บทที่ 339 – โลกเยือกแข็ง (3)
งานเทศกาลที่ไม่ถูกเวลาได้ถูกจัดตั้งขึ้นในอาณาจักรภูติ
แม้ว่ามันจะไม่ใช่งานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยอาหาร เครื่องดื่ม และการเต้นรำ แต่สภาพแวดล้อมรอบๆทะเลสาบใจกลางก็เต็มไปด้วยความรื่นเริง
นี่มันไม่น่าแปลกใจเลย โลกใบนี้ได้เฉียดการล่มสลาย แต่แล้วด้วยการตายของหนึ่งผู้บัญชาการกองทัพ และการถอยไปของผู้บัญชาการกองทัพทำให้ทั้งโลกกลับคืนสู่ความสงบ
แค่นี้งั้นเหรอ?
จะไม่ให้พวกเขามีความสุขได้ยังไงกัน ในเมื่อต้นไม้โลกได้ถูกฟื้นคืนชีพกลับมาพร้อมทั้งเติบโตจนถึงวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว ได้ทำให้ราชาภูติก็ยังฟื้นคืนพลังกลับมา และด้วยการเกิดใหม่ของเหล่าภูติที่กลับมาจากความว่างเปล่าด้วย
ในตอนนั้นเองเหล่าภูติที่กำลังร่าเริงอยู่ได้หันไปมองทางเดียวกัน ความวุ่นวายได้สงบลง และถูกแทนที่ด้วยเสียงพึมพำ
พึบ… พึบ…
ภายใต้เสียงกระพือปีกของนกฟินิกซ์ที่กำลังร่อนลงมาก็มีกลุ่มของมนุษย์ที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ
พวกเขาคือผู้กอบกู้ที่ได้ต่อสู้เสี่ยงชีวิตกับผู้บัญชาการกองทัพเพื่อช่วยอาณาจักรภูติเอาไว้
สายตาของเหล่าภูติวัยเยาว์ได้เปล่งประกายขึ้น
ซอลจีฮูวิ่งออกมา
เขาตกใจมากที่เห็นต้นไม้ขนาดใหญ่โตมโหฬารตรงหน้า พร้อมด้วยกลุ่มภูติที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงแถวอยู่ แต่ว่าเขาก็ไม่หยุดวิ่ง
ตอนนี้เหลือแค่อีกก้าวเดียวเท่านั้น
ป้อมปราการไทกอลคงจะอยู่ระหว่างการต่อสู้ดิ้นรน ดังนั้นแล้วพวกเขาไม่มีเวลามามีความสุขไปกับแค่ชัยชนะที่นี่
หากว่าเขาเผลอปล่อยตัวตามสบาย และทำให้ป้อมปราการไทกอลต้องพังลงจากความล่าช้าเพียงไม่กี่นาที เขาก็คงจะเสียใจไปทั้งชีวิต
ดังนั้นแล้วเมือซอลจีฮูได้เห็นตัวตนทั้งห้าที่คาดว่าน่าจะเป็นราชาภูติ เขาจึงตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง
“ป้อมปราการไทกอล!”
เมื่อกระโดดลงไปในทะเลสาบ เขาก็ตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“ทางเชื่อมไปสู่ป้อมปราการไทกอล…!”
ยังไงก็ตามเขาไม่อาจจะได้ทันพูดจบประโยคเนื่องจากมีภูติจำนวนหนึ่งบินเข้ามากอดเขาไว้ในทันทีที่เขาเข้ามาในทะเลสาบ
“ดะ เดี๋ยวก่อน!”
[มนุษย์! เป็นหนึ่งในมนุษย์เหล่านั้น!]
“เฮ้!”
[ว้าว! ว้าววว!]
“นี่มันไม่ใช่เวลามาทำแบบนี้นะ…!”
[ขอบคุณ! ขอบคุณมาก!]
“อย่ามาขวางทาง!”
[อะ…! อ๊าาา!]
ซอลจีฮูรีบสะบัดแขน และภูติที่ถูกผลักออกไปก็มองเขาอย่างตกตะลึงก่อนจะเริ่มร้องไห้
“อ่า ชิ…!”
[หยุด]
ในตอนนั้นเองเสียงทุ่มต่ำได้ดังกังวาลออกมา
ภูติทั้งหมดได้นิ่งเงียบลงไป แม้กระทั่งภูติที่กำลังสะอื้นอยู่ก็ยังหยุดร้อง
[ได้โปรดอภัยให้พวกเขาด้วยนะ]
ซอลจีฮูได้หันหน้าไปมองร่งยักษ์เพลิงที่กำลังมองลงมาที่เขาจากบนท้องฟ้า
[ภูติแห่งไฟมีนิสัยที่จะซื่อตรงกับความรู้สึก โดยเฉพาะในสถานกาณณ์ที่พวกเขาประทับใจจนเกินกว่าจะควบคุมได้]
ซอลจีฮูไม่เคยเห็นยักษ์เพลิงนี้มาก่อนเลย แต่จากพลังที่ภายตรงข้ามมี เขาก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายคือราชาภูติไฟ
“..ผมไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น”
เมื่อเขาได้ลูบหัวภูติที่สะอื้นเบาๆ ภูติก็ยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสาราวกับไม่เคยร้องมาก่อนเลย
ซอลจีฮูถอนหายใจก่อนจะเงยหน้ามองไปที่อิฟริตด้วยสายตามุ่งมั่น
[…ข้ารู้]
อิฟริตพยักหน้าเหมือนกับจะเข้าใจว่าทำไมซอลจีฮูถึงได้เร่งร้อนแบบนั้น
[หลังจากต้นไม้โลกได้เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ต้นไม้โลกได้ช่วยพวกท่านกดดันผู้บัญชาการกองทัพ จากนั้นก็ยึดเอาการควบคุมอาณาจักรภูติกลับมา และถ่ายเทพลังงานของมันออกมาทันทีเพื่อให้กำเนิดชีวิตใหม่]
‘ให้กำเนิดชีวิตใหม่?’
เมื่อมองไปรอบตัว เขาก็เข้าใจแล้วว่าภูติจำนวนมากขนาดนี้มาจากไหน
[ขั้นตอนเหล่านี้เพิ่งจะเสร็จสิ้นลงไป]
ซิลฟิตได้ยิ้มหวานพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกสดชื่นของสายลม ต่างจากน้ำเสียงอ่อนแกก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
[สิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือ…]
ซ่าาาส์ ซ่าาาส์!
ขณะที่ซิลฟิตกำลังพูดอยู่ ทันใดนั้นก้านของต้นไม้ก็สั่นขึ้น
เมื่อซอลจีฮูได้หันไปมองที่ใจกลางของทะเลสาบ สีหน้าเขาก็ต้องค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป
ความรู้สึกใจร้อนภายในใจเขาได้หายไป และถูกความตกใจเข้าปกคลุม
ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทะเลสาบก็คือต้นแอชขนาดมหึมาที่ครอบคลุมทั่วทั้งทะเลสาบได้จนหมด ตัวต้นไม้มันสูงเหมือนกับราวจะค้ำท้องฟ้าเอาไว้ และใบสีเขียวชอุ่มของมันก็ยังให้บรรยากาศที่สู.ส่ง
นอกจากนี้ก็ยังมีผลแอปเปิ้ลสีแดงห้อยอยู่ที่ยอดต้นไม้ ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับสีเหลืองอำพันที่ร่องลอยไปมารอบตัวต้นไม้ราวกับกำลังเต้นระบำแล้ว นี่ยิ่งทำให้มันกลายเป็นทัศนียภาพที่ไม่ว่าใครมองก็ต้องตะลึง
ความงดงาม และสูงส่งของต้นไม้โลกได้ทำให้ซอลจีฮูต้องพูดไม่ออกเช่นเดียวกัน
ในตอนนั้นเองก้านหนึ่งได้ค่อยๆลดระดับลงมา มันขยับมุ่งตรงเข้าหาซอลจีฮูราวกับจะชี้มาที่เขา และใบของมันก็ค่อยๆห่อเข้ามาอย่างอ่อนโยน
มันเหมือนกับกำลังกวักมือให้เขาเข้าไปใกล้
จากนั้นซิลฟิตก็ได้โบกมือจนเกิดเป็นสายลมอ่อนๆขึ้นมา พร้อมเสียงหัวเราะ
“อ๊ะ…”
เพราะแบบนี้แล้วทำให้ทั้งซอลจีฮู และสมาชิกทีมที่เหลือด้านหลังเขาต่างก็ถูกผลักไปที่ใจกลางทะเลสาบ
เมื่อพวกเขาได้มาถึงตรงหน้าของต้นไม้โลก ก้านของต้นไม้ได้ลดต่ำลงมา และโอบกอดซอลจีฮูไว้แน่น
ใบไม้ก็ได้ลูบที่แก้มเขาอย่างอ่อนโยน มันเหมือนกับเด็กแรกเกิดที่จดจำแม่ได้ และเข้าหาอ้อมกอดของผู้เป็นแม่
[ท่านคงจะเข้าใจผิดไป เขาคือคนที่ช่วยให้ท่านเกิดขึ้นมา แต่เขาคือมนุษย์ ไม่ใช่พ่อของท่าน]
ซิลฟิตได้พูดสิ่งที่ซอลจีฮูไม่เข้าใจออกมา ดังนั้นเขาจึงอยู่นิ่ง
พูดตามตรงแล้วมันรู้สึกดีมาก เมื่อเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาก็รู้สึกเหมือนอาการมึนหัวของเขาได้หายไปจนหมด
ซ่าาาาส์
‘…หืม?’
ไม่สิ มันไม่ใช่แค่ความรู้สึก
เมื่อบนตัวซอลจีฮูกับสมาชิกทีมคนอื่นๆเรืองแสงอ่อนๆออกมา ร่างกายของเขาก็ตกอยู่ภายใต้กลายเปลี่ยนแปลงจริงๆ
บาดแผลทั้งเล็กใหญ่ต่างก็หายไป มีการผลัดผิวหนังใหม่เข้ามา และมีพลังชีวิตไหลผ่านร่างกายที่อ่อนล้าของพวกเขา มันเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์สะอาดพุ่งเข้ามาเติมเต็มร่างกายของพวกเขา
ซอลจีฮูร้องออกมาเบาๆเมื่อมานาอันบริสุทธิ์นี้ได้เดือดระอุขึ้น และกำลังบรรเทาวงจรมานาของเขาที่เสียหาย เขาเหม่อลอยจนกระทั่งมีบางอย่างตกลงมาบนหัวถึงทำให้เขาได้สติขึ้นมา
ซอลจีฮูผงะไป ก่อนที่จะรับของที่กลิ้งลงมาจากหัวเขาเอาไว้
ของสิ่งนั้นนั่นก็คือผลไม้แอปเปิ้ลสีแดงที่ห้อยอยู่ส่วนบนสุดของต้นไม้โลก
[โอ้]
ซิลฟิตที่มองดูอย่างยินดีได้อุทานขึ้นเบาๆ
[นี่เป็นผลไม้ผลแรกของต้นไม้โลกที่โตขึ้นหลังจากถึงวัยกลางคน… ต้นไม้โลกคงจะชอบคุณมากจริงๆ]
ซอลจีฮูได้พลิกผลไม้ที่ให้ความรู้สึกเย็นไปมา
‘ดูน่าทึ่งแหะ…’
เขายอมรับความปรารถนาดีของต้นไม้โลก และก็ยังขอบคุณที่ต้นไม้โลกมอบของขวัญอันล้ำค่าให้กับเขา
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญในตอนนี้
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญในตอนนี้
[ไม่ต้องห่วงหรอกนะมนุษย์]
อิฟริตที่สังเกตเห็นความกังวลของซอลจีฮู ได้ตอบคำถามให้เขาหายห่วง
[คุณเห็นแสงที่ลอยอยู่รอบตัวท่านต้นไม้โลกไหม?]
“คะ ครับ”
[ท่านต้นไม้โลกได้ทำในสิ่งที่คุณต้องการไปแล้ว มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ที่การให้กำเนิดชีวิตใหม่เสร็จสิ้น]
‘นั่นมันหมายความว่า…’
ซอลจีฮูพยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนต้นไม้โลกจะพยายามเต็มที่แล้ว
‘ก็ดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้ แต่ว่า…’
เขาได้ถามออกม
“จะใช้เวลานานแค่ไหน?”
[ข้าไม่มั่นใจ การเชื่อมต่อกับมิดเดิลเวิลด์ และสร้างร่างอวตารขึ้นในป้อมปราการไทกอลไม่ใช่เรื่องง่าย]
ถึงจะพูดแบบนี้แต่ว่าอิฟริตก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
[แต่ท่านต้นไม้โลกคือตัวตนที่เทียบได้กับเทพ]
[และเพราะท่านเพิ่งจะก้าวเข้าสู่วัยกลางคนทำให้พลังอยู่ในจุดสูงสุด มันคงไม่นานหรอก แค่สักไม่กี่นาทีก็พอแล้ว]
ไม่กี่นาที…
ถึงมันจะเป็นเดี๋ยวนี้ในทันทีไม่ได้ แต่ซอลจีฮูก็ได้แต่ยอมรับฟังเนื่องจากว่านี่มันก็ดีมากแล้ว
[ยังไงก็ตามการที่คุณได้รับอิกก์ดราซิลล์ผลไแรก… ข้าคิดว่าคงไม่ใช่แบบนั้น]
[เขามีสิทธิ์ที่จะได้มันไป]
[ข้าเห็นด้วย]
อิฟริตพยักหน้าออกมาก่อนจะปรับท่าทางใหม่
[นับตั้งแต่ท่านต้นไม้โลกนยอมรับคุณ สิ่งที่เราทำได้ก็มีเพียงแสดงความขอบคุณ และความเคารพเท่านั้น]
เหล่าราชาทั้งสี่ได้เริ่มเคลื่อนไหว ตามการนำของอิฟริต
ซิลฟริตได้ประสานมือโค้งคำนับอย่างสุภาพ ไอน์ได้ทาบอกโค้งตัวลงอย่างสง่างาม และคนอื่นๆต่างก็แสดงความขอบคุณด้วยวิธีของตัวเอง
ไม่ใช่แค่ราชาภูติเท่านั้น
เหล่าภูติที่อยู่รอบๆต่างก็โค้งคำนับตาม
ซอลจีฮูที่สัมผัสได้ถึงความจริงใจของเหล่าภูติได้แต่ยิ้มแห้งๆ สถานการณ์แบบนี้ค่อนข้างจะทำให้เขารู้สึกอึดอัด
[คุณเป็นคนคืนชีพเทพที่เรารับใช้ และยังช่วยโลกที่เราอยู่อาศัยเอาไว้ คุณมีสิทธิ์ที่จะได้รับความชื่นชม และการบูชาจากเขา]
อิฟริตได้เน้นย้ำอีกครั้งก่อนจะถามขึ้น
[คุณมีอะไรที่ต้องการเป็นพิเศษหรือไม่?]
“สิ่งที่ต้องการงั้นเหรอ?”
[เราอยากจะตอบแทนสิ่งที่คุณทำลงไป ตราบใดที่พวกเราทำได้ เราจะไม่ลังเลเลย]
ซอลจีฮูไดด้ครุ่นคิดกับตัวเอง
ถึงเขาจะออกอะไรก็ได้ตามต้องการ แต่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
สิ่งที่เขาคิดจะขอเหล่าภูติก็คือให้พวกเขาช่วยสู้กับปรสิต แต่เหล่าภูติก็ดูจะต้องการทำแบบนั้นอยู่แล้ว
“ไม่รู้สิครับ ผมคิดไม่ออก…”
แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบก็ได้มีบางอย่างชนเขา
ซอลจีฮูรีบหันไปมองก็เห็นนกฟินิกซ์โดดเข้าใส่เขาอย่างตกใจ
“มะ มีอะไร?”
-คู่หู ยื่นหูมานี่
นกฟินิกซ์รีบขยับเข้ามากระซิบ และดวงตาซอลจีฮูก็ต้องเบิกกว้าง
“หืมม?”
-นายทวนสิ่งที่ฉันบอกไปทีละคำก็ได้
“แต่นั่นมันหมายความว่าอะไร?”
-คิดว่าไงล่ะ? คำพวกนี้คือคำวิเศษที่จะบังคับให้เจ้าพวกหน้าโง่พวกนี้ โลกนี้จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ซอลจีฮูเงยหน้ามองราชาภูติด้วยสีหน้าสับสน
“อืม ก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องการเป็นพิเศษหรอก แต่ว่า… อะแฮ่ม”
หลังจากกระแอ่มออกมา เขาก็ทวนในสิ่งที่ลูกเจี๊ยบพูด
“ผมอยากจะให้คุณยกโทษให้แฟรี่ถ้ำได้แล้ว”
แบคแฮจูที่ได้ยินแบบนี้ขมวดคิ้วขึ้น และเงยหน้าจ้องซอลจีฮู
[…]
ราชาภูติไม่ได้ตอบกลับในทันที
หลังจากเงงียบอยู่นานอิฟริตได้กอดอก และถอนหายใจออกมา
[การสั่งสอนเขาเป็นเรื่องไร้ประโยชน์…]
-ไร้ประโยชน์?
นกฟินิกซ์ขมวดคิ้วขึ้น
-เจ้าโง่ พวกนายยังคิดจะจมอยู่กับอดีตทั้งๆที่โลกใบนี้เกือบจะถูกทำลายจนสูญสิ้นไปเนี้ยนะ?
[แต่ว่า]
-แต่ที่หน้านายสิ อาณาจักรภูติถูกกอบกู้เอาไว้ นั่นมันก็เพราะคู่หูของฉัน กับพรรคพวกของเขา
นกฟินิกซ์ไม่ได้ขึ้นเสียง แต่น้ำเสียงเขาเป็นเชิงเยาะเย้ยอย่างชัดเจน
-แต่อีกไม่นานพวกเขาก็จะต้องไปแล้ว หากว่าปรสิตเข้าโจมตีอีกครั้งล่ะ? ถ้างั้นแล้วพวกนายจะทำยังไง?
[มันจะไม่เกิดขึ้นอีก]
-ไม่เกิดขึ้นอีก? อะไรล่ะ พวกนายจะขอความช่วยเหลืออีกงั้นเหรอ?
อิฟริตเงียบลงไป
-บอกไว้ก่อนเลยนะการช่วยอาณาจักรภูติในคราวนี้ก็เพราะโชค แต่ว่าปาฏิหาริย์มันไม่เกิดซ้ำหลายครั้งหรอกนะ
[อืมม…]
-หากว่าพวกนายยังเอาแต่รั้น พวกเราก็คงไม่น่ามาช่วยที่นี่ไว้เลย พวกนายเคยคิดไหมว่ามีอีกหลายเรื่องที่เราต้องจัดการในมิดเดิลเวิลด์ พกเราไม่ได้มีเวลาให้มาเสียที่นี่มากนักหรอกนะ!
[…]
หากว่านายยังคงปฏิเสธที่จะผ่อนปรน และเจอกับเหตุการณ์เดิมอีกครั้ง… ถ้างั้นอาณาจักรภูติก็คงได้แต่เผชิญหน้ากับการล่มสลายเท่านั้น จำไว้ให้ดีนะเจ้าพวกโง่
อิฟริตเม้มปากแน่น
[ข้าไม่มีอะไรจะพูด…]
[ข้ายอมรับคำขอนั้น]
ขณะที่อิฟริตพึมพำอย่างขมขื่น ราชาภูติน้ำอวาได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
[ท่านอาร์คัสพูดถูก พวกเราได้เตรียมตัวก่อนเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการกองทัพแล้ว แต่ว่าในท้ายที่สุดเราก็พ่ายแพ้อย่างง่ายดาย]
[แน่นอนว่าหากเรายังไม่เปลี่ยน เรื่องเดิมๆก็จะเกิดขึ้นอีกอย่างง่ายดาย]
ซิลฟิตที่เห็นด้วยกับอวาก็ยอมรับคำขอนี้
[นี่คือสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก บาปของแฟรี่ถ้ำยังคงไม่หายไป แต่ว่าเราจำเป็นต้องปลดผนึกทั้งสองลอร์ดให้ได้]
เพราะแบบนี้สองราชาภูติได้ลงมติเห็นชอบกับคำขอของซอลจีฮู
อิฟริตได้หันหน้าไปหาอีกสองคน
[… ในมิดเดิลเวิลด์แฟรี่ถ้ำกับแฟรี่ท้องฟ้าได้ร่วมมือกันแล้ว ข้าเห็นด้วยว่าเราต้องให้ความสำคัญกับศัตรูก่อนเป็นอย่างแรก]
ราชาภูติดินก็ได้ยอมรับอย่างไม่เต็มใจ
ไอน์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงส่งเสียฮึ่มขึ้น และหันหน้าไป มันชัดมากว่าเธอไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจว่ามันช่วยไม่ได้
[ในเมื่อราชาภูติส่วนใหญ่เห็นด้วย…ฟู่ว]
อิฟริตถอนหายใจยางออกมา ก่อนที่จะมองซอลจีฮูด้วยสายตาลึกซึ้ง
[มนุษย์ ไม่สิ ผู้กอบกู้ของเรา]
เขาได้พูดต่ออย่างขัดเจนถึงแม้จะลังเลอยู่เล็กน้อยก็ตาม
[นี่คือความต้องการที่แท้จริงของคุณสินะ?]
“ครับ ได้โปรดอภัยให้แฟรี่ถ้ำด้วย”
ซอลจีฮูพยักหน้าในทันที
[ถ้าแบบนั้นก็… ช่างมันเถอะ ในเมื่อนี่คือคำขอของผู้กอบกู้ของเรา… และยังเป็นคำขอที่มีประโยชน์กับเราอีกด้วย]
จากนั้นหลังลังเลอยู่นาน เขาก็พูดขึ้นอย่างมุ่งมั่น
[…เราจะยอมรับคำขอของคุณ!]
แบคแฮจู และคนอื่นๆเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ
[ข้า อิฟริต ตัวแทนของเหล่าภูติขอให้คำสัญญาว่าจะยกโทษให้กับแฟรี่ถ้ำ]
นับจากนี้ไปโอฟินัวร์ โอดอร์จะถูกปลดผนึก รวมไปถึงการปลดปล่อยดิฟิเด็ม โอดอร์ด้วยเช่นกัน]
[แต่โปรดรับรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่ความต้องการของเรา ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งการของผู้กอบกู้เรา]
ฟิลิป มูเลอร์อ้าปากค้าง ซอยูฮุยกับแอ็กเนสก็ยังจ้องซอลจีฮูอย่างเหม่อลอย
นั่นก็เพราะพวกเธอรู้เรื่องราวในอดีตที่ว่าทำไมแฟรี่ถึงถูกแยกออก และทำไมแฟรี่ถ้ำถึงตาบอด และคาดผ้าปิดตาเอาไว้
ยังไงก็ตามราชาภูติเพิ่งจะยอมรับในคำขอของซอลจีฮู และให้สัตย์สาบานว่าจะให้อภัยแฟรี่ถ้ำ
ความเป็นศัตรูกันระหว่างแฟรี่ท้องฟ้าทั้งสองฝ่ายที่หยั่งรากลึกมาหลายพันปีเพิ่งจะถูกแก้ไขไป
อย่างน้อยที่สุดแล้วนี่น่าจะได้รับคะแนนคุณูปการจำนวนมหาศาล
-…ฮึ่ม
นกฟินิกซ์แค่นเสียงออกมา
-เยี่ยม ในที่สุดพวกเจ้าก็รู้สักทีว่าอะไรมันสำคัญ
“ขอบคุณครับ”
ถึงจะพูดแบบนี้ ซอลจีฮูก็ยังคงแสดงสีหน้าสับสนออกมาเนื่องจากเขาไม่เคยรู้เรื่องราวในอดีตของแฟรี่กับภูติ
“ผมไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น… แต่ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่คิดเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้ในแง่ร้ายนะครับ ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรนะครับ”
[ศัตรูของศัตรูคือมิตร…]
อิฟริตได้ทวนคำพูดของซอลจีฮู จากนั้นก็หัวเราะออกมา
[ช่างเข้ากับสถานการณ์นี้จริงๆ]
ทันทีที่อิฟริตพูดจบ ก้านของต้นไม้โลกรวมถึงอันที่โอบกอดซอลจีฮูอยู่ได้ค่อยๆลอยขึ้นฟ้า
วูมมมมม!
เสียงรุนแรงได้ดังก้องออกมา และราชาภูติทั้งห้าก็ได้เงยหน้ามองขึ้นไปพร้อมกัน
ในเวลาเดียวกันภาพที่ซอลจีฮูเห็นก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน
โชฮงตะโกนออกมา
“ต้นไม้โลก…”
…กำลังเปล่งประกาย
แสงที่ลอยอยู่รอบต้นไม้โลกได้รวมเข้าด้วยกัน และต้นไม้โลกก็ได้เรืองแสงสีทองเจิดจ้าออกมา
ไม่เพียงเท่านั้น ร่างกายของทีมปฏิบัติการก็ยังส่องแสงแบบเดียวกันออกมา
ซอลจีฮูค่อยๆยกมือขึ้น
มือที่เปล่งประกายของเขาได้กระจายกลายเป็นละอองแสงเข้าไปในอากาศ แสงนี้ถูกดึงดูด และดูดซับเข้าไปโดยต้นไม้โลก
“นี่มัน…”
[การเตรียมการเสร็จสิ้น]
อิฟริตพูดขึ้นเบาๆก่อนเงยหน้าขึ้น
[ใช่ มันเสร็จแล้ว]
จากนั้นเมื่อซอลจีฮูกับสมาชิกทีมคนอื่นเงยหน้าขึ้น…
คลื่นนนนนนน!
ทันใดนั้นทั่วทั้งต้นไม้โลกได้กลายเป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ภายในพริบตาเดียวเสาแสงได้พุ่งทะลวงท้องฟ้า และหายไปนอกอวกาศ
มาถึงจุดนี้แล้วร่างกายซอลจีฮูก็เริ่มกระจายกลายเป็นแสง เมื่อสติของเขาเริ่มค่อยๆจางหายไป เขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกดูดเข้าไปในที่ที่ห่างไกล
แม้กระทั่งภาพที่เขาเห็นก็ยังกลายเป็นสีขาว…
[ขอบคุณมาก ขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้แก้แค้น]
สิ่งที่ซอลจีฮูได้ยิน…
[ไว้เจอกันที่ป้อมปราการไทกอล…!]
…เป็นเสียงอันยินดีของอิฟริต
***
ในเวลาเดียวกัน ณ ป้อมปราการไทกอล สหพันธรัฐกับมนุษยชาติกำลังอยู่ในสงครามดุเดือนที่อธิบายได้เพียงคำว่าโกลาหล
เมื่อเหล่าปรสิตได้เริ่มโจมตีเต็มกำลังทำให้การต่อสู้นองเลือดเกิดขึ้น
“วิญญาณร้ายกำลังมา”
“อะไรนะ?”
กาเบรียลได้รีบมองออกไปเหนือป้อมปราการ เหล่าวิญญาณอันน่ากลัวกำลังพุ่งเข้ามาที่ป้อมปราการด้วยความเร็วอันน่ากลัว
“จู่ๆพวกมันก็พุ่งเข้าใส่…? ไม่สิ”
กาเบรียลกัดฟันแน่น
“เตรียมอสนีบาต! สร้างตาข่ายเพลิง!”
เธอได้มอบคำสั่งโดยที่เม้มปากอย่างเป็นกังวล
ในที่สุดกำลังหลักของปรสิตก็มาถึงป้อมปราการแล้ว
ฝ่ายหนึ่งกำลังพยายามบุกทะลวง อีกฝ่ายหนึ่งกำลังพยายามป้องกัน
ฝ่ายแรกมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่ามาก
แต่นั่นก็ไม่ได้ว่าฝ่ายที่เสียเปรียบจะอยู่นิ่ง
“ยิง!”
กาเบรียลได้ออกคำสั่งยิง และแฟรี่ท้องฟ้าได้ขว้างอสนีบาตในมือออกมา
ก๊าซซซซซซซซซ!
วิญญาณร้ายได้กรีดร้องออกมาราวกับไม่กลัวความตาย
พรึบ!
แสงจ้าได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ตามมาด้วยคลื่นระเบิดที่ทำให้พื้นดินต้องสะเทือน
“กรรรรร!”
“อ๊ากกกกก!”
สมาชิกสหพันธรัฐที่อยู่ใกล้กับคลื่นแรงระเบิดได้ล้มลงไปพร้อมเสียงกรีดร้อง
ทุกๆคนต่างก็ปิดหู และชักกระตุกอยู่เป็นพักๆ
“อึก…!”
กาเบรียลก็โซเซไปเช่นกัน
เธอได้ใช้มือเท้ากำแพงเอาไว้เพื่อทรวงตัว แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มซัคคิวบัสบินเข้ามาจากแสงสว่างจ้าที่หายไป
ขณะที่เธอกำลังจะตอบสนองนี้เอง…
“?”
เธอได้ชะงักไป
เหล่าซัคคิวบัสได้บินข้ามไปเฉยๆ แทนที่จะโจมตี
พวกมันได้สุ่มหยิบศพขึ้นมา บินผ่านกำแพงป้อมปราการเข้าไปที่จุดที่สูงที่สุดของป้อมปราการไทกอล
“นี่มันอะไร…”
กาเบรียลได้มองความบริสุทธิ์อันโสมมอย่างสับสน
‘อย่าบอกนะ’
จากนั้นเธอก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อรู้ถึงความตั้งใจของความบริสุทธิ์อันโสมม
“หยุดเธอ!”
เมื่อเธอตะโกนออกมาจนสุดเสียง เหล่าทหารที่จัดทัพอยู่ตรงทางไปยอดป้อมปราการได้รีบออกมา
แต่ว่าเมื่อเทวดาตกสวรรค์กับแฟรี่ท้องฟ้าได้กางปีกขึ้นบิน ซัคคิวบัสก็ได้ทิ้งศพในมือลงมาราวกับรอคอยเวลานี้
ตุบ ตุบ! ศพที่ตกลงมาได้สำรอกเอาเลือดสีดำออกมา เลือดที่ไหลออกมาได้เริ่มก่อตัวขึ้นกลายเป็นมอนสเตอร์
พวกมันก็คือโกเล็มเลือด กองทัพของความกรุณาอันน่ารังเกียจ
กรรรรรรรรรรร!
เมื่อโกเล็มโลหิตได้คำรามเสียงดัง และพุ่งออกมา การต่อสู้วุ่นวายก็เกิดขึ้นภายในป้อมปราการ
ในเวลาเดียวกันซัคคิวบัสก็ได้มุ่งหน้าต่อไปที่จุดสูงสุดของป้อมปราการที่ที่มีต้นไม้โลกอยู่ด้วยการนำของความบริสุทธิ์อันโสมม
กาเบรียลไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปรสิตถึงได้ใช้กองกำลังอันมีค่าทิ้งขว้างแบบนี้เพียงเพื่อทำลายต้นไม้โลกที่ตายไปแล้วให้ได้
เธอก้มหน้าลงอย่างอดไม่ได้ เธออยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่มีคำใดดังออกมา
ไม่ว่าปรสิตจะเล็งอะไรไว้ เธอก็ปล่อยให้พวกมันเข้ามาในป้อมปราการได้
เข้ามาได้ถึงสองกองทัพ
แม้ว่าการกระทำของพวกมันจะเหนือความคาดหมาย แต่เธอก็ไม่อาจจะทำอะไรกับพวกมันที่ฝ่าเข้ามาได้เลย
“…”
ทันใดนั้นกาเบรียลก็หัวเราะออกมาพร้อมคิดขึ้น ‘เราน่าจะใช้อสนีบาตให้มากน้อยกว่านี้หรือเปล่านะ?’
จริงๆแล้วเธอก็รู้
เธอรู้ว่าป้อมปราการไทกอลที่ไม่มีการป้องกันจากต้นไม้โลก และพลังจากเหล่าภูตินั้นไม่ต่างไปจากกำแพงใหญ่ที่พังทลายได้อย่างง่ายดายเลย
นี่คือเหตุผลที่กาเบรียลไม่ได้พูดอะไรออกมา
เนื่องจากสถานการณ์นี้ได้บังคับให้พวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูจากในกำแพง มันจึงชัดมากว่าพวกเขาจะทนอยู่ได้ไม่นาน
หรือก็คือไม่ว่าพวกเขาจะต่อต้านยังไงมันก็ไร้ความหมาย
คลื่นนนน
ในตอนนั้นเองรูปปั้นหินที่อยู่บนหน้าผาก็เปลี่ยนสี และหล่นลงมาราวกับจะบอกถึงอนาคตที่สหพันธรัฐต้องเผชิญ
ดวงตาของยูเรลได้หมองลงเมื่อเห็นแบบนี้
มันได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการแพร่เชื้อโรคของรังมาถึงป้อมปราการแล้ว
“นี่มัน…”
ตึง
เสียงรูปปั้นตกลงมาแตกกระจายได้ผสานเข้ากับเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาเต็มไปหมดจนเหมือนหายนะ
“จบสิ้น…
ยูเรลได้ก้มหน้าถอนหายใจออกมา
“ไปแล้ว… จริงๆ…”
ทุกๆคำพูดที่ออกจากปากเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ในท้ายที่สุดเธอก็ได้แต่จ้องมองซัคคิวบัคที่บินออกไปไกลอย่างเหมือลอย
“หากแค่เรามีพลังของภูติ…!”
ทันใดนั้นเองแฟรี่ท้องฟ้าก็ล้มลงไปคุกเข่าคร่ำครวญออกมา
ดวงตาของเธอที่มองไปด้วยต้นไม้โลกอย่างโกรธเคือง
“ฮือ!”
จากนั้นเธอก็เริ่มร้องไห้
บางทีอาจจะเพราะความสิ้นหวัง และอึดอัดใจจึงทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมา
“อ๊าก…!”
มนุษย์สัตว์ที่บาดเจ็บอย่างหนักได้หอบหายใจพร้อมกรีดร้องออกมาอย่างโกรธแค้น
“ฮึก.. ฮึก…!”
และกระทั่งคนแแคระที่กำลังสร้างอสนีบาตอย่างมุ่งมั่นก็ยังเริ่มน้ำตาคลอออกมา
เสียงสะอื้นได้เริ่มดังไปทั่วทั้งป้อมปราการ
พวกเขายังคงคิดต่อต้านจนถึงที่สุด แต่ว่าก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา
นั่นก็เพราะพวกเขารู้สึกว่ามันจบสิ้นเหมือนอย่างที่ยูเรลคิดไว้
***
ความบริสุทธิ์อันโสมมยังคงไม่ยอมหยุดจนกว่าจะไปถึงจุดสูงสุดของป้อมปราการ
จากจุดนี้แล้วทั้งป้อมปราการเหมือนตกอยู่ในกำมือของเธอ
ต้นไม้โลกที่ตั้งอยู่ตรงกลางป้อมปราการก็เป็นเช่นเดียวกัน
‘มันอะไรกัน?’
หลังจากยืนยันสภาพของต้นไม้โลกแล้ว เธอก็ต้องเอียงหัวออกมา
ต้นไม้โลกได้อยู่ในสภาพแห้งน่าอดสูอย่างที่เธอคาดเดาไว้
‘มันก็ยังเหมือนเดิม แล้วทำไม…’
เธอได้เห็นทหารหลายร้อยนายและจารึกกำลังป้องกันต้นไม้โลกอยู่ แต่ว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรคเลย
ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็ไม่คุ้มเลยที่ต้องเสียสละของกองทัพความอดทนอันพุ่งพล่านเพียงเพื่อฝ่าอสนีบาต และทิ้งกองทัพขอความกรุณาอันน่ารังเกียจไว้ใจกลางป้อมปราการ
‘ไม่สิ’
ยังไงก็ตามไม่นานนักเธอก็ส่ายหัวออกมา
ราชินีคงจะมีเหตุผล
สำหรับข้ารับใช้แล้วไม่ควรจะไปตั้งคำถามกับท่าน
สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ก็คือต้องระงับความโกรธของราชินีให้เร็วที่สุด
แม้ว่าจารึกจะเรืองแสงจางๆน่ารำคาญเล็กน้อย แต่ความบริสุทธิ์อันโสมมก็ไม่ได้สนใจ และกางแขนออกมา
จากนั้น-
“มอดไหม้!”
เมื่อเธอได้ปล่อยพลังงานที่บีบอัดเอาไว้ออกมา-!
ตูมมมม!
เสาเพลิงได้ปรากฏขึ้นจากเบื้องล่างของต้นไม้ที่ตายแล้ว และครอบคลุมทั้งต้นจนมิด
ยังไม่หมดเท่านั้น ลาวาได้ไหลทะลักออกมาจากพื้นเหมือนเป็นน้ำพุจนทำให้ทั้งป้อมปราการลุกไหม้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ภายในเสาเพลิงที่กำลังพุ่งขึ้นสู่ยอดฟ้า ความบริสุทธิ์อันโสมมได้ยืดหลังส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ท่านเห็นแล้วใช่ไหมราชินีของข้า!?”
เธอได้หันกลับไปยิ้มเจิดจ้าพร้อมชี้ลงไปที่ต้นไม้
“ดูสิ! ต้นไม้โลกกับป้อมปราการกำลังลุกไหม้!”
ป้อมปราการไทกอลกลายเป็นทะเลเพลิงอย่างที่เธอพูดไว้ ต้นไม้โลกก็ยังเปลี่ยนเป็นสีดำจากการถูกเผาจนไหม้
“แค่รออีกนิดราชินีข้า! ข้าความบริสุทธิ์อันโสมมคนนี้จะเติมเต็มคำสั่งของท่าน และทำให้ทั้งป้อมปราการและ…”
หลังจากพูดอย่างภาคภูมิใจ ความบริสุทธิ์โสมมก็ได้โบกมือเป็นสัญญาณให้กับกองทัพของเธอ
“ตอนนี้แหละ! ทุกคน…!”
ในตอนนั้นเอง