บทที่ 337 – โลกเยือกแข็ง (1)
หลังจากความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้หลบหนีไป และรอยแยกมิติปิดตัวลง ทั่วทั้งอาณาจักรภูติก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ ทั้งโลกที่สั่นไหวก่อนหน้านี้ได้กลับเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีมาก่อน
แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา พวกเขาเอาแต่จ้องไปในจุดที่ผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดหายตัวไปด้วยสีหน้าสับสน
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
ในตอนที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวปรากฏตัว พวกเขาก็แทบจะยอมแพ้กันไปแล้ว แม้ว่าทุกๆคนจะก้าวข้ามขีดจำกัด และสู้ด้วยทุกอย่างที่มี แต่ส่วนหนึ่งในใจพวกเขาก็ได้ยอมแพ้ลงไปแล้ว
ซอลจีฮูก็เป็นเช่นเดียวกัน
นอกเหนือความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งแล้ว เพียงแค่พลังของความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็มากพอที่จะทำให้พวกเขารู้แล้วว่าทำไมราชินีปรสิตถึงได้ส่งเธอมาที่นี่เพียงลำพัง
มันเป็นการต่อสู้ที่เขาน่าจะตายไปแล้วอย่างน้อยนับสิบครั้ง หากว่าเป็นการต่อสู้ตามปกติโดยไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว เขาก็จะไม่มีวันเอาชนะเธอได้เลย
การตื่นขึ้นของหอกพิสุจน์ ความสำเร็จในการชุบชีวิตต้นไม้โลกของมาแชล จิโอเนียกับลูกเจี๊ยบ สัญญาแห่งความสงบนิ่งที่บังคับให้ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งเปลี่ยนฝ่าย และการวิวัฒนาการของภูติอาร์คัส
หากขาดสิ่งเหล่านี้ไปสักอย่าง เขาก็คงต้องเจอกับจุดจบอันน่าสะพรึงแน่นอน
แต่สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือปรสิตได้พ่ายแพ้ และฝ่ายมนุษย์ยังรอดอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็คือผู้ชนะในท้ายที่สุด
ใช่แล้ว ทีมปฏิบัติการได้กลั้นหายใจเอาไว้ พวกเขาได้ผ่านเงื่อนไขแรกในการช่วยป้อมปราการไทกอลแล้ว
“ฟู่วว…”
โชฮงได้ปล่อยลมหายใจที่ฝืนกลั้นไว้ออกมา เธอได้ยกเลิกความสามารถจำแลงร่างนักบุญประจัญบานแล้วทำให้ผมสีเงินได้กลับมาเป็นสีดำตามปกติ
จากนั้นเมื่อโชฮงทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้น สมาชิกคนอื่นๆก็คลายความกังวลลง
“ฉันคิดว่าจะตายซะแล้ว…”
ฮิวโก้นอนหงายหน้าพึมพำอย่างไร้พลัง
“…ฉันรอด?”
โอราฮีพึมพำเบาๆในขณะที่ลูบคอ
มาเรียร้องขึ้น
“จบแล้วใช่ไหม? จบแล้วสินะ? ยัยนั่นจะไม่กลับมาใช่ไหม?”
ดวงตาของเธอแดงก่ำ และยังมีน้ำมูกไหลออกมาจากจมูกของเธอ
เธอได้รีบเข้าไปคว้าตัวคนที่ใกล้สุด และถามออกมา
ยังไงก็ตามไม่มีใครว่าอะไรเลย พวกเขาทุกคนต่างก็โล่งใจ และมีความสุขที่รอดชีวิต สิ่งที่ต่างกันก็คือวิธีที่แสดงออกมา
“โอ้ จริงสิ”
ในตอนนั้นเองออเดรย์ บาสเลอร์(แก้จากอูเดรย์ บาสเลอร์) ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้พลัง
“แล้วไอ้ที่เจ้ามังกกรนั่นอยากจะได้นักมันคืออะไร?”
คำพูดนี้ทำให้ทุกสายตาหันไปจับจ้องโฮชิโนะ อุราระ
“หืมม?”
โฮชิโนะ อุราระได้กลอกตามองไปรอบตัว จากนั้นก็กอดวัตถุส่องประกายในมือไว้แน่น
“ไม่นะ! นี่เป็นของฉัน!”
“?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมันก็ถูกเอาไปแล้วนะ ในเมื่อฉันฉกมันมาได้ มันก็ต้องเป็นของฉัน”
ขณะที่ทุกๆคนตกตะลึงกับความไร้ยางอายของเธอนี้เอง…
-นี่เธอจะบ้าเหรอ?
ลูกเจี๊ยบ ไม่สิ ภูติอาร์คัสในร่างนกฟินิกซ์ร้องออกมา
-เธอรู้ไหมว่านั่นมันคืออะไร!?
“ก็ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้มันเป็นของฉันนะ”
-นี่เธอ…! เธอคิดว่านี่มันน่าตลกนักเหรอ?
นกฟินิกซ์ตะคอก และเคลื่อนไหวในทันที มันได้อ้าปากงับโฮชิโนะ อุราระที่ยืนเท้าเอวอยู่
“หวาาาาา!”
โฮชิโนะ อุราระที่ถูกนกฟินิกซ์กลืนได้ลอยตัวขาชี้ฟ้าเหมือนกับปลาเกยตื้น
-ฉันกินเธอแน่!
“ขอโทษ! ฉันผิดไปแล้ว!”
-ส่งมันมาเดี๋ยวนี้!
“เอาไปเลยๆ! มันเป็นของนายแล้ว! หวาาา…!”
กว่านกฟินิกซ์จะปล่อยโฮชิโนะ อุราระลงก็จนกระทั่งเธอเริ่มมีน้ำตาแล้ว
โฮชิโนะ อุราระที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นพร้อมผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายได้ร้องไห้ยอมแพ้กับการยึดพลังเทพเอาไว้
ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็ได้รับมันมา และมองลงไปที่วัตถุเปล่งประกายในมือ
‘รู้สึกแปลกๆ…’
เขารู้สึกว่ามือเต็มไปด้วยความอบอุ่น มันเหมือนกับว่าเขากำลังสัมผัสกับกลุ่มพลังงานมากกว่าวัตถุ ในอีกด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานไร้ที่สิ้นสุดจากมัน
จะว่ายังไงดีล่ะ… แม้ว่ามันอาจจะฟังดูขัดแย้งกัน แต่ภายใต้กลุ่มแสงเล็กๆนี้ เขากลับรู้สึกได้ถึงจักรวาลอันกว้างใหญ่ มันเป็นพลังที่เกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์
‘นี่คือพลังความเป็นเทพ….’
“แบบนี้ก็… แค่กๆ!”
ฟิลิป มูเลอร์ที่ไอออกมาได้จ้องกลุ่มแสงเขม็ง หลังจากไอออกมาเป็นเลือดแล้ว เขาก็พูดต่อ
“นี่อาจจะนับได้ว่าเป็นความสำเร็จใหญ่สุดที่เราได้ทำในอาณาจักรภูติ…”
“ความสำเร็จใหญ่สุด?”
“นับจากนี้ไปเราก็สามารถจะเรียกเจ็ดกองทัพเป็นหกกองทัพได้แล้ว…”
ซอลจีฮูเหลือบมองไปด้านข้าง ความจริงแล้วเขาก็คิดทำนองเดียวกันกับฟิลิป มูเลอร์
“ฉันไม่เห็นพลังเทพของความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ในสงครามหุบเขา… คงมีหนึ่งในผู้บัญชาการกองทัพเก็บกลับไปได้…”
ถ้าแบบนี้การคาดการของกาเบรียลก็อาจจะเป็นจริง นี่เป็นโอกาสดีที่ราชินีปรสิตจะให้กำเนิดความหมั่นเพียรคนใหม่ด้วยพลังเทพที่ถูกนำกลับไป
แต่ในคราวนี้มันจะไม่เป็นแบบนั้น ทีมปฏิบัติการป้องกันไม่ให้ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเอาพลังเทพของความสงบนิ่งกลับไปได้สำเร็จ
หากไม่มีพลังเทพ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างผู้บัญชาการกองทัพคนใหม่ขึ้น
หรือก็คือกำลังหลักของปรสิตจะต้องสูญเสียกำลังลงไปกว่า 15%
“พวกเราต้องรอยืนยันให้มั่นใจก่อน แต่ฉันก็กล้าพูดได้เลยว่ามันมีโอกาสเป็นแบบนั้นอย่างมากใ…”
จากนั้นฟิลิป มูเลอร์ก็เปลี่ยนเรื่อง
“ยังไงก็ตามไม่ว่าจะพลังเทพ หรือชัยชนะก็ตาม แต่พวกเรายังไม่จบงานนะ”
ซอลจีฮูสะดุ้งขึ้น และตั้งสติกลับมาได้ เขาได้ใช้หอกพิสุจน์เป็นไม้เท้าช่วยพยุงตัวเขาขึ้น
สมาชิกคนอื่นๆที่เห็นแบบนี้ก็บังคับให้ตัวเองยืนขึ้นเช่นกัน
พวกเขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก ชุดเกราะของนักรบต่างก็พังเละเทะ และใบหน้าของนักบวชกับนักเวทย์ก็เต็มไปด้วยฝุ่นกับขี้เถ้า คนส่วนใหญ่ต่างก็มีเลือดบริเวณปาก และแทบจะไม่มีใครไร้บาดแผลเลยสักนิด
แม้ว่าพวกเขาจะอยากพักแค่ไหน แต่ก็ต้องเงียบเอาไว้
ถึงการต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่สงครามยังคงมีอยู่
“…ไปกันเถอะ”
เมื่อเขาพึมพำประโยคนี้ออกมาเบาๆ นกฟินิกซ์ก็บินขึ้นราวกับรออยู่แล้ว มันคงจะบอกให้พวกเขาตามมันไป
ไม่นานนักทีมปฏิบัติการก็ได้เริ่มเดินเท้าออกไปจากสนามรบ
“ว้าว! ดูท้องฟ้าสิ!”
โชฮงอุทานตกใจขึ้นระหว่างเดินทาน ซอลจีฮูรีบเงยหน้ามองตามทันที
“หิ่งห้อยงั้นเหรอ?”
มีแสงระยิบระยับเหมือนหิ่งห้อยลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างที่เขาพูด แสงไฟสีเหลืองอำพันขนาดเท่าเล็บนิ้วมือกับโปรยปรายลงมาเหมือนหิมะ และทำให้โลกใบนี้ส่องสว่าง
“…”
จากท้องฟ้าสีแดงได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวซะอีก
***
ทหารม้าของมนุษยชาติได้เริ่มเดินทัพแล้ว
เทเรซ่าได้เป็นคนนำทางลงจากเทือกเขา และทหารม้าก็ตั้งแนวบุกทะลวงตามหลังเธอเข้ามา
กรุ๊บ กรุ๊บ!
เสียงกีบเท้าเหยียบผืนดินได้ดังก้องไปทั่ว ด้วยการเดินทัพเต็มกำลังของฮอรัสได้ทำให้ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยควันฝุ่น
จากการบุกทะลวงอันดุดันนี้ทำให้เกิดเป็นบรรยากาศอันดุร้ายขึ้นแม้ว่าจะอยู่ไกลมากก็ตาม อาวุธที่ประกายสะท้อนแสงอาทิตย์ และแวววาวเหมือนแสงดาวได้ฟาดฟันลงบนกองทัพซากศพ
เหล่าปรสิตก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ทั้งแมลงสาบ และสิ่งมีชีวิตบินได้ทุกชนิดต่างก็บินออกมาจากทัพหลัก และพุ่งเข้าใส่ทหารม้า
“เครื่องยิงใบมีดเตรียมกระสุน!”
อาเบอร์ มูโต้ หัวหน้าหมู่บ้านแรมแมนได้ตะโกนขึ้นเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของศัตรู
“รักษาระยะความสูงปัจจุบัน! หันไปด้านข้าง 45 องศา!”
ครืดดด!
เหล่าหทหารได้จับเครื่องยิงปรับองศาใหม่
ในบรรดาเจ็ดเมืองของมนุษยชาติ หากจะพูดว่าฮารามาร์คเป็นเมืองที่เตรียมการรับมือกับการรุกรานของปรสิตมากที่สุดก็คงจะไม่ผิดนัก
หลังจากได้รับชัยชนะมาในสงครามหุบเขา พวกเขาก็ไม่ได้เหลิงจนเกินไป และทุ่มเทความพยายามในการเพิ่มกำลังรบขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งการเพิ่มฐานทัพทางทหาร หรือเพิ่มยุทโธปกรณ์ก็ตาม พวกเขาได้ให้ความสำคัญกับทางทหารเป็นอันดับแรก
ผลที่ได้ก็คือเครื่องยิงนาไม้ที่ในสงครามหุบเขามีแค่ไม่กี่สิบเครื่อง ตอนนี้ได้กลายเป็นเกือบจะหกร้อยเครื่องแล้ว
“ยิง!”
ตึง! คมมีดบูมเบอแรงนับร้อยได้ถูกยิงออกไปตามคำสั่งของอาเบอร์ มูโต้
คมมีดบูมเมอแรงได้ลอยคว้างออกไปเป็นเส้นโค้งใส่สิ่งมีชีวิตบินได้ที่กำลังเล็งทหารม้าอยู่
กี๊ซซซซซ!
ปีกแข็งของแมลงได้ถูกทำลายอย่างง่ายดายด้วยคมมีดที่ปั่นอย่างรุนแรง เหลือทิ้งไว้เพียงเศษชิ้นส่วนร่างกายที่ร่วงลงจากพื้นเท่านั้น
ดังนั้นแล้วสิ่งมีชีวิตบินได้จำนวนมากมายถึงถูกปั่นราวกับอยู่ในเครื่องบด
แต่นี่ก็ยังไม่จบ คมมีดบูมเมอแรงบางอันยังคงลอยไปต่อหลังจากปั่นสิ่งมีชีวิตบินได้แล้ว และยังพุ่งลงไปใส่กองทัพซากศพที่อยู่ด้านล่างอีกด้วย
ไม่นานนักในเวลาเดียวกันกับที่คมมีดบูมเมอแรงกวาดผ่านซากศพ เหล่าทหารม้าที่ลงมาจากเทือกเขาแล้วก็พุ่งเข้าใส่กองทัพซากศพเหมือนเป็นคลื่นยักษ์
ตูมมม! กีบเท้าของฮอรัสได้เหยียบใส่ซากศพอย่างรุนแรง และยังมีคมหอกคมกับคมดาบจากทหารม้าคอยฟาดฟันศัตรูอีกด้วย
เหล่าซากศพที่ต้องลำบากจากคมมีดบูมเมอแรงอยู่แล้วได้กรีดร้องออกมาในระหว่างที่ถูกฟันจนไม่อาจทำอะไรได้เลย
เสียงกรีดร้องของคนตาย เสียงปลุกใจของคนเป็น และยังมีเสียงของฮอรัสได้ร่วมผสานเข้าไปด้วยกัน
เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!
เสียงปลุกใจได้ดังขึ้นอีกจากป้อมปราการไทกอล การได้เห็นกองทัพซากศพถูกจัดการลงทำให้เหล่าคนที่เฝ้ามองดูอยู่เต็มไปด้วยความสุข
อีกด้านหนึ่ง พวกเขาที่ไม่คาดหวังว่ามนุษย์ที่เป็นกองกำลังที่อ่อนแอที่สุดจะสู้ได้แบบนี้ ต่างก็ต้องตกตะลึง และชื่นชม
“ตื่นเต้นกันจังเลยน้า~”
ความบริสุทธิ์อันโสมมได้เยาะเย้ยออกมา เธอกำลังกอดอกมองลงไปที่สนามรบอย่างเบื่อหน่าย เธอดูจะไม่ได้สนใจในความเละเทะของกองทัพซากศพเลยสักนิด
ยังไงแล้วกองทัพซากศพก็เป็นแค่โล่เนื้อเท่านั้น สำหรับกองทัพที่สร้างขึ้นใหม่ได้ง่ายๆแบบนี้ เธอไม่ได้สนใจเลยสักนิด
ยังไงก็ตามการปรากฏตัวของมนุษยชาติได้ทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจจนต้องเม้มปาก
“น่าตกใจ ใครจะไปคิดว่าเจ้าพวกนี้จะโผล่มาด้วย? พวกเขา…”
เธอพยักไหล่ และทำเป็นไม่สั่นใจ แต่แล้วเธอก็ไม่อาจจะพูดได้จนจบ นั่นก็เพราะจู่ๆเธอรู้สึกได้ถึงสายตาที่มีความไม่พอใจจ้องมองมา
เมื่อมองย้อนกลับไปเธอก็ต้องตกใจ
“อะ องค์ราชินี!”
ราชินีปรสิตกำลังไม่พอใจ แม้ว่าร่างจริงเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่แค่ดูจากภาพบนท้องฟ้า ความบริสุทธิ์อันโสมมก็สามารถบอกได้แล้ว
ภาพนั้นกำลังบิดเบี้ยวเหมือนทีวีที่จอเสีย เพราะพลังงานที่พุ่งพล่านออกมา
[เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?]
น้ำเสียงเย็นชาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจได้ดังออกมา
[ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่!?]
เมื่อได้ยินแบบนี้ผู้บัญชาการกองทัพทั้งสี่คนรวมไปถึงความบริสุทธิ์อันโสมมต่างก็หมอบลงพร้อมกัน
[ข้าสั่งให้พวกเจ้าพิชิตป้อมปราการไทกอล แล้วทำไมพวกเจ้าถึงยังเอาแต่กอดอกยืนมองดูอยู่ได้?!]
“ขะ ขออภัยองค์ราชินี! พวกเราไม่ได้จะแค่มองดู… มันก็แค่ว่าจู่ๆมนุษย์ชาตได้ปรากฏตัวขึ้นในระหว่างที่เรากำลังบังคับให้ศัตรูให้อสนีบาตออกมา…”
[เฮอะ! พวกเจ้าหวาดกลัวกับแค่อสนีบาต และมนุษย์งั้นเหรอ? ในฐานะสิ่งทีชีวิตที่ครอบครองความเป็นเทพเนี้ยนะ?]
“แน่นอนว่าไม่ครัว! พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้! กองทัพของข้าจะจัดการกับมนุษย์…!”
[โง่เง่า!]
ความบริสุทธิ์อันโสมมได้สะดุ้งขึ้นกับคำตำหนินี้
[เจ้าจะนำทัพไปสู้กับกลุ่มมนุษย์ไปทำไม? กองทัพซากศพกับปรสิตยังไม่พออีกงั้นเหรอ? เจ้าอยากจะบอกว่าเจ้าอยากจะอวดพลังให้ข้าเห็นงั้นเหรอ?]
“…”
[ข้าได้เน้นย้ำไปแล้วนะว่าสงครามครั้งนี้ต้องแข่งกับเวลา… พวกเจ้าทั้งหมดกับเอาแต่เล่นด้วยเหตุผลไร้สาระจนกลายเป็นแบบนี้งั้นเหรอ!?]
ผู้บัญชากองทัพที่พูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้ายิ่งกว่าเดิม
[มันไม่มีเวลามาสนใจพวกหนอนแมลงแล้ว!]
[ผู้บัญชาการกองทัพเข้าโจมตีป้อมปราการไทกอลเดี๋ยวนี้]
เสียงร้องของราชินีปรสิตได้ดังก้องออกมา เมื่อความมุ่งมั่นของเธอถูกถ่ายถอดมาแล้ว กองทัพทั้งหมดของปรสิตได้เคลื่อนทัพออกมา
รังได้ใช้หนวดทุกเส้นของมันแพร่เชื้อลงไปในผืนดิน และเหล่าแม่พันธุต่างก็เร่งความเร็วในการให้กำเนิดปรสิตขึ้น
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือผู้บัญชาการกองทัพได้นำกองทัพตัวเองบุกไปด้านหน้า
“ราชินีดูจะร้อนใจมาก…”
ความบริสุทธิ์อันโสมมได้พึมพำเบาๆ
แม้ว่าการปรากฏตัวจะทำให้การพิชิตป้อมปราการช้าลงไปเล็กน้อย แต่ว่ามันยังไม่ได้ถึงจุดที่ทำให้ปรสิตต้องกังวลเลยสักนิด
การพิชิตป้อมปราการไทกอลกำลังดำเนินไปด้วยดี ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่ความบริสุทธิ์อันโสมมจะสงสัยกับความโกรธอันกระทันหันของราชินี
“ข้ามั่นใจว่านั่นต้องมีเหตุผล”
ความอดทนอันพุ่งพล่านได้ตอบกลับอย่างไม่ใจใส่ แต่ความถ่อมอันน่าขยะแขยงได้ส่ายหัวออกมา
“เหตุผลนั่นเป็นสิ่งที่ข้าสงสัยอยู่”
เมื่อพูดแบบนี้แล้วเขาก็พูดต่ออย่างเป็นกังวล
“มีบางอย่างเกิดขึ้นในอาณาจักรภูติงั้นเหรอ…?”
“อาณาจักรภูติ?”
ความอดทนอันพุ่งพล่านได้เบิกตากว้างก่อนหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า! อย่ามาทำให้ขำไปหน่อยเลย หากว่ามีแค่ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็อีกเรื่อง แต่ที่นั่นก็มีผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดอยู่ด้วยนี่”
“…”
ความกรุณาอันน่าชิงชังได้เดินหน้าต่อเงียบๆ
ผู้บัญชาการกองทัพทั้งสี่ที่เป็นตัวแทนของปรสิต และกองทัพทั้งสี่ที่นับได้ว่าเป็นกองกำลังสำคัญของปรสิตได้ปรากฏตัวขึ้นในสนามรบแล้ว