้ว่าเธอจะกลับมาร่างจริงในสภาพย่ำแย่ แต่นี่ก็ยังยากที่จะเชื่ออยู่ดี
-เจ้า…!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้รีบบินถอย และฟาดหางออกไปอย่างรุนแรง
[อึก!]
ฟินิกซ์ก็ร้องออกมาเช่นเดียวกัน แน่นอนอยู่แล้วว่ามันก็ไม่ได้อยู่นิ่งรับการโจมตีเท่านั้น
[มันเจ็บนะเจ้ากิ้งก่าปรสิต!]
มันได้กวัดแกว่งปีกที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงเข้าใส่ความเมตตาอันบิดเบี้ยว
ฉั๊วะ! ไอน้ำจำนวนหนึ่งได้ลอยออกมาจากกระดูกที่แตกหัก
-บ้าเอ้ย!
หลังจากต้องต่อสู้ระยะประชิดแบบนี้ ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ได้พ่นลมหายใจเพลิงออกมาอีกครั้ง และรีบบินขึ้นไป ในเวลาเดียวกันเธอก็เหลือบมองไปที่พื้นเพื่อหาวิธีจัดการซอลจีฮู ยังไงก็ตามในท้ายที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้
นั่นก็เพราะฟินิกซ์รู้ถึงความตั้งใจของเธอ และรีบขวางทางเธอเอาไว้ ที่แย่ไปกว่านั้นทีมปฏิบัติการก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ซอลจีฮูได้หลุดจากความสับสน และจัดกลุ่มเตรียมช่วยฟินิกซ์สู้
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่ตอนนี้ดูขมขื่น และโกรธแค้นได้จ้องนกฟินิกซ์อย่างอาฆาต
แต่ว่าเธอก็ยอมรับความจริง นกแปลกๆนี่ไม่ใช่สัตว์ภูติทั่วไป อย่างน้อยจากการปะทะกันสั้นๆเธอก็บอกได้แบบนี้
คุณสมบัติความเป็นอมตะก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือพลังของมันเป็นขั้วตรงข้ามกับของเธอ
การจะเปลี่ยนเป็นมังกรกระดูกได้ต้องผ่านขั้นตอนการยอมรับพลังปีศาจ นกฟินิกซ์จึงแทบจะเป็นคู่ปรับของเธออย่างสมบูรณ์แบบ
หากว่าเธอต้องสู้กับฟินิกซ์ในสภาพปกติมันก็คงจะเป็นอีกเรื่อง แต่ยังไงก็ตามในตอนนี้เธออยู่ในสภาพย่ำแย่ทำให้ไม่อาจจะจบการต่อสู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่บินหลบคลื่นเพลงอีกครั้งได้เริ่มคิดถอยโดยไม่รู้ตัว เมื่อคิดแบบนี้แล้วเธอก็กัดฟันแน่นอย่างขมขื่น แต่นี่มันคือความเป็นจริง
ในตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่เธอมั่นใจได้ นั่นก็คือจากการปรากฏตัวของนกฟินิกซ์ทำให้กำลังรบของฝ่ายตรงข้ามเหนือกว่าเธอไปแล้ว
หากเป็นวันอื่นเธอคงจะเลือกหนีโดยไม่คิดซ้ำเลย แต่เหตุผลที่เธอยังอยู่ตรงนี้เพียงเพราะชายคนหนึ่งที่เธอเข้าไม่ถึงตัว นั่นก็เพราะเธอไม่อยากจะเชื่อ
-กรอด!
ฉันต้องหนีโดยที่ทำอะไรไม่สำเร็จเลยงั้นเหรอ?
นี่มันจริงงั้นเหรอ?
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่ไม่อาจจะสลัดความเสียใจไป ได้แต่บินวนไปมา และมองกลับไปที่ซอลจีฮู
การพลิกกระดานในช่วงเวลาสำคัญเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ แม้ว่าในไม่กี่วินาทีจะยังปกติ แต่หากมีช่องว่างสักเล็กน้อยปรากฏขึ้น เธอก็สามารถจะหาโอกาสเข้าโจมตีใส่ซอลจีฮูได้
จากนั้น
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่ตั้งสมาธิหลบการโจมตีของฟินิกซ์ และมองไปที่พื้น จู่ๆก็ต้องชะงักไป
นั่นก็เพราะร่างกายของเธอสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมของพลังงานที่มาจากไกลออกไป
พลังน่าสะพรึงที่เทียบได้กับเทพกำลังคืบคลานเข้ามาราวกับยืนยันความเป็นเจ้าของดั้งเดิมของที่นี่
ปรากฏการณ์นี้ตีความได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
-อ่า…!
ต้นไม้โลกได้คืนชีพขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว พูดตามตรงมันก็น่าจะโตขึ้นจนถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว
เพื่อกำจัดความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็ทำให้เธอต้องเจอกับอันตรายมากมายแล้ว และเพราะแบบนี้ทำให้เธอไม่อาจจะทำอะไรกับฟินิกซ์ได้ และทำได้แค่หลบการโจมตีเท่านั้น
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เนื่องจากต้นไม้โลกได้พลังกลับมาแล้ว ราชาภูติ และเหล่าภูติที่เหลือก็น่าจะใกล้ฟื้นฟูพลังกลับมาได้แล้ว
เมื่อความเมตตาอันบิดเบี้ยวคิดมาถึงจุดนี้ เธอก็ตัดสินใจได้ในทันที
ถอย
เมื่อสิ่งต่างๆมาถึงจุดนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิดแล้ว หากเธอยังลังเลอยู่อีก การหลบหนีก็จะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกต่อไปเพราะต้นไม้โลกจะเข้าขัดขวางเธอหลังจากยึดครองการควบคุมโลกใบนี้กลับมาได้
-ย๊ากกกกกกกกก!
และดังนั้นเธอได้ดึงพลังออกมาเพื่อเปิดประตูไปสู่พาราไดซ์ แต่เธอก็ต้องสะดุ้งขึ้นอีก จู่ๆความคิดหนึ่งก็เข้ามาในหัวเธอ
-อ่า!
พอมาคิดดูแล้วมีเรื่องหนึ่งที่เธอต้องทำ ใช่แล้ว เธอล้มเหลวในการพิชิตอาณาจักรภูติ เธอล้มเหลวในการฆ่าหรือกระทั่งหยุดซอลจีฮู แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ต้องเอาพลังเทพของความสงบนิ่งกลับมาให้ได้
หากไม่เช่นนั้นเธอก็คงไม่มีหน้าไปพบราชินีปรสิตอีก
-อ๊าา…! ตายไปแล้วยังจะสร้างภาระอีก!!!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้กัดฟันแน่นเมื่อนึกถึงความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง
-บ้าเอ้ย! บ้าเอ้ย!
ในอีกด้านหนึ่งเธอก็โทษตัวเองที่ไม่ยอมฆ่าซอลจีฮูในตอนที่ยังมีโอกาส
ทั้งๆที่ในจุดนั้นเธออยู่ในจุดที่ได้เปรียบอย่างมาก หากว่าเรื่องนี้เธอยังทำได้ไม่สำเร็จอีก มันก็คงจะบ้ามาก และดังนั้นเธอจึงพุ่งดิ่งลงไปหาพลังเทพของความสงบนิ่งอย่างสุดกำลัง
ซอลจีฮูที่มองตามความเมตตาอันบิดเบี้ยวขมวดคิ้วขึ้น ก่อนหน้านี้เธอดูเหมือนจะพุ่งเป้ามาที่เขา แต่ตนนี้จู่ๆเธอกลับพุ่งไปในทางตรงกันข้าม
‘…หืม?’
หลังจากมองตามทางที่เธอบินไปแล้ว ซอลจีฮูก็ต้องเบิกตากว้าง
นั่นคือจุดที่ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งตายลง
ที่จุดนั้นมีแสงบางอย่างส่องประกายบริสุทธิ์ออกมาอยู่
มันเจิดจ้ามากจนต่อให้อยู่ไกลพวกเขาก็ยังมองเห็นได้ชัด
แทบจะในทันทีนั้น…
“หยุดเธอ!!!”
ซอลจีฮูตะโกนขึ้นสุดเสียง และถึงขนาดใช้งานต่างหูเฟสติน่า
ไม่ว่าจะยังไงเขารู้สึกว่าต้องหยุดเธอเอาไว้
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ต่างหูเฟสติน่าถึงสามครั้งแล้ว เขาก็ยังไล่ตามความเร็วของความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่บินเต็มกำลังไม่ทัน ระยะห่างมีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ยังไงก็ตามในตอนนั้นเองใ..
คลื่นนนน!
แสงแห่งรุ่งอรุณได้แหวกท้องฟ้าออกจากกัน ภายในช่องว่างนั้นได้มีกลุ่มแสงแพรวพราวปรากฏขึ้น
ระดับ 8 นักบุญอเธร่า – บทสวดส่งแห่งดวงดาว
แสงดาวที่ถูกซอยูฮุยอัญเชิญขึ้นได้ตกลงมาเหมือนฝนอุกาบาต ฝนแสงดาวนี้ได้หล่นขวางทางความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้อย่างพอดี
จะฝ่าไปหรือหันหลังกลับ?
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เลือกอย่างแรก
เธอได้พุ่งฝ่าแสงดาวไปโดยใช้พลังเวทย์ป้องกันตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด
-กรอดดดด!!!
ทุกครั้งที่ถูกแสงดาวกระทบร่างจะทำให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนกระดูกแหลกละเอียด แต่ว่าเธอก็กัดฟันทนบินต่อไป ยังไงก็ตามความเร็วของเธอก็ยังช้าลงมากอยู่ดี
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้คำรามเอื้อมมือออกไป
วูมมม!
จากนั้นเองมิติตรงหน้าพลังเทพของความสงบนิ่งก็แหวกออก และเผยให้เห็นความมืดอันว่างเปล่า
แผนของเธอนั้นเรียบง่ายมาก เธอจะไปตามทางต่อเพื่อรับเอาพลังเทพของความสงบนิ่ง และจากนั้นก็หนีไปจากโลกใบนี้ในทันที
-อีกแค่นิดเดียว…!
เมื่อเห็นความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งกำลังจะฝ่าแสงดาวไปได้ ซอลจีฮูก็เพ่งตาเขม็ง
“ได้โปรด…!”
เขาได้หยุดขาที่วิ่งสุดกำลัง และเปลี่ยนเป็นขวางหอกพิสุจน์ออกไปอย่างสุดกำลังแทน
-!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่สัมผัสได้ถึงหอกที่พุ่งเข้ามาได้รีบบิดตัวหลบ เนื่องจากนี่ไม่ใช่การโจมตีเชิงพื้นที่แบบบทสวดส่งแห่งดวงดาว เธอจึงต้องเลือกว่าจะหลบหรือเสี่ยง
วูมมม!
สิ่งที่เธอคิดคือหอกพิสุจน์จะพุ่งผ่านเธอไปอย่างฉิวเฉียด ยังไงก็ตามในจังหวะที่เธอเอียงตัว หอกสีเขียวก็ได้ลอยเข้ามาปักปีกของเธอ
-อ๊ากกก!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
คนที่ขว้างหอกมาก็คือแบคแฮจู หลังจากที่เธอเห็นซอลจีฮูขว้างหอก เธอก็ได้คาดเดาการเคลื่อนไหวของความเมตตาอันบิดเบี้ยว และขว้างหอกออกไปหลังจากที่คำนวณทั้งหมดนั่นในเสี้ยววินาที
ผลที่ได้คือทำให้ปีกของความเมตตาอันบิดเบี้ยวขาด และตัวเธอก็เอียงไปด้านข้างอย่างรุนแรง
ฟินิกซ์ที่รีบไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่งก็ไม่ยอมพลาดในโอกาสนี้ มันได้ร่อนลงไปกระแทกใส่มังกรกระดูก
เหมือนอย่างที่เธอเคยทำกับมัน
[ลองเอาคืนไปดูบ้าง!]
-อึกกก!
หอกที่ลอบโจมตีเข้ามานี้ส่งผลกระทบกับเธออย่างมาก ไม่เพียงแต่จะทำให้เธอตกลงพื้นเท่านั้น แต่ยังมีตัวน่ารำคาญเข้ามาก่อกวนเธออีกด้วย ถึงเธอจะยังไม่ได้ยืนยัน แต่ก็มีด้ายพลังศักดิ์สิทธิ์พันขาเธอเอาไว้แล้ว
ทั้งทีมปฏิบัติการต่างก็ทำทุกวิธีเพื่อหยุดเธอ
“อย่าปล่อยให้เธอได้มันไป!”
ซอลจีฮูที่ตามมาช้าได้ตะโกนบอกกับนักธนูที่วิ่งแซงเขาไป
เมื่อได้ยินแบบนี้ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็เริ่มหมดความอดทน
-กรรรรรรรรร!
เธอพยายามดิ้นรนสะบัดให้หลุดจากการโจมตีของฟินิกซ์อย่างบ้าคลั่ง และลุกขึ้น เธอคิดที่จะรีบมุ่งหน้าไปรับพลังเทพเพราะไม่มีเวลามาจัดการกับศัตรูแล้ว ยังไงก็ตาม…
-อะไรกัน!?
สิ่งที่เธอเห็นก็คือหอกพิสุจน์กำลังตีวงโค้งกลับมาหาเธอ
ผั๊วะ! หัวของความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่กระแทกเข้ากับตัวหอกได้เอียงไปด้านหลังอย่างหนัก
-อึก!
แต่ถึงจะอยู่ในสภาพนี้เธอก็ยังพยายามจะพุ่งต่อไป แต่ขาเธอกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง แอ็กเนสได้พยายามดึงด้ายที่มัดขามังกรกระดูกเอาไว้อย่างสุดกำลัง
แต่แน่นอนว่านั่นก็ยังไม่พอจะหยุดความเมตตาอันบิดเบี้ยว โดยเฉพาะเรื่องความต่างของน้ำหนัก และพลังของทั้งคู่ แต่นั่นก็พอจะถ่วงเวลาได้บ้าง
-อ๊าาาาาาาาา
ตึด ตึด! เธอได้ใช้พลังดึงด้ายจนขาดก่อนจะฝืนวิ่งต่อไป เธอยังรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่หลังมากมาย แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป เมื่อมาถึงพลังเทพที่ส่องประกายแล้ว เธอก็รีบกระโจนไปด้านหน้าอย่างสุดกำลัง
-เกือบ… ถึงแล้ว…!
และในวินาทีนั้นเองก่อนที่ปลายนิ้วเธอจะสัมผัสแสง…
“ไฮย่าาห์!”
บางอย่างได้แทรกเข้ามา และปัดมือเธอออกไปเหมือนกับเป็นพายุ
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้กำมืด และปัดพายุขนาดจิ๋วนี้ออกไปพร้อมๆกัน
-อ๊า…!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่คิดจะข้ามผ่านมิติช่องว่างไปด้วยแรงเฉื่อยได้ชะงักไปในวินาทีสุดท้าย
เมื่อรีบมองย้อนกลับไป เธอก็ได้เห็นหญิงสาวผมบ็อบกลิ้งตัวออกไปไกล
“ฮ่าฮ่า! น่าตื่นเต้นสุดๆ!”
นักธนูระดับ 6 โฮชิโนะ อุราระ
เธอได้ตีลังกาขึ้น และตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในกำมือของเธอ มีบางอย่างบนฝ่ามือเธอกำลังส่องประกายอยู่
เมื่อเห็นแบบนี้เธอก็ยิ้มกว้างขึ้น และหันมายกนิ้วโป้งให้มังกรกระดูกที่สับสน
จากนั้นเธอก็พูดอย่างเคร่งขรึม
“เกือบไปแล้วนะ ท่านเทพเจ้ามังกร”
-เจ้า…
“แต่ผู้ชนะก็คือออ… โฮชิโนะเองค่าาา!”
จากนั้นเธอก็ยกมือ และเหลือบตามองมา
“…อยากได้เหรอ?”
-สะ ส่งมันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเผลอตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ไม่นะ!”
แต่โฮชิโนะ อุราระก็เบะปากขึ้น
เธอได้เหลือบตาล้อเลียนราวกับจะอวดสิ่งที่เธอถืออยู่
“ฉันฉกมาล่ะ~ ฉันฉกมาได้ด้วยล่ะ~”
ดวงตาความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ถลนขึ้น
“เธอหยิบไม่ทัน~ หยิบไม่ทันล่ะ~”
โฮชิโนะ อุราระได้เริ่มกระโดดเต้นกระต่ายขาเดียว
-ยัยนี่…!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ระเบิดความโกรธออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ทุกโค้นน! ดูนี่สิ ดูสิ! กิ้งก่ากระดูกกำลังโกรธด้วยล่ะ!”
โฮชิโนะได้หมุนตัววิ่งหนีไปพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่อาจจะควบคุมความโกรธได้อีก และอยากจะไล่ตามเธอไป เธอจะไม่มีทางพอใจจนกว่าจะได้รับพลังเทพของความสงบนิ่งคืน และได้กินเลือดของยัยบ้านั่น!
แคร๊กกก!
หากว่าไม่ได้มีเสียงของมิติที่บิดเบี้ยวมาขัดเธอไว้ เธอคงจะทำมันไปแล้วจริงๆ
เมื่อมองย้อนกลับไปความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ต้องกัดฟันแน่น ประตูที่เธอฝืนเปิดขึ้นกำลังสะเทือน และปิดตัวลง
-ต้นไม้โลก…!
นกฟินิกซ์ และทีมปฏิบัติการที่เหลือก็กำลังล้อมเธอเข้ามาจากทุกด้าน
ในตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาสนใจกับยัยบ้าคนเดียวแล้ว
-อ๊ากกกกกกกกกกกก!
ในท้ายที่สุดเธอได้ระเบิดความอึดอัดใจออกมา ก่อนจะทิ้งตัวเข้าไปในประตูมิติที่กำลังปิดตัวลง
“อ่า เดี๋ยวก่อนสิ! มานี่ก่อน! ฉันก็แค่เล่นด้วยเท่านั้นเอง! มาเอาไปสิ!”
โฮชิโนะ อุราระได้แหย่เธออีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่ตกหลุมพรางแล้ว
-ข้าจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้! ไม่มีวัน!
เธอได้รีบเข้าไปในประตูมิติ
-โดยเฉพาะเจ้า…!
หลังทิ้งคำพูดสุดท้ายไป เธอก็หายไป
ในเวลาเดียวกันรอยแยกมิติก็ถูกปิดลงจนสนิท
และดังนั้นแล้วผู้บัญชาการกองทัพสองคนที่เกือบจะทำลายอาณาจักรภูติได้ก็หายไป
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งถูกกำจัด และผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ด ความเมตตาอันบิดเบี้ยวถอนตัว
ดังนั้นแล้วฟันเฝืองแห่งโชคชะตาที่จะทำให้แผนของราชินีปรสิตสำเร็จก็ได้คลาดเคลื่อนออกไปเป็นครั้งที่สอง
***
ในเวลาเดียวกัน
[?]
ราชินีปรสิตที่นั่งมองสงครามที่ป้อมปราการไทกอลจากบนบัลลังก์ได้ผงะไป
[อะไรกัน?]
ทั้งร่างเธอรู้สึกไม่ดีขึ้น ราชินีปรสิตที่ไม่ละสายตาไปจากภาพฉายตรงหน้าได้เอียงหัวขึ้นเป็นครั้งแรก
[อย่าบอกนะว่า…]
เมื่อมองขึ้นไปฟากฟ้าอันไกลโพ้น สีหน้าเธอก็หมองลง
มีเหตุผลที่ทำให้ราชินีปรสิตส่งความเมตตาอันบิดเบี้ยวไปที่อาณาจักรภูติ
นั่นก็เพราะเธอเป็นกังวล ต่อให้จะมีผู้บัญชาการกองทัพที่สี่อยู่ที่นั่นแล้ว แม้ว่าโอกาสมันจะน้อย แต่เธอก็อยากจะกำจัดตัวแปรที่อันตรายออกไปให้หมด
หากไม่นับรวมตัวเธอเอง ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเหมาะสมที่จะถูกเรียกว่าตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในพาราไดซ์มากที่สุด
เธอเชื่อว่าผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดน่าจะพอรับมือกับตัวแปรที่คาดไม่ถึงแล้ว
คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น
แต่เมื่อครู่นี้…
[…อะไรกัน]
สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ได้เกิดขึ้นแล้ว