บทที่ 338 – โลกเยือกแข็ง (2)
ในเวลาเดียวกัน
หญิงสาว และชายหนุ่มสองคนกำลังมองลงไปที่สนามรบจากบนเทือกเขา
หญิงสาวที่กำลังสวมเสื้อโค้ทหนาก็คือดวงดาวแห่งความเกียจคร้าน ทาเซียน่า ซินเซีย
และชายหนุ่มสองคนข้างๆ เธอนั่นก็คือดาวแห่งอัตตา กับดาวแห่งโทสะ
“โอ้! บุกได้สวย!”
ชายร่างกำยำที่แบกดาบใหญ่อยู่บนแผ่นหลัง ผู้บริหารแห่งไอร่าไม่อาจจะซ่อนความตกใจไว้ได้
ทหารม้าที่นำโดยเทเรซ่ากำลังเป็นฝ่ายสังหารหมู่กองทัพซากศพอยู่ฝั่งเดียว
ยังไงก็ตามซินเซียก็แสยะยิ้มมุมปากย่างไม่ใส่ใจ
ถึงทหารม้าจะกำลังชนะกองทัพซากศพก็จริง แต่พวกมันก็เป็นแค่เหล่าทหารชั้นต่ำของปรสิตเท่านั้นเอง
กองทัพจริงของศัตรูยังไม่ได้เคลื่อนไหวเลย
“พวกปรสิตจะยังอยู่เฉยไหมนะ…”
ดวงดาวแห่งอัตตาที่คิดแบบเดียวกันกับซินเซีย ได้มองไปทางค่ายของศัตรูอย่างตั้งใจ
ในเวลาเดียวกันผู้บริหารทั้งสามคนก็สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง
ภาพโฮโลแกรมที่ฉายอยู่บนท้องฟ้าได้สั่นไหวอย่างรุนแรง ภายในภาพนั้นเป็นราชินีที่กำลังตัวสั่นตะโกนบางอย่างออกมา
เพราะอยู่ไกลเกินไปทำให้พวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ดูจากที่เห็นแล้ว…
“อะไรกัน เธอกำลังโกรธ?”
ดวงดาวแห่งโทสะได้พูดออกมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ยังไงก็ตามการเปลี่ยนแปลงแค่พึ่งเริ่มเท่านั้น
แทบจะทันทีหลังจากได้เห็นความโกรธของราชินีปรสิต การเคลื่อนไหวของศัตรูก็กลายเป็นวุ่นวายขึ้นทันที ไม่สิ ควรจะบอกว่าพวกปรสิตกำลังร้อนใจ
“รังกำลังแพร่เชื้อด้วยความเร็วที่มากขึ้น เหล่าแม่พันธุ์ต่างก็ให้กำเนิดเร็วขึ้นเป็นสองเก่าจากเดิม”
ผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบีย ซึ่งนักธนูจ้าวแห่งการสังเกตได้ถ่ายทอดสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนพวกมันจะกำลังเริ่มสงครามเต็มกำลัง…”
ไม่นานนักการคาดการณ์ของเขาก็ถูกพิสูจน์ว่าเป็นจริง
“ผู้บัญชาการกองทัพกำลังมา!”
ผู้บัญการชากองทัพทั้งสี่คนได้เริ่มเคลื่อนไหว โดยมีกองทัพอันเดทของความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงเป็นคนนำ
ชายร่างกำยำอ้าปากค้างออกมา
กองทัพซัคคิวบัส กับกองทัพวิญญาณร้ายได้ลอยขึ้นมาพร้อมๆกัน และเบื้องล่างก็มีโกเล็มโลหิตไล่ตามหลังเดธไนท์จนกลายเป็นเสียงดัง
นอกจากนี้ยังมีปรสิตออกมาจากฐานของพวกปรสิตจำนวนนับไม่ถ้วน
อย่างที่พูดไป พวกปรสิตได้เริ่มการโจมตีเต็มกำลังแล้ว
“นี่มัน… แปลกไปหน่อยนะ?”
ขณะที่ชายร่างกำยำกำลังพูดไม่ออก ดวงดาวแห่งอัตตาก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ถึงแม้ว่าจะมีเราสามคนอยู่ด้วย แต่ปรสิตก็น่าจะยังได้เปรียบอยู่ ราชินีปรสิตลืมเรื่องนี้ไปแล้วงั้นเหรอ?”
จากน้นเขาก็เงียบมองไปด้านข้าง
“แล้วทำไมจู่ๆเธอถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”
“…ไม่รู้สินะ”
ซินเซียได้บ่นควันบุหรี่ออกมาจากปาก
“บางทีเธออาจจะกับการละเล่นตีบ้านก็เลยวางแผนจบในคราวเดียวก็ได้นะ”
ถึงแม้ว่าเธอจะพูดอย่างไม่แยแส แต่เธอก็ก้มหน้ามองลงไปที่กระดาษในมือซ้าย
จากนั้น
“ว๊ากกกก!”
ชายร่างกำยำได้ร้องออกมา
กองทัพของความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้เข้าปะทะกับแนวหน้าทหารม้าของมนุษยชาติ
จากนั้น…
“พวกมันผ่านไป!?”
กองทัพของความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้พุ่งผ่านหน้าเหล่าทหารม้าไปด้วยการเปลี่ยนร่างเป็นแก๊ซ
การแปลงกายเป็นของเหลวหรือแก๊ซนี่คือหนึ่งในพลังอำนาจของความถ่อมตนอันน่าขยะแขยง
เพราะแบบนี้ทำให้การยิงคมมีดบูมเมอแรงรอบสองของอาร์เบอร์ มูโต้พลาดเป้าไป และเหล่าทหารม้าที่กำลังมุ่งมั่นจะเข้าปะทะก็ถูกทิ้งเอาไว้อย่างเคว้งคว้าง
ยังไม่หมดเท่านั้น กองทัพของความบริสุทธิ์อันโสมม กับกองทัพของความอดทนอันพุ่งพล่านก็ยังพุ่งผ่านกองกำลังเสริมของมนุษยชาติไป แม้กระทั่งโกเล็มโลหิตก็ยังอ้อมเลี่ยงกองทัพของมนุษย์
ทหารม้าที่สับสนได้พยามยามหยุดการบุกของปรสิต แต่ว่าพวกเขาก็ทำได้แต่มองพวกมันผ่านไปเพราะพวกเขาก็ต้องรับมือกับปรสิตที่เข้ามาโจมตีจากด้านหลัง
กองทัพหลักของปรสิตที่พุ่งผ่านทหารม้าไปมีเพียงแค่เป้าหมายเดียวเท่านั้นคือป้อมปราการไทกอล
แต่ก็เป็นอย่างที่ดวงดาวแห่งอัตตาได้พูดไป การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์อย่างกระทันหันนี่มันเต็มไปด้วยคำถาม
“อ่า…”
ชายร่างกำยำกระพริบตาออกมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่มันจบแล้วสินะ?”
เขาไม่รู้ว่าเหลืออสนีบาตอยู่ในป้อมปราการแค่ไหน แต่นี่คือโอกาสดีที่พวกเขาจะใช้มัน
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้กองกำลังสหพันธรัฐอ่อนกำลังลง และยังสะบักสะบอม แค่ในตอนที่รังนับร้อยคอยสนับสนุนการโจมตีของปรสิต และกองทัพซากศพแล้ว สหพันธรัฐก็ทำได้เพียงป้องกันอย่างเต็มกลืน
นี่จึงไม่มีทางเลยสักนิดที่พวกเขาจะต่อต้านกับกองทัพของผู้บัญชาการทั้งสี่ไปด้วยได้
เว้นก็แต่ว่าต้นไม้โลกจะกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง
และดังนั้นแล้วป้อมปราการไทกอลจึงกลับไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอีกครั้ง
ซินเซียได้เฝ้ามองดูอยู่เงียบๆ ก่อนค่อยๆยกมือซ้ายขึ้น
สัญญาแห่งชีวิตได้เผยให้เห็นถึงชีวิตของผู้ทำสัญญา
สัญญาที่เทเรซ่ามอบให้เธออยู่ในสภาพที่ใกล้มอดไหม้จนหมดไปแล้ว แทบจะไม่มีจุดไหนเลยที่มันจะไม่ลุกไหม้ มีอยู่หลายครั้งที่ซินเซียกลัวว่ามันจะไหม้ไปจนหมด
แผ่นกระดาษลุกไหม้จนเหลือขนาดเท่านิ้วมือเท่านั้น แต่นับตั้งแต่นั้นมามันก็กลับมาอยูู่ในสภาพปกติไร้ซึ่งการไหม้อีกต่อไป
หากว่าซอลจีฮูตาย สัญญาก็จะกลายเป็นเพียงขี้เถ้า กลายที่มันกลับมาเป็นปกติได้แสดงให้เห็นแล้วว่าซอลจีฮูปลอดภัย
และเพราะงั้นมันจึงเดาได้ไม่ยากเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรภูติ
“หืมมม…”
ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงการกระทำอย่างกระทันหันของปรสิตก็ยิ่งเป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดี
ราชินีปรสิตโกรธมาก และเหล่าปรสิตก็ได้โจมตีเต็มกำลัง ผู้บัญชาการกองทัพทั้งสี่ก็ยังนำทัพเข้าสนามรบ ถึงขนาดเดินทัพผ่านหน้ากำลังเสริมของมนุษย์ไปราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน
มันแทบจะเหมือนกับพวกเขากำลังแข่งกับเวลา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มันจะเป็นอย่างไรไปได้อีก? คำตอบมันชัดมากแล้ว
“…”
แต่แน่นอนว่าในตอนนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรให้ซินเซียเข้าร่วมสงคราม
เงื่อนไขในการเข้าร่วมสงครามยังไม่ได้รับการยืนยัน หรือก็คือต้นไม้โลกยังไม่ได้คืนชีพ
ยังไงก็ตามซินเซียไม่ได้โง่ เธอมีข้อมูลมากพอที่จะมองออกว่าหากป้อมปราการไทกอลล่มสลายจะเกิดอะไรขึ้นกับสหพันธรัฐ และมนุษยชาติ
เธอยังรู้ด้วยว่าหากต้นไม้โลกคืนชีพกลับมา และพวกเขาข้ามผ่านการบุกของปรสิตคราวนี้ไปได้ ความสัมพันธ์ของมนุษยชาติกับสหพันธรัฐจะเป็นอย่างไร
และดังนั้นแล้วเธอก็รู้ว่าเเธอยืนอยู่ในจุดที่สำคัญขนาดไหน
ถึงมันอาจจะไม่ถึงขนาดพลิกกระแสสงครามไปได้เลย แต่เธอก็มีลางสังหรณ์ว่าตัวเลือกของเธอจะส่งผลอย่างมหาศาล
“ฟู่ว”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้แล้ว เธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
การที่เธอคิดแบบนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเธอก็มองเห็นเศษเสี้ยวความหวังในสถานการณ์นี้ ความเป็นไปของสงครามได้เปลี่ยนความคิดก่อนหน้านี้ของเธอที่ว่า ‘ต่อให้ฉันเข้าร่วมสงครามก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน’
[ฉันแค่อยากจะให้คุณได้รู้…]
ทันใดนั้นเมื่อนึกย้อนถึงคำพูดของเทเรซ่า ซินเซียก็ยิ้มขึ้น
[นี่คือความหวังเดียวที่เราเหลืออยู่]
ไม่ว่าจะความหวังเดียวหรือโอกาสสุดท้าย ในที่สุดเธอก็ยอมรับมัน
“… ฉันคงหวังเอาไว้ตั้งแต่ปล่อยให้แอ็กเนสไปแล้ว”
ซินเซียยิ้มออกมา และเก็บกระดาษสัญญาใส่กระเป๋า จากนั้นก็พูดขึ้น
“ฉันมีคำถาม”
ผู้บริหารทั้งสองคนได้หันมามองหน้าเธอพร้อมกัน
“สมมติว่าพวกนายกำลังเล่นไพ่ แล้วกำลังจะแพ้ แต่ว่าหากรอสักหน่อย นายก็จะได้รับไพ่ใบที่จะช่วยพลิกสถานการณ์ได้ พวกนายจะทำยังไง?”
“อะไรนะ?”
“จะยอมแพ้ หรือรอไปอีกสักหน่อย?”
“…ฉันไม่รู้นะว่าเธอถามทำไม แต่เป็นฉัน ฉันจะรอ”
“เข้าใจแล้ว”
ดวงดาวแห่งอัตตาได้ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ แต่อีกด้านหนึ่งชายร่างกำยำขมวดคิ้วขึ้น
“เธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่? เธอจะทำอะไรอย่างงั้นเหรอ?”
“ฉันจะทำอะไรน่ะเหรอ?”
ซินเซียแสยะยิ้ม และดีดนิ้วออกมา
“ก็ชัดเจนแล้วนี้”
จากนั้นเธอร่ายเวทย์ออกมาอย่างรวดเร็ว
ผู้บริหารทั้งสองคนที่กระพริบตาอย่างสับสนผงะไป และรีบเงยหน้าขึ้น
มีวงเวทย์ขนาดมหึมากำลังก่อตัวขึ้นเหนือหัวซินเซีย
แน่นอนว่าเหนือหัวพวกเขาด้วยเช่นกัน
ดวงดาวแห่งอัตตาพึมพำขึ้นอย่างตกตะลึง
“เธอ…!”
ซินเซียพยักไหล่ และพูดขึ้น
“ไว้จะอธิบายให้ฟัง”
ในเวลาเดียวกันวงเวทย์ได้เริ่มหมุน และลดระดับลงมาหาพวกเขาทั้งสามคน
เวทย์เทเลพอตถูกเปิดใช้งานแล้ว
***
ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้พุ่งออกมา
นับตั้งแต่ที่มันเริ่มบุกในฐานะแนวหน้า มันก็เอาแต่พุ่งตรงไปโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก
ความหวาดหวั่นที่กำลังคืบคลานอยู่ภายในใจมันยังคงไม่หายไป
ความอดทนอันพุ่งพล่านพูดถูก ราชินีปรสิตไม่ใช่คนที่จะใช้อารมณ์มาตัดสินใจ เธอจะต้องมีเหตุผลที่ทำให้เร่งการยึดครองป้อมปราการแน่
ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงที่กังวลว่าเหตุผลนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับปีศาจอันน่ากลัวด้วยจึงทำให้มันมุ่งมั่นขึ้น
ราชินีปรสิตมีบุคลิกที่มุ่งมั่น และตัดสินใจสถานการณ์อย่างใจเย็นอยู่เสมอ
ยิ่งกับสงครามแล้วเธอก็ยิ่งรอบคอบขึ้นเป็นพิเศษ
หากว่าเธอมองไม่เห็นโอกาสชนะ เธอจะสั่งให้พวกเขาถอยทัพโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว การที่เธอสั่งให้ทุ่มกำลังทั้งหมดนั่นหมายความว่ายังมีโอกาสอยู่
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้แล้วความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงก็สลัดความสับสนออกไปจนหมด
นับจากนี้มีแค่สิ่งเดียวที่เขาต้องทำ
เขาจะต้องเข้าใกล้กำแพงป้อมปราการ
ไม่จำเป็นต้องทำลายมัน
เขาสามารถจะผ่านมันเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นก็ปีนขึ้นไปออกคำสั่ง และ…
“หืม?”
จากนั้นเอง
อีกแค่เพียงหนึ่งร้อยเมตรก็จะถึงหน้าประตูป้อมปราการแล้ว แต่กลับมีวงเวทย์ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอย่างกระทันหัน ในเวลาเดียวกันวงเวทย์ก็ได้ทวีคูณขึ้นเป็นหลายร้อยอัน
ก่อนที่ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงจะได้ทำอะไรก็มีเหล่าวัลคีรี่พุ่งออกมาจากแต่ละวงเวทย์ พวกเธอได้ตั้งรูปขบวน และพุ่งใส่ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงในทันที
“!”
ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้ตกใจเหวี่ยงดาบออกไปอย่างเร่งรีบ
แม้ว่าเขาจะสามารถกันวัลคีรี่ที่พุ่งเข้าใส่เข้าได้นับสิบ แต่ไม่นานนักเขาก็ต้องดึงบังเหียนม้าหยุดลงเมื่อเดธไนท์ที่ปะทะกับวัลคีรี่ต่างล้มลงหรือไม่ก็ถูกกระแทกถอยไป
ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงที่ได้ยินเสียงร้องดังออกมาทั่วได้มองตรงไปด้านหน้า
จากนั้นเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อได้เห็นหญิงสาวสวมเสื้อโค้ทตัวหนายืนอยู่หน้าประตู
“…ข้าไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะโง่เง่าขนาดนี้”
ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้กัดฟันพูด แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง
“เจ้าคิดจริงๆงั้นหรือว่าการหยุดข้าจะทำให้มีอะไรดีขึ้นมา?”
“ถ้าไม่แล้วฉันจะมาทำไมล่ะ?”
เมื่อถูกซินเซียโต้กลับไปอย่างรวดเร็ว ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้กระชับดาบยาวแน่น
“ช่างอวดดี เจ้าคงลืมความพ่ายแพ้อันน่าสังเวชในสงครามหุบเขาไปแล้วงั้นเหรอ?”
“จะลืมไปได้ยังไงล่ะ?”
“ว่าไปแล้วข้าก็ไม่เห็นคนรับใช้ของเจ้าเลยนี่… ข้าชักสงสัยแล้วว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”
“ก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้อยากพาเธอมาหรอกนะ มันก็แค่ว่าตอนนี้เธอไม่ว่างเท่านั้นเอง”
ซินเซียยิ้มอ่อนพร้อมสั่งให้วัลคีรี่ตั้งขบวนทัพอีกครั้ง
“ก็ขอบใจนะที่เป็นห่วงฉัน แต่ว่าฉันน่ะเป็นคนเจ็บแล้วจำ”
ขณะเตรียมจะบุกเข้าไป ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงก็ได้ผงะไป นั่นก็เพราะซินเซียยกแขนขึ้น และชี้ออกมาซ้ายกับขวา
หลังจากนั้นแทบจะทันทีได้มีชายสองคนตกลงมาที่พื้นถัดจาเธอ
นั่นก็คือดวงดาวแห่งอัตตากับดวงดาวแห่งโทซะ
“ฉันคิดว่าแค่ฉันคงไม่พอ เพราะงั้นก็เลยเรียกสองคนนี้มาด้วย… คิดยังไงล่ะ นี่พอจะทำให้นายพอใจได้ไหม?”
ซินเซียขยิบตา จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา
“…ให้ตายสิ ไว้เธอต้องอธิบายให้ฉันฟังด้วยว่านี่มันอะไรกัน ทาเซียน่า ซินเซีย”
จากนั้นชายหนุ่มสวมหนุ่มก็กัดฟัน และง้างลูกธนูที่ติดกับโซ่ออกมา
“… ฉันคิดว่าเธอต้องมีเหตุผลที่ดีแน่”
ชายร่างกำยำก็ยังแสดงสีน้าตกตะลึงออกมาเล็กน้อย แต่ไม่นานนักเขาก็ชักดาบใหญ่ออกมาจากทางด้านหลัง
“…”
เสียงกัดฟันได้ดังขึ้นอีกครั้ง
“…ฝั่งนี้ก็มีผู้บัญชาการกองทัพคนอื่นเช่นกัน”
แม้ว่าเขาจะพูดอย่างสงบนิ่ง แต่สีหน้าเขากลับค่อยๆแย่ลง
เหตุผลก็คือการช่วยเหลือที่ควรจะมาดูเหมือนจะหลุดผ่านไปในเวลาสำคัญ
“มันสายไปแล้ว!”
ตึง! การเบรียลที่มองลงมาได้กระแทกมือเข้ากับกำแพงป้อมปราการ
เธอรู้สึกขัดใจมากที่เห็นความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงพุ่งเข้ามา ขณะที่เธอกำลังจะระเบิดความไม่พอใจออกไปกับการที่ผู้บริหารไม่ยอมเคลื่อนไหว แต่ในที่สุดแล้วพวกเขาก็เคลื่อนไหวออกมา
เมื่อได้เห็นพวกผู้บริหารปรากฏตัวขึ้นหน้ากำแพงป้อมปราการ เธอก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ความรู้สึกนั้นก็คงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
ไม่นานนักเธอก็ลืมตามองขึ้นไปบนฟ้า
ถึงแม้ว่าความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงจะถูกหยุดไว้แล้ว แต่ก็ยังมีผู้บัญชาการกองทัพคนอื่นอยู่อีก
ความกรุณาอันน่ารังเกียจได้ตามหลังความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงมาอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญไปกว่านั้นความบริสุทธิ์อันโสมม กับความอดทนอันพุ่งพล่านก็ยังกำลังลอยเข้ามาจากบนท้องฟ้าอีกด้วย
ข้อดีเดียวในสถานการณ์นี้ก็คือพวกเขาพอจะใช้อสนีบาตที่เหลืออยู่สำหรับสกัดกั้นกองกำลังทางอากาศได้บ้าง
และดังนั้นแล้วขณะที่เธอกำลังจะออกคำสั่งโจมตี แฟรี่ท้องฟ้าก็ได้รีบวิ่งขึ้นมาหาเธอ
“ขะ ข่าวด่วน!”
“มีอะไร!?”
อารมณ์ของเธอในตอนนี้กำลังพุ่งถึงขีดสุดจากสถานการณ์กดดันต่างๆแล้ว
แฟรี่ท้องฟ้าอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนักก็พูดออกมาอย่างชัดเจน
“กองทหารของมนุษยชาติได้เข้ามาถึงประตูหลังของป้อมปราการ! มีทหารนับร้อยคน และมีบุคคลหนึ่งประกาศตนว่าเป็นราชินีของอีวาเพื่อขอเข้ามาภายในป้อมปราการ!”
“…อะไรนะ?”
น้ำเสียงกาเบรียลได้เบาลงเล็กน้อย
แฟรี่ท้องฟ้าได้รีบอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็วจนทำให้กาเบรียลขมวดคิ้วออกมา
“เธอจะ… เข้ามา?”
***
“เราจะไปตรงนั้น”
โรเซร่าที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าได้พูดขึ้นอย่างกระทันหัน
อึนยูริที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ได้ลืมตาขึ้น
“จริงเหรออาจารย์”
“ใช่ ฉันคิดแบบนั้นนะ”
โรเซร่าได้ชี้ไปบนท้องฟ้า
“ดูสิ ดวงดาวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจากการรุกรานกำลังกลับคืนเฉดสีน้ำเงิน”
อึนยูริพยักหน้าอย่างสับสน
“การทำให้ดวงดาวที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตมันไม่ง่ายเลย”
โรเซร่ายิ้มอย่างสดใส
“การที่แสงสว่างหวนคืนกลับมานั่นหมายความได้อย่างเดียวว่าต้นไม้โลกได้โตสู่วัยกลางคน และฟื้นคืนการควบคุมอาณาจักรภูติกลับมาแล้ว ภูติคงจะได้พลังกลับคืน และตอนนี้ก็กลับมามีชีวิตกันแล้ว”
สีหน้าอึนยูริได้กลายเป็นสดใสขึ้น
“ถ้างั้น!”
“สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่การเชื่อมต่อกับมิลเดิลเวิลด์”
โรเซร่าส่ายหัวออกมาโดยไม่ซ่อนความชื่นชมไว้เลย
“น่าเหลือเชื่อ เหลือเชื่อมากจริงๆ การที่พวกเขาทำมันได้สำเร็จนี่…”
จากนั้นจู่ๆ เธอก็เอียงหัวออกมา
“แต่มันแปลก จากสถานการณ์ที่เธออธิบายออกมา มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เว้นก็แต่ปรสิตทำอะไรบางอย่างที่ไร้สมองลงไป…”
ไม่ใช่ว่าโรเซร่าไม่สงสัยเลย แต่ว่าความสำเร็จก็อยู่ตรงหน้าเป็นหลักฐานยืนยันแล้ว
ด้วยแบบนี้ทำให้เงื่อนไขที่อยู่เหนือการควบคุมถูกเติมเต็มจนหมด
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือพวกเธอต้องทำในสิ่งที่อยู่ในการควบคุมของพวกเธอ
โรเซร่าได้ละสายตาจากท้องฟ้ากลับลงมามองอึนยูริ เธอได้ลุกขึ้นมาพยายามสูดลมหายใจเข้า
“ยูริ ร่างกายของเธอกับ…”
“ตอนนี้พวกเขาน่าจะไปถึงป้อมปราการไทกอลแล้ว”
“ชาร์ล็อตต์ทำได้ดีมาก”
โรเซร่ายืดตัวออกมา
“ยอดเยี่ยม อาจารย์คนนี้จะติดต่อกับต้นไม้โลกให้ธอ ตอนนี้เธอกลับไปเตรียมตัวได้แล้ว”
“…ค่ะ!”
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ แค่ทำอย่างที่ได้เรียนไป แล้วอาจารย์คนนี้จะจัดการที่เหลือเอง ฟุฟุ”
โรเซร่าหัวเราะออกมาเบาๆด้วยสายตาที่พร่ามัว
“รอไม่ไหวแล้วสิ ตั้งแต่ได้ยินเกี่ยวกับพวกปรสิต ฉันก็อยากจะสู้ด้วยสักครั้งจริงๆ ว่าพวกเขาจะแกร่งแค่ไหนกัน…”
“…”
“ฟุฟุ ยังไม่หมดนั่น ไอ้เจ้าพวกสารเลวที่มันกล้ามาทำลายแผนการแก้แค้นนับร้อยปีของฉัน-! หึหึหึ!”
ดวงตาเธอได้เป็นประกายอันน่ากลัวออกมา
อึนยูริถึงกลับถอยไป แต่ก็ยังพยักหน้าออกมา อย่างน้อยในวันนี้ดวงตาอันบ้าคลั่งของโรเซร่ากลับดูน่าไว้ใจจนน่าเหลือเชื่อ
“โอ้ ขออภัยด้วย พอดีธาตุแท้จริงฉันออกมาเยอะไปหน่อย โฮ่โฮ่”
โรเซร่าได้หลุดจากความบ้าคลั่ง และหัวเราะออกมาแบบผู้ดี
จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นพร้อมมองอึนยูริที่กำลังยืนอยู่อย่างกังวล
“ถ้างั้นก็ตอนนี้แหละ”
เมื่อเธอปรบมือเข้าด้วยกัน โรเซร่าก็ขยิบตาออกมา
“ไว้เจอกันที่มิลเดิลเวิลด์นะ!”
จากนั้น
แปะ!
วินาทีที่เธอปรบมือ…
“…!”
อึนยูริได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว